บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 339 กับดักหลายชั้น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 339 กับดักหลายชั้น

บทที่ 339 กับดักหลายชั้น

ขวับ! ขวับ! ขวับ!

ในป่าทมิฬ คนกลุ่มหนึ่งกำลังทะยานมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว คนที่เป็นผู้นำมีบุคลิกลักษณะเหมือนกับเหยี่ยวเป็นบุรุษสวมดำทั้งชุดมีนามว่าไป๋ซิง และเป็นลูกน้องผู้เก่งกาจคนหนึ่งของพรางเวหา เชี่ยวชาญในการค้นหาและซ่อนเร้น

ทันใดนั้น จู่ ๆ ไป๋ซิงชะงักหยุดกะทันหันพลางทำท่าสูดจมูกฟุดฟิด ครู่หนึ่งเขาก็เลิกคิ้ว ดวงตาพลันเปล่งแสงวาววับก่อนจะพูดผ่านกระแสปราณอย่างรวดเร็ว “กลิ่นคาวโลหิต!”

มุมปากของพรางเวหาเผยรอยยิ้มเย็น ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณมือออกไป

มือสังหารชุดดำทั้งห้าสิบคนที่ตามมาประกบด้านหลังค่อย ๆ แปรขบวนเป็นค่ายกลอย่างเงียบเชียบ และเคลื่อนที่ไปยังทิศทางที่ไป๋ซิงชี้นำก่อนจะกระจายเป็นวงกลม

ต่อมาพรางเวหาหยุดให้สัญญาณกะทันหัน เมื่อจมูกของเขาได้กลิ่นโลหิตเช่นกัน จากนั้นเจ้าตัวก็แผ่จิตสัมผัสเทพปกคลุมบริเวณนั้น จนกระทั่งพบว่าบนพื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปร้อยจั้งมีโลหิตปรากฏเป็นกลิ่นอายเจือจาง

ยิ่งกว่านั้นเขายังระบุชัดลงไปได้ว่าใต้พื้นดินมีกลิ่นอายแปรปรวนทว่าเบาบางมาก จึงไม่ได้เดินหน้าค้นหาต่อไปเพื่อจะได้หลบหลีกสัญญาณเตือนภัยของเป้าหมายด้วย

จากนั้นจึงลงมือสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ร่างไร้วิญญาณของจิ้งจอกแดงและกุหลาบโดยละเอียด ด้วยเชื่อว่าเป้าหมายที่พวกตนกำลังไล่ล่ามีความเชี่ยวชาญในการวางกับดัก รวมทั้งวางแผนด้วยความชำนาญอย่างยิ่ง เพราะเหตุนี้จึงทำให้จิ้งจอกแดงและกุหลาบหลงกลและเข้ามาติดกับที่เฉินซีวางไว้นั่นเอง

การรับมือกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ใช่ว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้เสียเลย ตราบใดที่สามารถระบุตำแหน่งของคู่ต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ เขาก็จะจู่โจมเพื่อเอาชีวิตของศัตรูได้ เนื่องจากผู้ฝึกบ่มเพาะคนนี้มีทั้งทักษะการวางแผนดักจู่โจมและการวางกับดักที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นการต่อสู้อันดุดันจึงได้กลายเป็นจุดอ่อนของคนคนนี้ไปโดยปริยาย

ตรงข้ามกับตัวของพรางเวหาที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้กำลังที่สุด และตัวเขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อบดขยี้แผนการร้ายและกลอุบายทั้งหมดให้ได้!

ใต้ผืนดินในระยะไกลมีร่องรอยให้เห็นเด่นชัดว่ามีความแปรปรวนของพลังชีวิต แม้พรางเวหาจะยังไม่แน่ใจว่าใช่เป้าหมายของเขาหรือไม่ แต่ความคิดที่จะฆ่าเป้าหมายนั้นรุนแรงมากกว่าการปล่อยให้เหยื่อลอยนวล เขาจึงตัดสินใจได้อย่างเฉียบพลันว่าจะลงมือ!

“ฆ่ามัน!”

พรางเวหาโบกมือแรง ๆ เพื่อให้สัญญาณ ทำให้บรรดาลูกน้องที่เตรียมพร้อมมาเป็นเวลานานทุ่มพลังออกปฏิบัติการโดยไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย พวกเขาต่างพากันเปิดฉากจู่โจมลงไปยังพื้นที่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปร้อยจั้งทันที

ถึงพรางเวหาจะกังวลอยู่บ้างว่าเป้าหมายอาจดักรออยู่และวางกับดักไว้ในที่ที่ตนและพวกกำลังมุ่งหน้าไป ทว่าหากมีกำลังคนมากขนาดนี้ มันก็เป็นอันมั่นใจได้ว่าแผนการของเป้าหมายทำอะไรพวกเขาไม่ได้แน่ เมื่อต้องปะทะกับพลังบดขยี้อย่างแรงกล้าเช่นนี้!

เปรี้ยง!

เสียงพลังปะทะบนพื้นที่ห่างไปร้อยจั้งในครั้งแรกดังขึ้น เป็นลำแสงกระบี่เฉียบขาดที่ยากจะหาใดเทียมทาน แสงกระบี่น่ากลัวพุ่งทะลวงพื้นดินโดยตรง ผ่าผืนดินจนแตกออกจากกันเป็นทางยาวกว่าร้อยจั้งทันที

อย่างไรก็ตาม ภาพตรงรอยแตกที่ปรากฏให้เห็นทำให้ม่านตาของพรางเวหาหดแคบลงอย่างชัดเจน ไม่มีใครอยู่ที่นั่น จะมีก็เพียงสัตว์อสูรปีกสามหางเพียงตัวเดียว อสูรสัตว์ซึ่งพบได้ในป่าทมิฬมากที่สุด

หากเป็นสัตว์อสูรอ่อนแอแค่ตัวเดียวคงจะไม่ได้สร้างความตกตะลึงแก่คนอย่างพรางเวหามากนัก แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือข้างอสูรไก่สามหางมีแกนทองคำสีสันแวววาวติดอยู่สองชิ้น!

บัดซบ!

เสี้ยวอึดใจถัดมา พรางเวหาก็เข้าใจทันทีว่าตนตกหลุมพรางเข้าเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณเตือนภัยของเป้าหมาย จึงไม่ทันสำรวจสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นดินให้ดี อีกอย่างกลิ่นอายแห่งชีวิตที่สัมผัสได้นั้นไม่ใช่ของเฉินซี แต่กลับเป็นเจ้าสัตว์ปีกขนยาวตัวนี้…

เขาต้องรีบยับยั้งลูกน้องทุกคน ทว่าดูเหมือนจะสายเสียแล้วด้วยพวกเขาถลำลึกเกินไป

ครืนนน!

มือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจำนวนห้าสิบคนลงมือจู่โจมพร้อมกันเต็มที่จะน่าสะพรึงกลัวสักเพียงใด?

…ไม่เพียงแต่มันได้ระเบิดร่างเจ้าไก่สามหางที่ไร้พิษสงทันที มันยังทำลายแกนทองคำทั้งสองชิ้นอีกด้วย!

แกนทองคำระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อมันแตกออกจากกัน ก่อนจะทำให้เกิดแรงระเบิดหนักหน่วงกระจายออกมา!

ชั่วพริบตาถัดมา พลังทำลายล้างที่รุนแรงอย่างไม่อาจหาใดเทียบพุ่งทะลวงขึ้นมาจากพื้นดินรอบบริเวณ ทั้งยังระเบิดตูมตามจนพื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาแตกละเอียด ต้นหมากรากไม้ถอนรากถอนโคน ก้อนอิฐก้อนหินที่อยู่ในรัศมีสิบลี้ถูกแรงระเบิดทลายราบเป็นหน้ากลอง พื้นดินในละแวกกว่าร้อยจั้งปรากฏหล่มหลุมมากมายกระจายทั่วไป

ฝุ่นควันฟุ้งตลบอยู่พักใหญ่ทีเดียว

พื้นที่ในบริเวณกว้างขวางไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโก ใครคนหนึ่งคลานออกมา ที่แท้คนผู้นั้นก็คือพรางเวหา ซึ่งอยู่ในสภาพที่น่าสลดหดหู่อย่างยิ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบดำและฝุ่นละออง ดวงตาสองข้างแดงก่ำเต็มไปด้วยประกายแห่งความอาฆาตและเกลียดชังอย่างไม่สิ้นสุด

“แค่ก! แค่ก!” เสียงสำลักไอดังออกมาจากบริเวณใกล้เคียงพร้อมกับร่างของมือสังหารชุดดำประมาณสิบคนค่อย ๆ คืบคลานจากแผ่นดินที่ไหม้เกรียม ดูจากสภาพของแต่ละคนออกจะน่าเวทนามากกว่าพรางเวหาด้วยซ้ำ

“ตรวจดูว่ามีใครรอดบ้าง” พรางเวหาสั่งการด้วยเสียงลอดไรฟัน เสียงที่เล็ดลอดผ่านลำคอแหบห้าวบ่งบอกความแค้นใจ อีกทั้งแฝงเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน

“พวกเราตายสิบสาม เจ็บหนักหก และยังสู้ไหวอีกสามสิบเอ็ดรายขอรับ” หลังจากนั้นไม่นานจึงได้รับรายงานจำนวนคนที่เสียชีวิต

เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้ใจของพรางเวหาปวดร้าวไปทั้งดวง นัยน์ตาแทบถลนออกมานอกเบ้า ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเองที่เขาต้องเสียลูกน้องไปถึงสิบสามคน ในจำนวนนั้นบางคนเคยติดตามข้ามานานปี!

บัดซบ!

คนเป็นผู้บัญชาการโกรธจัดจนหน้าเขียวหน้าเหลือง โกรธจนแทบสิ้นสติ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกเจ้าตัวกัดกรามกรอดด้วยความแค้นสุดขีด เป้าหมายมันเจ้าเล่ห์นัก สันดานชั่วไร้ยางอาย โหดเหี้ยมอำมหิตกว่าที่คิดจริง ๆ…

เขานึกเอะใจอยู่แล้วว่าแกนทองคำทั้งสองชิ้นนั่นต้องเป็นของจิ้งจอกแดงและกุหลาบอย่างแน่นอน เดิมมันเป็นของสหายของตน แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้ทำลายล้างชีวิตลูกน้องของเขาตายเสียหลายคน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้พรางเวหาเกือบคลุ้มคลั่งด้วยความเกลียดชังที่พุ่งขึ้นในใจ

“ผู้บัญชาการ จะเอาอย่างไรต่อดีขอรับ”

เสียงลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาทำให้พรางเวหาได้สติ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ขณะพยายามระงับกองเพลิงแห่งโทสะที่สุมในใจอย่างเต็มที่ จากนั้นก็สั่งการทันที “ไล่ตามมันไป! ไม่ว่าจะอย่างไรจะต้องลากตัวไอ้คนต่ำช้านั่นมาให้ได้!”

หลังจากปรับขบวนกลุ่มกันใหม่ พรางเวหาก็เริ่มปฏิบัติการออกค้นหาอีกครั้ง

หลังจากเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาก่อน บัดนี้จากเดิมที่มีกำลังคนทั้งหมดห้าสิบคนจึงเหลือเพียงสามสิบเจ็ด นอกจากนั้นยังมีหกคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้สูญเสียศักยภาพในการต่อสู้ต่อไป

เหตุไม่คาดฝันครั้งนี้ได้ทำให้เหล่ามือสังหารแห่งตำหนักตะวันดำชังน้ำหน้าเฉินซีจนเข้ากระดูกดำยิ่งขึ้น ดังนั้นตลอดทางจึงไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนพกเอาความเคียดแค้นมาเต็มเปี่ยมและหวังที่จะระบายความโกรธเกลียดทั้งหมดไปที่เฉินซีคนเดียว

ทุกคนเป็นนักฆ่าชั้นยอดแห่งตำหนักตะวันดำ ซึ่งจะใช้การซุ่มจู่โจมและลอบสังหารศัตรู ทว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งพวกตนจะเป็นฝ่ายที่ถูกลอบฆ่า และต้องทุกข์ทรมานจากผลของการซุ่มจู่โจมที่แสนโหดเหี้ยมของคนอื่น!

ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือนับตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของศัตรูสักครั้งเดียว!

ครั้งนี้เป็นความอัปยศอดสูอย่างร้ายแรงสำหรับพวกเขา ฉะนั้นคงแปลกหากพวกเขาจะไม่โกรธเคืองหรือทุกข์ทรมานใจเลย

“ผู้บัญชาการ ดูโน่น” ครู่ต่อมา ไป๋ซิงก็ร้องออกมาอย่างตกอกตกใจพลางชี้ไปทางต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปต้นหนึ่ง

พรางเวหาหันไปมองขวับ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด ท่อนแขนที่ถูกฉีกทึ้งขาดรุ่งริ่งห้อยต่องแต่งอยู่บนกิ่งไม้และแขนข้างนั้นถูกหุ้มด้วยเศษผ้าขี้ริ้ว ซึ่งเดาได้ไม่ยากเลยเมื่อดูจากเศษผ้าสีดำที่เห็นแขนข้างนั้นคงเป็นของใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มพวกเขานั่นเอง

“นั่นมันเป็นแขนลูกน้องของผู้บัญชาการจิ้งจอกแดง…จางจิ้งชัด ๆ ข้าจำปานที่แขนของมันได้” ใครสักคนร้องเสียงหลงด้วยความตื่นตระหนก

“ผู้บัญชาการ จะให้พวกเราปลดแขนของเขาลงมาหรือไม่ขอรับ”

สายตาทุกคู่มองไปที่พรางเวหาเหมือนจะรอคำตอบจากคนผู้นั้น ลักษณะการตายของสหายช่างน่าสมเพชเวทนาให้ความรู้สึกบีบคั้นหัวใจพวกเขาเหลือประมาณ ดูเอาเถอะ กระทั่งสภาพการตายของสหายของพวกเขายังถูกศัตรูฉีกแขนฉีกขาเอามาห้อยประจานไว้บนต้นไม้อย่างนั้น ความรู้สึกของทุกคนยามนี้ทั้งเศร้าโศกระคนเคืองแค้นในใจสุดที่จะพรรณนาทีเดียว

“แล้วถ้าเกิดมันเป็นกับดักเล่า?” พรางเวหาพึมพำเสียงต่ำ

ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินดังนั้น ขณะพร้อมใจกันหวนนึกถึงเรื่องที่พวกเขาเพิ่งประสบมาด้วยกันก่อนหน้านี้ทันที

“ไปพวกเรา” คนพูดโบกมือให้สัญญาณ แม้ตนเองก็ไม่อาจละสายตาจากแขนข้างนั้นได้เลย เขารู้แค่ไม่ว่ามันจะเป็นกับดักหรือไม่ก็ตาม เขาจะไม่เข้าไปหยั่งเชิงอีกแล้ว แบบนี้จึงจะปลอดภัยที่สุด

ทุกคนจำต้องละวางความรู้สึกทั้งหมดไว้เพียงเท่านี้ก่อนจะออกเดินทางไปต่อ ทว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปกลับได้พบกับสิ่งที่ทำให้พวกเขามีแต่ความหมองเศร้าและเดือดดาล ด้วยตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาจะได้เห็นแขนขาที่ฉีกขาดอยู่เป็นระยะ และมีบ้างที่เป็นศีรษะซึ่งไม่ยังบุบสลาย…

และทุกชิ้นส่วนที่ว่ามาล้วนมาจากร่างของเหล่าสหายทั้งสิ้น!

ท่าทางการแสดงออกของทุกคนมีแต่ความฉุนเฉียว บางคนขบกรามกรอดจนแทบได้ยินเสียง เส้นเลือดข้างขมับปูดโปน ถ้าเฉินซีโผล่ออกมาตอนนี้ พวกเขาคงจะอยากฉีกทึ้งชายหนุ่มทั้งเป็นทีเดียว

“สวรรค์! ศีรษะของผู้บัญชาการกุหลาบถูกแขวนไว้ที่นั่น” ใครสักคนตะโกนเสียงหลงอย่างตกใจสุดขีด

ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้นทันที และก็เป็นความจริงเมื่อพวกเขามองไปจึงได้พบกับศีรษะของผู้บัญชาการกุหลาบที่แขวนอยู่ ณ สุดปลายกิ่งไม้เข้าเต็มตา ผมสีดำสนิททิ้งตัวเป็นสายราวกับน้ำตก สีหน้าเย็นชาทว่าสวยงามไร้ที่ติของนางมีร่องรอยความขุ่นมัวที่ยังติดค้างอยู่

มันทำกับหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ได้เชียวหรือ?

ทุกคนต่างโศกสลดระคนแค้นใจสุดขีด ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นเฉินซีเป็นคนชั่วช้าอย่างไม่น่าให้อภัยเสียแล้ว ยามนี้ความเกลียดชังได้พลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจของทุกคนจนไม่อาจไถ่ถอน เว้นเสียแต่พวกเขาจะฆ่าไอ้สารเลวบัดซบผู้นี้ได้เท่านั้น!

“ผู้บัญชาการ พวกเราพบชิ้นส่วนร่างกายแขนขามาตลอดทาง ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นกับดักเสมอไป บางทีศัตรูตั้งใจที่จะจัดฉากพวกนี้ขึ้นด้วยเป็นกลยุทธ์รูปแบบหนึ่ง มันอาจอยากสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้พวกเราเห็นก็ได้ ผู้บัญชาการโปรดอนุญาตให้ข้านำศีรษะของผู้บัญชาการกุหลาบลงมาและทำพิธีศพให้นางอย่างถูกต้องด้วยเถิดขอรับ หลังจากนั้นพวกเราจึงค่อยเดินทางก็คงไม่สาย” ทันใดนั้นลูกน้องคนหนึ่งก็คุกเข่าลงทันที ก่อนจะเอ่ยวิงวอนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

คนเป็นผู้บัญชาการมองอีกฝ่ายนิ่ง เขารู้ว่าครั้งหนึ่งกุหลาบเคยมีบุญคุณต่อสมุนของเขาคนนี้มากทีเดียว ทำให้อีกฝ่ายจดจำมันไว้ในใจเสมอมา ตอนนี้เมื่อเห็นอยู่ว่าศีรษะของกุหลาบถูกห้อยแขวนอยู่บนกิ่งไม้เป็นที่อุจาดสายตา คนคนนี้ย่อมไม่อาจเดินจากมาโดยที่ไม่ทำอะไรเลยไม่ได้

“ข้ายอมรับคำขอร้องของเจ้าก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย ข้าจะอนุญาตให้เจ้าเข้าไปแค่คนเดียวเท่านั้น” พรางเวหาพึมพำเสียงแผ่วเบา “คนอื่นถอยหลัง กันไว้ดีกว่าแก้!”

“ขอบพระคุณผู้บัญชาการขอรับ ที่อนุญาตให้ข้าได้สมความปรารถนา!” สมุนคนนั้นของพรางเวหาแสดงความปลื้มปีติอย่างยิ่ง ทันทีที่พูดจบ เขาก็ทะยานไปทางยอดต้นไม้ที่มีศีรษะของกุหลาบเสียบอยู่ทันที

ในขณะที่พรางเวหาพร้อมด้วยคนอื่นพากันถอยหลังเป็นระยะห่างหกลี้ และหยุดสังเกตการณ์

เปรี้ยง!

ทันทีที่เจ้าคนนั้นปลดศีรษะของกุหลาบลงมาเท่านั้น พลังแปรปรวนอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งพรวดออกมาจากศีรษะของกุหลาบที่เพิ่งถูกปลดลงมาทันที และแปรสภาพกลายเป็นทะเลเพลิงลุกโชนก่อนจะลามไปเผาไหม้ร่างของคนที่เข้าไปทั้งเป็น ทำให้เกิดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังให้ได้ยินไปทั่ว

แม้ว่าพรางเวหาจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อภาพตรงหน้าประจักษ์แก่สายตา เขาก็ไม่อาจระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านในใจได้อีกแล้ว ‘เจ้าทำเกินไป! มันมากเกินไป!’

ส่วนคนอื่นที่เหลือต่างมองดูด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ทั้งที่พวกเขาระมัดระวังตัวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงกับดักของศัตรูจนได้ และพวกเขายังเดือดดาลเป็นที่สุด ทว่าในแววตาเหล่านั้นยังคงเจือด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจควบคุม

หนทางข้างหน้ายังมีกับดักรอพวกเราอีกอย่างนั้นหรือ?

พวกเขาไม่มีใครทันสังเกตว่าทะเลเพลิงที่กำลังลุกไหมจากแรงระเบิดของศีรษะของกุหลาบได้ลามออกไปอย่างรวดเร็ว และตอนนี้มันได้กระจายไปทุกทิศทุกทาง ส่งผลให้พื้นที่บริเวณอื่นได้รับผลกระทบไปด้วย

ชิ้นส่วนอวัยวะและศีรษะที่แขวนห้อยตามทางที่พวกเขาผ่านมานั้นพลันติดไฟและลุกไหม้ในทันที จากนั้นเสียงระเบิดรุนแรงเขย่าทั้งสวรรค์สั่นทั้งแผ่นดินก็ดังครั่นครืนสะท้อนกึกก้องอย่างต่อเนื่อง

หากจะมีใครที่มองลงมาจากเบื้องบน ผู้นั้นจะได้เห็นว่าตำแหน่งของการระเบิดมีการเชื่อมโยงกันเป็นวงกลมอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และในขณะนั้นพรางเวหากับบรรดาลูกน้องของเขากำลังติดอยู่ในศูนย์กลางของวงกลมนั้นเอง!

ระลอกคลื่นม้วนตัวและสายน้ำเชี่ยวกราก ทะเลเพลิงโหมกระหน่ำ สายลมใบมีดซัดสาดดั่งพายุ สายฟ้าส่องสกาววาวโรจน์… เพียงพริบตาต่อมาทั้งสวรรค์และพื้นพิภพก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังจู่โจมสารพัดรูปแบบ

“ยันต์เลิศล้ำขั้นสูง! ระยำ! มันใช้ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงหลายชั้น…” ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง มีเสียงโหยหวนของพรางเวหาที่ฟังแล้วชวนสังเวชใจยิ่งนักดังแว่วออกมา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท