บทที่ 319 ฝูงชนมาร่วมอวยพร
บทที่ 319 ฝูงชนมาร่วมอวยพร
ณ ตระกูลเฉิน เมืองหมอกสน
เวลานี้จวนตระกูลเฉินขยายใหญ่ขึ้นจากเดิมเกือบสิบเท่า โดยมีอาคารหลายหลังทอดยาวต่อเนื่องกันไป ตามชายคามีพรรณไม้เลื้อยห้อยระย้า อาคารทั้งหมดอยู่ใต้ร่มเงาของต้นสนใหญ่ที่มีเขียวขจี สวนหย่อมมีสายน้ำไหลคดเคี้ยวโดยมีสะพานขนาดเล็กทอดข้ามเป็นระยะลัดเลาะไปรอบ ๆ ภูเขาเทียมซึ่งมองเห็นได้จากทุกที่ เหนือผืนทะเลสาบสีฟ้าใสสะท้อนแสงแดดส่องประกายระยิบระยับปรากฏฝูงนกกระเรียนบินวนอยู่ตรงกลาง ฉากหลังประกอบไปด้วยเทือกเขาโอบล้อม ช่างเป็นภาพที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์ที่มองแล้วเพลิดเพลินเจริญตายิ่งนัก
แม้แต่คนรับใช้และสาวใช้ของตระกูลเฉินทุกคนแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยผ้าปักที่มีลวดลวยและสีสันสวยงามเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ จึงส่งให้บรรยากาศของที่นี่แตกต่างจากตระกูลอื่น
ปัจจุบันผู้บ่มเพาะในเมืองหมอกสนเกือบทุกคนรู้แล้วว่าถ้ามองในแง่ของความมั่นคงและแข็งแกร่ง มากด้วยวัตถุทรัพยากร รวมถึงของที่สั่งสมไว้อย่างล้ำลึกหรือความน่ายำเกรงของตระกูลมีมากเพียงใด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของตระกูลเฉินร่วมด้วย
ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ทว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารอย่างที่เห็น ส่วนสาเหตุนั้นก็ไม่มีอะไรมากเพราะตอนนี้ตระกูลเฉินถือว่าเป็นตระกูลที่ควบคุมทรัพยากรที่อยู่ในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเส้นชีพจรวิญญาณอันล้ำค่า สินแร่ วัตถุต่าง ๆ รวมทั้งบรรดาสมุนไพรที่มีอยู่ในเขตเทือกเขากว้างใหญ่อย่างน่าตกใจด้วยอาณาบริเวณนับแสนลี้ อันนำมาซึ่งความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วประหนึ่งกระแสน้ำที่หลั่งไหลไปยังตระกูลเฉินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ด้วยเบื้องหลังความมั่งคั่งที่ลึกล้ำตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว จึงทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่ตระกูลเฉินจะไม่ผงาดขึ้นมาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม
ตอนนี้มิใช่มีเพียงแค่พ่อค้าในเมืองหมอกสนเท่านั้น แม้แต่หอการค้าจากเมืองใหญ่ทั้งหลายในดินแดนทางใต้ก็มาเจรจาค้าขายหรือไม่ก็ขอความร่วมมือจากตระกูลเฉินทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างหอขุมทรัพย์สวรรค์ ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีอำนาจไปทั่วแผ่นดินซ่งได้ตกลงทำความร่วมมือทางการค้าในระยะยาวกับตระกูลเฉินแล้ว โดยให้ฝ่ายตระกูลเฉินเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบในขณะที่ฝ่ายหอขุมทรัพย์สวรรค์จะส่งเครื่องมือชั้นเยี่ยมและสมบัติวิเศษมาให้ตระกูลเฉิน
เรียกว่าตระกูลเฉินไม่ต้องทำอะไร ความมั่งคั่งก็มาเอง
เมื่อความมั่งคั่งมากขึ้นอำนาจก็เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มหาศาลปานกัน ตอนนี้ตระกูลเฉินมีศิษย์ที่ไม่ได้ใช้แซ่เฉินราวหนึ่งหมื่นคน ในบรรดาศิษย์หนึ่งหมื่นคนนี้มีศิษย์ชั้นสูงสามพันคน ซึ่งพวกเขาจะรับผิดชอบในการคุ้มกันรักษาความปลอดภัยให้แก่ตระกูลเฉิน นอกนั้นอีกเจ็ดพันคนมีหน้าที่ดูแลและจัดการกิจการต่าง ๆ ในตระกูลเฉิน
แน่นอนว่าระดับการบ่มเพาะของศิษย์ที่ไม่ได้ใช้แซ่เฉินอาจไม่สูงนัก และด้วยความที่เฉินฮ่าวคำนึงถึงเรื่องความก้าวหน้าของตระกูลเฉินในอนาคต จึงไว้วางใจให้คนจำนวนหนึ่งทำการคัดเลือกเด็กน้อยที่มีพรสวรรค์ที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสม ทั้งในด้านความสามารถในการทำความเข้าใจและความจงรักภักดีมาจากทุกสารทิศถึงสามร้อยคน โดยเขาตั้งใจว่าจะทุ่มเททั้งพลังกายพลังใจและทรัพยากรบ่มเพาะให้เด็กน้อยเหล่านี้เพื่อที่พวกเขาจะกลายเป็นกำลังสำคัญของตระกูลเฉินในภายหน้า
แม้ว่าตอนนี้ตระกูลเฉินจะยังไม่มีผู้บ่มเพาะระดับสูงเป็นของตัวเอง แต่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็ได้ส่งผู้อาวุโสขอบเขตจุติให้มาช่วยคุ้มกันตระกูลเฉินจากพวกผู้ไม่หวังดีทั้งหลาย และอีกสามเดือนถัดไปก็จะมีผู้อาวุโสขอบเขตจุติอีกกลุ่มหนึ่งมาสับเปลี่ยน
ดังนั้นจะว่าไปเวลานี้ตระกูลเฉินก็ใช่ว่าจะขาดผู้บ่มเพาะ อีกอย่างการที่มีผู้อาวุโสขอบเขตจุติมาคอยปกป้องตระกูลเฉินได้ช่วยให้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปสิ้น
อย่างไรก็ตามในโลกนี้เต็มไปด้วยคนโลภ อีกทั้งพวกโจรขโมยก็ไม่เคยขาดหาย ขณะที่ตระกูลเฉินเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งขึ้นทุกวัน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าบัดนี้พวกเขาได้กลายเป็นชิ้นเนื้ออวบอ้วนในสายตาของใครหลายคนที่อยากเข้ามามีส่วนแบ่ง แต่ด้วยผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเหล่านั้น กอปรกับชื่อเสียงของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจึงได้ทำให้ความเสี่ยงเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นถูกทำลายไปโดยทางอ้อม
พูดสั้น ๆ ก็คือปัจจุบันนี้ตระกูลเฉินขยายตัวมากขึ้น อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นด้วยอัตราเร่งที่น่าตกใจ ไม่มีปัญหาทั้งภายในและภายนอกเกิดขึ้นเลยมาเป็นระยะเวลานาน
ถึงขนาดที่ผู้อาวุโสระดับสูงแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างเป่ยเหิงได้ออกปากทำนายว่าถ้าทิศทางและความเร็วในการเติบโตของตระกูลเฉินยังเป็นเช่นในปัจจุบัน อีกไม่เกินร้อยปีตระกูลเฉินจะยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับหกนิกายและห้าตระกูลใหญ่ในเมืองทะเลสาบมังกรเป็นแน่ อีกทั้งยังเหนือกว่ากองกำลังในดินแดนทางใต้แห่งอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง
วันนี้ที่ตระกูลเฉินมีบรรยากาศคึกคักมากผิดปกติ จะว่าไปก็เป็นวันที่ครึกครื้นที่สุดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
บรรดาคนชั้นนำของกองกำลังในเมืองหมอกสน คนที่มีสถานะเป็นที่นับถือจากนอกเมือง หัวหน้าหอการค้าต่าง ๆ ในดินแดนทางใต้ ผู้อาวุโสแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรสองสามคน และเจ้าสำนักบ่มเพาะวิถีอสูรที่มาจากป่าลึกแถบเทือกเขาทั้งหมดซึ่งมีกลุ่มละสองคนบ้างห้าคนบ้าง ต่างยกขบวนกันนำของขวัญล้ำค่ามามอบให้ตระกูลเฉินกันเป็นทิวแถว
เหนือท้องฟ้าเมืองหมอกสนบัดนี้เต็มไปด้วยริ้วแสงสี ไหนจะสมบัติวิเศษที่กำลังทะยานไปมาค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเมื่อยามเช้ามาเยือน มันช่างเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ งดงามและคึกคักยิ่งนัก
ส่วนสาเหตุนั้นไม่มีอะไรมาก เป็นเพราะข่าวที่แพร่สะพัดออกไปทั่วดินแดนทางตอนใต้ว่าเฉินซีได้รับชัยชนะถึงหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทองที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างทึ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน ในขณะที่ความเป็นมาเป็นไปเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเฉินซีไม่ได้เป็นความลับในเมืองหมอกสนอีกต่อไป ดังนั้นผู้บ่มเพาะและเหล่าหอการค้าที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อนจะไม่มาเยี่ยมคารวะและร่วมแสดงความยินดีกับตระกูลเฉินได้อย่างไร
“ผู้อาวุโสหนิงเต้าฟู่แห่งสำนักหมอกสนและผู้อาวุโสเยี่ยชิวแห่งสำนักพฤกษ์ชาดมาถึงแล้ว! ผู้อาวุโสทั้งสองได้นำของขวัญพิเศษมามอบให้เป็นปทุมมรกตอายุหนึ่งพันปีและโสมโลหิตเกลียวเก้าชั้น”
“หัวหน้าหอการค้าร้อยขุมทรัพย์แห่งเมืองทะเลหมอก ร้านค้าโชคลาภพูนทวีแห่งเมืองประกายหยก และหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าแห่งเมืองเมฆาอนันต์มาถึงแล้ว! พวกข้าได้นำแร่โลหะทมิฬ โอสถพิสดารหยกนภา และกระบี่เมฆาชาด ศัสตราวิเศษระดับปฐพีมามอบให้เป็นของขวัญเป็นพิเศษ…”
“โอ้…ผู้อาวุโสเสวียนจิง ผู้อาวุโสชิงชิว ท่านทั้งสองคนก็มาด้วยหรือ รีบเข้ามาก่อน! เข้ามา! ทำไมต้องลำบากนำของขวัญมาด้วยเล่า ถ้าประมุขตระกูลรู้เข้าคงเอ็ดตะโรใส่ข้าแน่… เอาล่ะ! ข้าจะทำตามที่พวกท่านขอร้อง และจะนำของชิ้นนี้ไปให้คุณชายน้อยเฉินอวี่ด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
ด้านนอกฝั่งประตูสีชาด เซียวเหน่าพาบริวารทั้งหมดออกไปยืนต้อนรับแขกตั้งแต่เช้าตรู่ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มค้างและเฝ้าขานชื่อแขกที่มาเสียจนเสียงแหบเสียงแห้งไปหมด ทว่าในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและภาคภูมิใจที่เพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเฉิน การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติซึ่งมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ส่งผลต่อความรู้สึกชื่นชอบในใจเป็นล้นพ้น
ขณะนั้นภายในจวนตระกูลเฉินเนืองแน่นไปด้วยแขกเหรื่อและโต๊ะจัดเลี้ยงที่ตั้งแถวเป็นแนวยาว เสียงพูดคุยดื่มสังสรรค์เซ็งแซ่ไปทุกที่ และเรื่องที่ถูกยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนากันมากที่สุดก็คือเรื่องของเฉินซีนั่นเอง
ห้องโถงใหญ่แห่งตระกูลเฉิน ผู้ที่ได้เข้าไปในห้องโถงต้องเป็นคนที่มีตัวตนและสถานะสูงส่งที่สุด เฟยเหลิ่งชุ่ยกำลังนั่งพูดคุยกับแขกผู้มีเกียรติเพื่อสร้างความบันเทิงแก่พวกเขา แต่เวลานั้นเฉินฮ่าวไม่ได้อยู่ด้วย กระนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงในแง่ร้ายหรือไม่พอใจแต่อย่างใด
เฟยเหลิ่งชุ่ยมิใช่แค่เป็นภรรยาของเฉินฮ่าวเท่านั้น นางยังเคยเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแต่เก่าก่อนอีกด้วย ประกอบกับนางมีความสัมพันธ์กับเฉินซี ผู้คนที่ห้อมล้อมนางอยู่ในตอนนี้มีหรือจะกล้าดูถูก
“น้องสะใภ้ หรือพ่อหนุ่มเฉินฮ่าวจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมป่านนี้จึงยังไม่มา” สุดท้ายใครบางคนก็ไม่อาจอดใจรอด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่เต็มหัวใจได้ เขาผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากราชาเต่าเฒ่าเสวียนจิง สมแล้วที่เป็นเขาที่ตั้งคำถามนี้ออกมา
เฟยเหลิ่งชุ่ยหันไปสั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ สีหน้าของสตรีเผยให้เห็นความสุขและอ่อนไหวอย่างล้ำลึก และนางก็ตอบว่า “เขาพาอวี่เอ๋อร์ไปที่หอบรรพชน เห็นว่าอยากจะเล่าเรื่องท่านพี่เฉินซีให้ท่านปู่ฟัง”
ทุกคนที่ได้ยินจึงเงียบงันไปทันที
เกือบทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้จักเฉินเทียนลี่และรู้ว่าชายชราคนนี้เป็นคนเลี้ยงดูเฉินซีและเฉินฮ่าวมานั่นเอง ณ ตอนนั้นบ้านตระกูลเฉินถูกทำลายและลำบากยากแค้นเป็นที่สุด พวกเขาทั้งสามคนไม่เพียงมีชีวิตอยู่อย่างยากไร้เท่านั้น หากพวกเขายังต้องทุกข์ทรมานกับคำพูดล้อเลียนและเย้ยหยันต่าง ๆ นานาจากคนรอบข้าง กล่าวได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ปัจจุบันตระกูลเฉินอยู่ในช่วงขาขึ้นและมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดแสงแรงกล้าเหนือท้องฟ้าดินแดนทางใต้ในเวลานี้ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนอาจกล่าวได้ว่าแตกต่างกันราวกับสวรรค์กับพื้นพิภพทีเดียว เพียงแต่ไม่อาจแลกชีวิตของเฉินเทียนลี่กลับคืนมา ด้วยเหตุนี้ทำให้จึงคนอื่น ๆ รู้สึกสะท้อนใจ
…
ณ หอบรรพชนตระกูลเฉิน
เทียนไขที่ถูกจุดไว้อย่างถาวรเรียงรายเป็นแถว ส่วนด้านบนเป็นแผ่นจารึกที่จัดวางกระจายแผ่ขึ้นไป บนแผ่นจารึกแต่ละแผ่นถูกสลักด้วยรายชื่อของคนตระกูลเฉินที่ตายลงในคราวที่ตระกูลเฉินถูกทำลายเมื่อหลายปีก่อน
เฉินฮ่าวนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะขณะนั้นสายตาของเขาจ้องไปที่แผ่นจารึกตรงกลางพลางพึมพำเสียงแผ่ว “ท่านปู่ ท่านสั่งให้ท่านพี่เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว แต่ไม่ยอมให้เขาได้ฝึกฝนอะไรเลยเพราะท่านบอกว่าพรสวรรค์ของเขาด้อยกว่าข้า ด้วยฐานะของครอบครัวเราจึงทำได้เพียงให้คนใดคนหนึ่งได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่ ดังนั้นท่านจึงบอกให้เขาเสียสละทุกอย่างและแบกภาระหนักอึ้งเพื่อการดำรงอยู่ของครอบครัว…”
“แต่ตอนนี้ท่านพี่ของข้าไม่เพียงเป็นที่หนึ่งในการเทียบอันดับมังกรซ่อนเท่านั้น เขายังชนะติดต่อกันถึงหนึ่งร้อยครั้งในการชุมนุมธารทอง และเป็นผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางใต้เพียงคนเดียวที่ได้รับเกียรตินี้ เขาทำให้โลกตะลึงและชื่อของเขาก็ได้เลื่องลือระบือไกล แสดงว่าเมื่อก่อนท่านดูเขาผิดไปจริง ๆ”
“หลายปีก่อนท่านพี่ไม่พอใจกับการตัดสินใจของท่านอย่างมาก ขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าท่านเองก็เจ็บปวดใจที่ต้องตัดสินใจเช่นนั้น ในที่สุดตอนนี้ข้าก็เข้าใจความรู้สึกนั้นแล้ว ท่านพี่ของข้าท่องเที่ยวไปตามลำพังโดยแบกรับเอาความเกลียดชังของตระกูลเฉินไว้ที่เขาคนเดียว และต้องเผชิญกับอันตรายต่อชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนทำให้หัวใจของข้าก็เจ็บปวดไม่น้อยเช่นกัน ทั้ง ๆ ข้าต่างหากที่ต้องแบกรับใช่ไหมขอรับ…”
“ท่านพ่อร้องไห้ ท่านบอกเองไม่ใช่หรือขอรับว่าลูกผู้ชายอย่าหลั่งน้ำตาง่าย ๆ” เฉินอวี่น้อยที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างกันเงียบ ๆ ก็ใช้มือเล็ก ๆ ของเขาช่วยเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าของเฉินฮ่าวทันทีที่เห็นใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของผู้เป็นบิดา
เฉินฮ่าวสูดลมหายใจพร้อมกับลูบไปบนศีรษะของเฉินอวี่น้อย “อวี่เอ๋อร์ ชั่วชีวิตนี้พ่อเป็นหนี้ท่านลุงของเจ้ามากเหลือเกิน เมื่อโตขึ้นไปเจ้าสมควรตอบแทนบุญคุณของท่านลุงด้วย เข้าใจไหม”
“ขอรับ! ท่านลุงดีกับอวี่เอ๋อร์มากที่สุด ลูกจะตอบแทนท่านลุงตลอดชีวิตอย่างแน่นอนขอรับ” เฉินอวี่น้อยผงกศีรษะรับคำอย่างหนักแน่น จากนั้นเด็กน้อยก็เงยหน้ามองพลางขมวดคิ้ว “ท่านพ่อแล้วลูกจะตอบแทนลุงอย่างไรดีขอรับ”
ผู้เป็นพ่ออมยิ้มและหันไปมองยังแผ่นจารึกของเฉินเทียนลี่ ก่อนจะเอ่ยตอบให้ว่า “ง่ายมาก…แค่เจ้าทำให้ตระกูลเฉินของเรารุ่งเรืองตราบชั่วนิรันดร์ก็พอ!”
“ชั่วนิรันดร์หรือขอรับ” ด้วยความที่เฉินอวี่น้อยยังเป็นเด็กเล็ก จึงยากที่จะเข้าใจความหมายขอคำบางคำได้อย่างชัดเจน
“ใช่แล้วลูก ตราบชั่วนิรันดร์…ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย มหันตภัยถาโถมไม่มีวันจบสิ้น ศัตรูมากมายบุกเข้ามาย่ำยีหรือแม้กระทั่งการเสื่อมสลายด้วยกาลเวลา ตระกูลเฉินของเราจะไม่ยอมล่มสลายเด็ดขาด!” เสียงเฉินฮ่าวกล่าวเน้นย้ำทีละคำชัดเจน
เด็กน้อยเฉินอวี่จ้องหน้าบิดาของเขาตาไม่กะพริบขณะที่เจ้าตัวพูดน้ำเสียงจริงจังตามประสาเด็กว่า “ท่านพ่อ อวี่เอ๋อร์ขอสัญญาด้วยหัวใจขอรับ ท่านลุงเคยสอนลูกว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด ดังนั้นท่านพ่อคอยดูสิ่งที่ลูกจะทำนะขอรับ”
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองให้ท่านลุงของเจ้า รีบกลับไปหาเขาดีกว่า” เฉินฮ่าวพยักหน้าก่อนจะขยับลุกขึ้นและฉวยข้อมือเล็ก ๆ ของเฉินอวี่และพากันเดินกลับออกจากหอบรรพชน
“โอ้โห ยอดเลย! ข้าจะได้ของเล่นเยอะแยะไปเลย…” เฉินอวี่น้อยเผลอส่งเสียงเอะอะด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเหมือนจะรู้ตัวเด็กน้อยจึงรีบยกมือปิดปากและกล่าวขอโทษพร้อมสีหน้าแสดงความสำนึกผิด “ท่านพ่อ ลูกซุกซนอีกแล้วใช่ไหม”
“วันนี้พ่ออนุญาตให้เล่นได้เต็มที่ แต่ต่อไปเจ้าจะต้องฝึกฝนให้มากด้วยล่ะ ยังจำเรื่องที่พ่อบอกเจ้าได้ไหม” บิดาถามยิ้ม ๆ
“ลูกจะทำขอรับ หลายปีแล้วที่ลูกเห็นท่านลุงเอาแต่ฝึกอย่างขะมักเขม้นตลอดเวลา ทำให้ท่านลุงของข้าเก่งกว่าคนอื่น ๆ อวี่เอ๋อร์จะเป็นให้เหมือนท่านลุงและจะใช้เวลาฝึกทุกวัน ๆ เพื่อจะได้ตามให้ทันท่านลุงขอรับ” เฉินอวี่น้อยตอบเสียงดังฟังชัด
เฉินฮ่าวพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ภายในใจของผู้เป็นพ่อมีเสียงรำพึงกับตัวเองว่า ‘อวี่เอ๋อร์ อย่าโทษพ่อที่บังคับให้เจ้าต้องสืบทอดตระกูลเฉิน จนทำให้เจ้าไม่มีวัยเด็กที่สนุกสนานเหมือนกับเด็กคนอื่นที่ไร้ความกังวลใด ๆ เลย…’
…
บันทึกของผู้แต่ง: ผมรู้สึกว่าบทนี้ควรจะถูกเขียนขึ้นมา เนื้อหาของนวนิยายไม่ได้มีข้อกำหนดว่าตัวละครจะต้องมีชีวิตและให้ความสำคัญหมดทุกตัว แต่อย่างน้อย ๆ คนรักหรือเพื่อนสนิทของตัวเอกก็ไม่น่าจะถูกกล่าวถึงแบบลอย ๆ มากเกินไป จริงไหม?