บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 318 ไม่อาจเทียบอดีต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 318 ไม่อาจเทียบอดีต

บทที่ 318 ไม่อาจเทียบอดีต

มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นกวาดผ่านท้องฟ้าอย่างช้า ๆ โดยไม่มีแม้แต่กลิ่นอายชีวิต มันคว้าจับด้านหลังเสื้อของนายน้อยโจวเอาไว้ในทันที และไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร เขาก็ไม่สามารถหลบหนีได้เลย

ความรู้สึกนี้ราวกับว่านกอินทรีจับลูกเจี๊ยบ ในบรรดารุ่นเดียวกัน นายน้อยโจวผู้นี้นับว่าเป็นผู้แกร่งที่สุดก็จริง ทว่ากลับไม่อาจต้านท้านมือนั้นได้เลยแม้แต่น้อย

หืม!?

ทุกคนต่างก็ลอบอ้าปากค้าง พวกเขารู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ผู้ไม่ต่างอะไรจากราชาแห่งสงครามอย่างหวงฝู่ไท่อู่ได้มาถึงแล้ว!

“ตาเฒ่า แค่ก แค่ก ปล่อยมือของเจ้าได้แล้ว จะบีบคอข้าให้ตายเลยหรือไร!” นายน้อยโจวตะโกนขึ้นด้วยท่าทีลำบากใจ ยามนี้เขาไม่เหลือความสง่างามและทรงภูมิเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ตรงกันข้ามเขาดูเหมือนเด็กซนที่ถูกพ่อแม่จับได้ ทำให้ทุกคนไม่อาจต้านความขบขันได้

“เจ้าเด็กไร้มารยาท! นี่เจ้ายังนับข้าเป็นปู่ทวดอีกอยู่ไหมฮึ?” สิ้นเสียงกล่าว ชายชราผู้มีรูปร่างผอมแห้งผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า ท่ามกลางสายตาของทุกคนในทันที เขาสวมชุดคลุมยาวสีดำ ถือไม้เท้า ผมของเขาขาวราวกับหิมะ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดวงตาของเขาดูเหมือนจะผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน แต่ก็ยังคงสดใสและลึกล้ำจนทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตามองตรง ๆ

รูปลักษณ์ของชายชราคนนั้นดูธรรมดา ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมก็ดูเหมือนชายชราตามท้องนาในชนบท แต่หากสังเกตอย่างระมัดระวัง ไม่มีใครสามารถบอกถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้เลย ราวกับว่าร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยชั้นหมอกที่หนาแน่น กว้างใหญ่ ลึกล้ำและเข้าใจยาก

แม้จะมองดูเขาเพียงครู่เดียว จิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็อาจตกลงสู่ห้วงลึกที่ไร้ที่สิ้นสุดจนเกิดอาการสับสนได้ บางคนที่ไม่มีพละกำลังเพียงพอก็แสดงสีหน้าวิกลจริต ราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในฝันออกมา

“ข้ามผ่านมิติว่างเปล่าได้ด้วยมือเปล่า เห็นได้ชัดว่าความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแห่งมิติของเขาอยู่ในระดับสมบูรณ์แบบแล้ว ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ย่อมอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขั้นหกเป็นอย่างต่ำแน่นอน!” เฉินซีหรี่ตาลง แม้เขาจะไม่ได้รับผลกระทบทางจิตใจเพราะชายชรา แต่ในใจของเขานับว่าตกตะลึงอยู่บ้าง

หลังจากที่ราชาแห่งสงครามหวงฝู่ไท่อู่ปรากฏตัว ตอนนี้ก็นับได้ว่ามีชายชราผู้ครองพลังอำนาจที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เพิ่มขึ้นมาอีกคน

คนหนึ่งคืออาจารย์ของซูเฉิน ส่วนอีกคนหนึ่งคือปู่ทวดของนายน้อยโจว พวกเขาทั้งสองคนนับเป็นผู้มีความแข็งแกร่งที่อยู่ในจุดสูงสุดของโลกการบ่มเพาะยามนี้แล้ว แต่เหตุใดพวกเขาถึงได้ปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน?

หรือบางทีพวกเขาอาจจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดนับตั้งแต่ที่การชุมนุมธารทองเริ่มขึ้น?

เฉินซีเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสงสัย

“เอาล่ะ เจ้าเด็กเหลือขอ รีบกลับไปตระกูลพร้อมกับข้าได้แล้ว แอบออกมาครานี้คงจะเล่นสนุกเกินพอแล้ว ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนจะถึงการชุมนุมดาวรุ่ง ในช่วงเวลานี้ เจ้าต้องอยู่บ้านและฝึกฝนอย่างมีสมาธิ ข้าจะเป็นคนคอยจับตาดูเจ้า ดังนั้นอย่าได้คิดที่จะหนีอีกเชียว” ขณะที่ชายชราพูด เขาก็คลายมือที่จับนายน้อยโจวออก แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาจึงไม่ต้องกังวลว่านายน้อยโจวจะหลบหนีไปจากใต้จมูกตนเองอีก

“ทำไมเล่า?” นายน้อยโจวขมวดคิ้ว

“เพื่อกันไม่ให้เจ้าทำข้าเสียหน้าในการชุมนุมดาวรุ่งไง!” ชายชราถลึงตาใส่พลางโบกสะบัดมือของเขา แสงสว่างปรากฏขึ้นและกระจายตัวออก ก่อนจะคลุมร่างของนายน้อยโจวและส่งเขาให้หายไปทันทีโดยไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าชายชราพาเขาไปยังที่ใด

“โจวเซวียนถง เจ้าควรสั่งสอนหลานชายของเจ้าให้ดี มิฉะนั้นเขาอาจจะได้ตายก่อนวัยอันควร” ร่างกายที่แข็งแกร่งของหวงฝู่ไท่อู่ยืนนิ่งอยู่บนท้องฟ้า เขาก็ไม่ได้หันกลับมาแม้ว่าชายชราอีกคนจะมาถึงแล้ว และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ดังก้องดุจฟ้าร้องกวาดไปทั่ว

ทันทีที่เขาพูดจบ หวงฝู่ไท่อู่ก็สะบัดแขนเสื้อของเขาและนำซูเฉินมาอยู่ข้างกาย ก่อนจะฉีกช่องว่างมิติและหายไปในพริบตา ทิ้งเอาไว้เพียงสุรเสียงดุจฟ้าร้องสะเทือนผืนดินเท่านั้น

“ว่าอย่างไรนะ!? เจ้ากล้าสาปแช่งเด็กเหลือขอของตระกูลข้าผู้นี้อย่างนั้นหรือ? หากข้ารู้ไวกว่านี้ ข้าคงปล่อยให้เขาทุบตีศิษย์เจ้าแรง ๆ ไปแล้ว ไร้เหตุผลจริง ๆ!” ชายชรากลอกตาและตะคอกด้วยความดูถูก ในคำพูดของเขาไม่ได้แสดงความเคารพต่อหวงฝู่ไท่อู่เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนจะค่อนข้างไม่ยอมใครและหยิ่งยโส

ทุกคนประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น คงจะมีเพียงชายชราแห่งตระกูลโจวเท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนี้

“เจ้าหนู ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กเหลือขอนี่จะประทับใจในตัวเจ้าอยู่ไม่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ชายชราคนนี้จะขอเตือนเจ้าไว้เสียหน่อย หากเจ้ารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตัวเองยังไม่เพียงพอ ก็จงอย่าได้ไปที่นครหลวงธารสายไหมเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งเลย” ก่อนที่ชายชราจะจากไป จู่ ๆ เขาก็หันกลับมามองที่เฉินซี หลังจากประเมินดูอยู่ครู่หนึ่ง ขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว หลังจากนั้นเขาก็พูดบางอย่างที่ชวนให้สับสน ก่อนที่จะบินออกไปและก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา

เฉินซีผงะไปครู่หนึ่งและขมวดคิ้วแน่น เขาไม่คิดว่าบรรพบุรุษของตระกูลโจวกำลังล้อเล่นกับเขา ในเมื่อชายชราพูดถึงขนาดนั้น มันย่อมต้องมีความหมายลึกซึ้งอยู่เบื้องหลังเป็นแน่

ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้น แต่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ตกตะลึงกับคำพูดเหล่านี้ นี่หมายความว่าอย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่าเฉินซีผู้เอาชนะจี้เยว่ ฮวาโม่เป่ยกับหวังเต้าซวี่ได้ไม่มีคุณสมบัติพอให้จะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งอย่างนั้นหรือ?

เมื่อพวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้ ทุกคนจึงไม่คิดถึงมันอีกต่อไป

แม้ว่าการปรากฏตัวของราชาแห่งสงครามหวงฝู่ไท่อู่ และบรรพบุรุษตระกูลโจว โจวเซวียนถงจะกินเวลาเพียงชั่วครู่ แต่มันกลับทำให้บรรยากาศในการชุมนุมธารทองหนักอึ้งขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้

เพียงลองคิดถึงเรื่องนี้ดู ตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกถึงสองคนได้ปรากฏตัวอย่างพร้อมเพรียง ณ การชุมนุมธารทอง และพวกเขาก็พาซูเฉินกับนายน้อยโจวจากไปก่อนที่การแข่งขันจะสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะเป็นใครก็อดคาดเดาอยู่ในใจขึ้นมาไม่ได้ หรือว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าการชุมนุมธารทองกำลังจะเกิดขึ้น?

ยิ่งไปกว่านั้น การจากไปของซูเฉินและนายน้อยโจวทำให้ในบรรดาผู้สมัครที่ถูกจับตามองจึงมีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แม้ว่าจะยังมีผู้บ่มเพาะคนอื่นอยู่ แต่เมื่อเทียบกับซูเฉินและนายน้อยโจวแล้ว พวกเขากลับน่าเบื่อกว่ามาก ดังนั้นถึงแม้ว่าการชุมนุมธารทองจะยังคงดำเนินต่อไป แต่มันก็ดูจะไม่น่าตื่นเต้นอะไรมากนัก…

แน่นอนว่ามันก็เป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้ การต่อสู้ต่อไปล้วนจืดชืดและไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก มีเพียงการแข่งขันของเฉินซีเท่านั้นที่พอจะยังดึงดูดความสนใจจากผู้คนบางส่วนได้

เฉินซีเองก็ไม่ทำให้ผู้คนผิดหวัง เขาได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องในการต่อสู้รอบต่อ ๆ มา และกลายเป็นผู้บ่มเพาะเพียงคนเดียวที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทองครั้งนี้!

ในทำนองเดียวกัน เฉินซีก็ได้กลายเป็นผู้บ่มเพาะคนแรกของดินแดนทางใต้ที่ได้รับชัยชนะติดต่อกันหนึ่งร้อยครั้งในการชุมนุมธารทอง และความสำคัญของมันก็พิเศษยิ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ดินแดนทางใต้ก็ถูกจัดว่าอ่อนแอมาเป็นเวลานาน ความแข็งแกร่งโดยรวมนั้นก็นับด้อยกว่าดินแดนอื่น ๆ ในราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นในการชุมนุมธารทองครั้งก่อน ๆ จึงไม่มีผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางใต้คนใดได้รับชัยชนะติดต่อกันร้อยครั้งได้เลย

การปรากฏตัวของเฉินซีได้ทำลายสถานการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมานานหลายปีนี้ลงอย่างไม่ต้องสงสัย เขาได้ล้างสถานการณ์ใหม่ขึ้นมาโดยสมบูรณ์ ดังนั้นความสำคัญของมันจึงยิ่งใหญ่มากพอที่จะบันทึกลงไว้ในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้เลยทีเดียว

และมันเป็นความจริง

ในวันเดียวกับที่การชุมนุมธารทองสิ้นสุดลง ข่าวนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างมาก ยามนี้แทบทุกเมืองในชายแดนทางใต้ล้วนกำลังพูดถึงชื่อเพียงหนึ่งเดียวอย่างกระตือรือร้น – เฉินซี

ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มจากเมืองหมอกสนที่ห่างไกลคนนี้คว้าอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ก็ทำให้ชื่อของเขาสั่นสะเทือนไปทั่วดินแดนทางตอนใต้หนหนึ่ง และทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่รู้จักของทุกครัวเรือนแล้ว

มายามนี้ เขายังสามารถเอาชนะเหล่าผู้บ่มเพาะที่โดดเด่นหลายคนในการชุมนุมธารทองซึ่งรวบรวมเยาวชนผู้เป็นอัจฉริยะจากทั่วราชวงศ์ซ่งจนเป็นคนเดียวที่ได้รับชัยชนะติดต่อกันถึงหนึ่งร้อยครั้ง เกียรติยศและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่ต่างกับการสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่นี้ ทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้ตกอยู่ในความตะลึง

สิ่งที่ตามมาคือความสุขและแรงบันดาลใจ

นับเป็นเกียรติของเฉินซีและโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้เช่นเดียวกัน ในฐานะผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางใต้ ทุกคนรู้สึกภูมิใจในตัวเฉินซีและรู้สึกเป็นเกียรติเพราะเขาอย่างมาก

แม้แต่ศัตรูที่เคยเผชิญหน้ากับเฉินซีด้วยความไม่พอใจอย่างเซี่ยจ้านนายน้อยลำดับสองแห่งเมืองทะเลสาบมังกร ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมและประหลาดใจอย่างมากเมื่อเขาได้รับรู้เรื่องนี้

และเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาคุ้นเคยกับเฉินซีเป็นอย่างดี เขาถึงกับคุยโม้เมื่อพบกับทุกคนว่า “เมื่อหลายปีที่แล้วข้าเคยได้สู้กับเฉินซีมาก่อน ถึงแม้ว่าข้าจะแพ้ แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะเขาคือเฉินซี เขาเป็นคนที่เก่งไปซะทุกเรื่อง แต่สิ่งเดียวที่แย่เกี่ยวกับเขาคือเขายุ่งเกินไป จนข้าไม่มีเวลาให้ได้ชวนเขาไปดื่มเลย…”

การปรากฏตัวในฐานะผู้คุ้นเคยกับเฉินซีเป็นอย่างดีของเขา ทำให้กลุ่มเพื่อนอิจฉาอย่างมาก และพากันโห่ร้องว่าเขาต้องพาพวกเขาไปพบเฉินซีบ้างหากมีโอกาส นายน้อยลำดับสองเซี่ยจ้านผู้หยิ่งยโสได้รับความพึงพอใจ จึงตอบตกลงไปอย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดาย แต่ภายในใจของเขากลับถอนหายใจยาว ‘ตั้งแต่เขาทุบตีข้าครานั้น ข้าก็ไม่ได้เจอเขามาหลายปีแล้ว แล้วพวกเจ้าอยากจะเจอเขา? ฝันไปเถิด!’

ณ ศาลาชุมนุมเซียนแห่งเมืองทะเลสาบมังกร

ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อกับซ่งหลินมาตัวกันที่นี่เพื่อดื่มเหล้าและพูดคุยกัน

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมคุยกันเกี่ยวกับเฉินซีเป็นส่วนใหญ่

“สหายคนนี้ช่างใจร้ายนัก เขาไม่แม้แต่จะกล่าวคำอำลากับเรา ยามที่เขาออกจากดินแดนทางใต้เพื่อมุ่งหน้าไปยังที่ราบตอนกลาง หากข้าเจอเขาอีกครั้ง ข้าจะทำให้เขาหมดตัวเลยคอยดู” ต้วนมู่เจ๋อบ่น

“เจอเขาอีกครั้ง?” ซ่งหลินส่ายหัวและถอนหายใจ “ยามนี้เขาได้รับชัยชนะในการชุมนุมธารทองติดกันหนึ่งร้อยครั้ง และความแข็งแกร่งของเขาก็เพียงพอที่จะติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งได้แล้ว ตอนนี้เขาอาจกำลังมุ่งหน้าไปยังนครหลวงธารสายไหม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการชุมนุมดาวรุ่งอยู่ การพบเขาอีกครั้งนั้นก็คงพูดง่ายกว่าทำ”

ต้วนมู่เจ๋อเงียบไป เพราะอันที่จริงเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกันว่าเฉินซีในยามนี้ไม่อาจเทียบกับเมื่ออดีตได้อีกแล้ว ความแข็งแกร่งของเขานั้นยอดเยี่ยมจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของราชวงศ์ซ่งได้เลย คนอย่างเขาถูกกำหนดให้ก้าวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ แทนที่จะอยู่เฉย ๆ ในบ่อน้ำเล็ก ๆ ไปตลอดชีวิต

ด้านนอกหน้าต่างเสียงอึกทึกครึกโครมจอแจดังอยู่ไม่ขาดสาย แขกที่นั่งอยู่ภายในล้วนก็พูดคุยกันถึงชื่อของเฉินซีและการกระทำต่าง ๆ ในอดีตของเขา ในความเป็นจริง หนึ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีก็มีเกิดขึ้นที่ศาลาชุมนุมเซียนแห่งนี้เช่นกัน

ครั้งนั้นเป็นเพราะสองพี่น้องมู่เหยากับมู่เหวินเฟย เขาจึงได้มีเรื่องขัดแย้งกับเซี่ยจ้าน นายน้อยลำดับสองของตระกูลเซี่ย และจบลงด้วยการต่อสู้สามครั้งบนสังเวียนต่อสู้ของศาลาชุมนุมเซียน

การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ชื่อของเฉินซีที่เพิ่งมาถึงเมืองทะเลสาบมังกร แพร่กระจายไปทั่วในชั่วข้ามคืน

ตอนนี้พวกเขากำลังรวมตัวกันเยี่ยมชมสถานที่เก่า ๆ แต่เพื่อนเก่าของพวกเขากลับอยู่ไกลออกไปที่เมืองอื่น ในฐานะเพื่อนที่ดีเพียงไม่กี่คนของเฉินซี ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลินต่างก็ถอนหายใจอย่างหนักด้วยความรู้สึกที่ท้วมท้นอยู่ภายในใจ

“แต่ข้าได้ยินมาว่าพ่อของเจ้าจะให้เจ้าหมั้นหมายแล้ว?” จู่ ๆ ต้วนมู่เจ๋อเงยหน้าขึ้นมองตู้ชิงซีแล้วกล่าวขึ้น

ตู้ชิงซีผู้ดื่มอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่ครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ นานามาตั้งแต่ต้นจนจบ ชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่แยแส “ข้าจะไม่แต่งงาน”

น้ำเสียงที่นิ่งสงบของนางเผยให้เห็นความรู้สึกที่แน่วแน่และเด็ดขาด

“หรือว่าเจ้ายังหลงใหลและคาดหวังว่าเฉินซีจะกลับมาแต่งงานกับเจ้าอยู่กัน?” ต้วนมู่เจ๋อหัวเราะพร้อมกับขยิบตาให้นาง

ทว่าเรื่องตลกของเขากลับทำให้สีหน้าของตู้ชิงซีมืดมนยิ่งขึ้น ใบหน้าที่สวยงามอย่างยิ่งของเธอก็เผยให้เห็นร่องรอยความเศร้าโศกที่ชวนให้ใจสลายโดยไม่ได้ตั้งใจ

ต้วนมู่เจ๋อตระหนักได้ในทันทีว่าเขาพูดบางอย่างผิดไป และรีบปลอบใจอีกฝ่าย “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย หากเจ้าอยากเจอเขา เช่นนั้นเมื่อการชุมนุมดาวรุ่งเริ่มขึ้น เราก็ไปเที่ยวที่นครหลวงธารสายไหมกันเลย!”

“ใช่แล้ว พูดตามตรง ในชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยไปเยือนครหลวงธารสายไหมมาก่อนเลย เราถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมดูได้ก็ดี” ซ่งหลินรีบพยักหน้าเช่นกัน

ดวงตาของตู้ชิงซีทอประกายขึ้น ความมีชีวิตชีวาเพียงน้อยนิดก็แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าที่สวยงามของเธอ “จริงหรือ?”

ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลินชำเลืองมองกันและกัน ก่อนจะพยักหน้าพร้อมกัน

“ได้ เช่นนั้นข้าจะกลับบ้านก่อน อีกสองสามวันเราจะออกเดินทางกัน!”

มุมปากของตู้ชิงซียกยิ้ม ยามนี้จิตใจของนางเบิกบานยิ่ง ขณะที่นางหันหลังกลับและจากไป นางก็ยังคงพึมพำเรื่องนี้ “โอ้ นครหลวงธารสายไหมอยู่ไกลจากที่นี่มาก ข้าควรนำอะไรไปด้วยดี? โอ้ ใช่ ข้าควรจะไปหาของให้เฉินซีเสียก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะชอบดื่มมาก รู้สึกว่าท่านพ่อจะมีสุราร้อยปีเก็บไว้อยู่ไหหนึ่ง…”

“เฮ้ นิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะจัดงานชุมนุมใหญ่เป็นเวลาเจ็ดวันเพื่อเฉลิมฉลองให้กับเฉินซีที่อยู่ในที่ราบตอนกลาง ในเวลานั้นกองกำลังหลักทั้งหมดในเมืองทะเลสาบมังกรก็จะเข้าร่วมด้วย เจ้าจะไปหรือไม่?” ต้วนมู่เจ๋อตะโกนไล่หลังไป

“ไม่ ถึงข้าจะไปข้าก็คงไม่ได้เจอเฉินซี ดังนั้นมันคงจะน่าเบื่อมาก” ตู้ชิงซีไม่แม้แต่จะหันกลับมาในขณะที่นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นางได้ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังนครหลวงธารสายไหม ก็ราวกับว่านางได้รับชีวิตใหม่ ใบหน้าดูสดใสขึ้น ดวงตาเปล่งประกายและยิ้มแย้มด้วยความสุข นางสาวเท้าก้าวไปอย่างว่องไวพลางฮัมเพลงที่ไม่รู้จัก ท่าทางที่ดูเหมือนเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งเคยตกหลุมรัก ทำให้ต้วนมู่เจ๋อและซ่งหลินตกตะลึงไปชั่วขณะ

“นี่คือ… พลังแห่งความรัก?” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“พี่ต้วนมู่ พวกเราผู้บ่มเพาะต้องไม่ตกหลุมรัก ความรักคือคมมีดอันตรายสุดแหลมคมที่ไม่อาจมองเห็น มันคือปีศาจในจิตใจ มันคืออุปสรรค มันคือหายนะ มันคือ…” ซ่งหลินส่ายหัวแล้วพูด

“บัดซบ! เจ้ายังไม่เคยมีสตรีที่ไหนด้วยซ้ำ! แล้วจะมาทำเป็นรู้อะไรกับความรักกัน!?” ต้วนมู่เจ๋อเตะส่งซ่งหลิน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท