บทที่ 349 หมีหุ้มเกราะพิฆาต
บทที่ 349 หมีหุ้มเกราะพิฆาต
ในป่าอาถรรพ์ ฝูงหนอนเขาโลหิตทะลวงผ่านพื้นดินพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องหวีดหวิวที่เสียดหู จากนั้นปราณอสูรก็พุ่งขึ้นมาและถาโถมเข้ามาดั่งกระแสน้ำ ขณะที่ฝูงหนอนเขาโลหิตที่แน่นขนัดได้ปิดผนึกเส้นทางที่อยู่ข้างหน้า
หนอนเขาโลหิตมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะมันถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่หากเขาโลหิตบนศีรษะของพวกมันยังไม่ได้รับการบาดเจ็บ พวกมันก็จะสามารถฟื้นตัวได้ในทันที เมื่อรวมกับการที่พวกมันเคลื่อนไหวเป็นฝูงใหญ่ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็ยังต้องเผชิญกับความตาย หากต้องตกอยู่ในวงล้อมของพวกมัน
“ไอ้พวกสัตว์เดรัจฉาน! พวกมันกำลังรนหาที่ตาย!” เหยียนเฉิงกับผู้คุ้มกันกองคาราวานพ่อค้าต่างก็รู้เป็นอย่างดีว่า หนอนเหล่านี้แข็งแกร่งถึงเพียงใด พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะจัดรูปขบวนการต่อสู้ ก่อนที่จะเปิดฉากโจมตี ลำแสงและประกายหลากสีพุ่งไปยังฝูงหนอนเขาโลหิตที่ถาโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ทันใดนั้น ท้องฟ้าและผืนดินก็เต็มไปด้วยเสียงระเบิดของปราณแท้ เลือดที่หลั่งไหลเหมือนน้ำตกและชิ้นส่วนอวัยวะที่ขาดวิ่นก็ปลิวว่อนไปทุกทิศทุกทาง ในขณะที่ต้นไม้และก้อนหินที่อยู่ในระยะสองลี้ล้วนแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ และกลายเป็นผุยผง
ผู้คุ้มกันของกองคาราวานพ่อค้ากลุ่มนี้มีทั้งหมดหกสิบคน ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้นการทำลายล้างที่เกิดขึ้นจากพลังโจมตีของพวกเขาก็น่ากลัวมากเช่นกัน
โดยเฉพาะเหยียนเยียน หญิงสาวที่งดงามไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งมีนิสัยเย็นชาราวกับช่วงเหมันต์ นางมีความแข็งแกร่งที่สมควรแก่การภาคภูมิจริง ๆ กระบี่ของนางตวัดฟันดั่งสายฟ้าที่พุ่งผ่านท้องฟ้า และมันก็ฆ่าหนอนเขาโลหิตไปหลายตัวในทันที ทำให้นางดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
แต่จำนวนของหนอนเขาโลหิตนั้นมีมากมายเกินไป และพวกมันก็อยู่กันอย่างหนาแน่นราวกับกระแสน้ำ หลังจากที่พวกมันถูกฆ่าไประลอกหนึ่ง คลื่นอีกระลอกหนึ่งก็พุ่งออกมาจากพื้นดินอีกครั้งราวกับพวกมันจะไม่มีวันหมดสิ้น จึงทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าทุกคราที่ต้องรับมือ
การต่อสู้ได้ดำเนินเข้าสู่ทางตันเสียแล้ว และทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าเหนื่อยล้าหลังจากไม่สามารถกวาดล้างหนอนเขาโลหิตเหล่านี้ได้ หลังจากที่ต่อสู้มาอย่างยาวนานทำให้สถานการณ์ค่อนข้างไม่เอื้ออำนวยสำหรับทุกคน
“ผลึกน้ำแข็งหิมะเริงระบำ!” เหยียนเยียนกัดฟันของนางในขณะที่ยืนอยู่กลางอากาศพร้อมกับกระบี่ในมือ เสื้อผ้าของนางปลิวไสวไปตามสายลม ทำให้หญิงสาวดูเหมือนเทพธิดาท่องคลื่น จากนั้นจึงใช้กระบวนท่ากระบี่ของนาง ทำให้เศษน้ำแข็งและเกล็ดหิมะที่แหลมคมนับไม่ถ้วนถาโถมลงไป และในชั่วพริบตา หนอนเขาโลหิตกว่าครึ่งก็ถูกทำลายสิ้น
แต่การโจมตีครั้งนี้ได้ใช้พละกำลังเกือบทั้งหมดของนาง ทำให้ความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วขณะที่หอบหายใจอย่างรุนแรง และนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบหลีกการโจมตีจากหนอนเขาโลหิตที่เหลือหลงอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
เหยียนเยียนฉวยโอกาสนี้เหลือบมองไปทางรถม้าสมบัติที่อยู่ไกลออกไป เมื่อนางเห็นชายหนุ่มกับหญิงสาวยังคงไม่เคลื่อนไหว ความโกรธเกรี้ยวก็ผุดขึ้นในใจของนาง ‘ช่างเป็นคู่ชายหญิงที่เนรคุณเสียจริง! ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาควรจะร่วมมือกับเราเพื่อผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขากลับหวาดกลัวจนถึงขั้นซ่อนตัวอยู่ในรถม้าสมบัติและไม่กล้าโผล่หัวออกมา!’
ในขณะนั้น เฉินซีไม่รู้เลยว่าเหยียนเยียนกำลังวิจารณ์เขาอยู่ และเขาก็มีแผนของตัวเองอยู่ในใจ แม้ว่าหนอนเขาโลหิตเหล่านี้จะมีจำนวนมากมาย แต่พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรยอดฝีมือของกลุ่มคาราวานนี้ได้ ดังนั้นชัยชนะจึงเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น และเขาจะให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็นเท่านั้น
ทว่าอวิ๋นน่ากลับไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป นางมองไปที่เฉินซีที่ไม่แยแสในขณะที่ลังเลซ้ำแล้วซ้ำเล่า และดูเหมือนนางจะรู้สึกละอายใจ ในท้ายที่สุด นางก็พุ่งออกจากรถม้าสมบัติและเริ่มเข่นฆ่าหนอนเขาโลหิตร่วมกับคนอื่น
เฉินซีเพียงยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะหยุดนาง เพราะแท้จริงแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่ลงมือในตอนนี้
นั่นเพราะนับตั้งแต่ออกจากปราการเดียวดาย เขารู้สึกได้ว่ามีคนเฝ้าติดตามอยู่ที่ด้านหลังของคาราวานกลุ่มนี้จนเหมือนกับวิญญาณที่วนเวียนอยู่ตลอดทาง และเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มีเจตนาร้าย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ก็ค่อนข้างแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในการปิดบังซ่อนเร้นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ หากหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่น เขาอาจคลาดร่องรอยของคนผู้นี้ในทันทีและผลเสียก็จะมีมากกว่าผลดี
ทว่าเมื่อเหยียนเยียนเห็นฉากนี้ ก็ทำให้นางรู้สึกดูถูกเฉินซีมากยิ่งขึ้น และนางก็มองว่าเฉินซีเป็นชายหนุ่มที่หวังพึ่งพาหญิงสาว เขามีเพียงแค่รูปลักษณ์ที่ดี แต่ภายในกลับไร้ประโยชน์
ปราณแท้และปราณอสูรปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดคลื่นอากาศที่พัดออกไปทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นไปตามที่เฉินซีคาดการณ์ไว้ การต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกหนึ่งถ้วยช้า จำนวนของหนอนเขาโลหิตก็เริ่มลดลงอย่างมาก และไม่มีหนอนเขาโลหิตออกมาจากพื้นดินอีกต่อไป
“หนอนเขาโลหิตเกือบถูกทำลายล้างหมดแล้ว และชัยชนะก็ใกล้ปรากฏให้เห็น! ทุกคน จงเข่นฆ่ามันให้หมด!” เหยียนเฉิงโจมตีออกพร้อมกับกระตุ้นขวัญกำลังใจของทุกคน
อันที่จริงอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไร เพราะทุกคนต่างก็สังเกตกันได้บ้าง ดังนั้นเมื่อปราณฟื้นฟูจนถึงระดับหนึ่ง พวกเขาก็ต่อสู้อย่างสุดกำลัง ส่งเคล็ดวิชาต่าง ๆ และสมบัติวิเศษซัดออกไปราวกับว่าพวกมันไร้ค่า ซึ่งในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ หนอนเขาโลหิตทั้งหมดที่ขวางทางพวกเขาก็ถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงพื้นที่กว้างใหญ่ที่ปกคลุมด้วยชิ้นส่วนอวัยวะที่ขาดวิ่นและซากศพที่แหลกเหลว
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้คุมกันคนหนึ่งหอบหายใจอย่างหนักขณะที่มองดูซากศพของหนอนเขาโลหิตที่ปกคลุมอยู่บนพื้น ก่อนจะกล่าวด้วยความกลัวที่ยังเหลืออยู่ในใจ “นับว่าโชคดีที่มันเป็นเพียงฝูงหนอนเขาโลหิต หากพวกเราเผชิญกับราชาหนอนโลหิตแล้วละก็ พวกเราคงไม่เพียงพอที่จะสู้กับมันได้”
“หยุดกล่าววาจาไร้สาระ ถ้าราชาหนอนเขาโลหิตปรากฏตัว พวกเราทุกคนอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”
“ข้าแค่กล่าวเฉย ๆ”
ในขณะเดียวกัน สายตาของผู้คุ้มกันคนนั้นก็จ้องมองไปยังรถม้าสมบัติที่เฉินซีนั่งอยู่และกล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยามว่า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้จะเป็นขยะไร้ค่าจริง ๆ แม้แต่หญิงสาวที่บอบบางก็ยังกล้าหาญยิ่งกว่าเขา” ขณะที่กล่าว เขาก็มองไปทางอวิ๋นน่าซึ่งอยู่ใกล้เคียงก่อนที่จะส่ายศีรษะและถอนหายใจ ราวกับเขารู้สึกว่าไม่ควรค่าที่นางจะอยู่เคียงข้างเฉินซี
“ในโลกนี้มีชายหนุ่มรูปงามมากมายที่หวังพึ่งพาหญิงสาว ไม่ใช่ว่าพวกเราจำเป็นต้องให้เขาช่วย แต่การกระทำของเขามันขี้ขลาดเกินไป หญิงสาวคนนั้นคงจะตาบอดถึงได้ติดตามเคียงข้างเขา”
“เหตุใดเราไม่หาโอกาสมอบบทเรียนอันดุดันให้แก่เจ้าเด็กหนุ่มผู้สำอางคนนี้เสียที”
อวิ๋นน่าขมวดคิ้วขณะที่นางเหลือบมองคนเหล่านี้ เพราะนางไม่รู้สึกว่าคนเหล่านี้กำลังปกป้องนาง แต่นางไม่สามารถอธิบายอะไรให้พวกเขาฟังได้ ดังนั้นจึงหันหลังกลับและเดินขึ้นรถม้าสมบัติไป
ห่างออกไป เหยียนเฉิงได้ยินการสนทนาถึงเรื่องนี้และรีบเดินเข้ามาทันทีก่อนที่จะตำหนิว่า “พวกเจ้ากล่าวเรื่องไร้สาระอะไรกัน? รีบเก็บกวาดสนามรบซะและออกเดินทางโดยเร็วที่สุด!”
“เรียนท่านผู้นำเหยียน พวกเราพี่น้องรู้สึกไม่พอใจยิ่งนักที่เขาสามารถซ่อนตัวอยู่ในรถม้าสมบัติโดยไม่คิดจะกระทำใด ๆ แต่พวกเรากลับต้องเสี่ยงต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด”
“เขาเป็นแขก! พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?” เหยียนเฉิงเหลือบมองรถม้าสมบัติที่เฉินซีโดยสารอยู่ ก่อนจะโบกมือพร้อมกับกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หยุดจิ๊จ๊ะกันได้แล้ว! จงรีบเก็บกวาดสนามรบให้เรียบร้อย เราจะได้ออกจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็วเพราะกลิ่นเลือดที่นี่อาจดึงดูดสัตว์ดุร้ายจำนวนมากในไม่ช้า”
ทุกคนอ้าปากแต่ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกไม่พอใจ
เหยียนเยียนไม่สนใจคำกล่าวของเหยียนเฉิง และกล่าวอย่างเย็นชา “แขกหรือ? ในฐานะแขกคนหนึ่งก็ควรให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ดูแลเมื่อมีปัญหาใช่หรือไม่? สำหรับข้าแล้ว เขาก็ไม่แตกต่างอะไรเศษสวะ!”
เหยียนเฉิงจ้องไปที่บุตรสาวของเขา และในใจของเขาก็สงสัยเช่นกัน “หรือว่าข้าจะมองคนผิดไป?”
ในเวลาไม่นาน กองคาราวานพ่อค้าก็เดินทางต่อไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
เวลากลางคืน
กองคาราวานพ่อค้าได้ตั้งค่ายอยู่ในป่า หลังจากประสบกับการต่อสู้ในวันนั้น ทุกคนต่างเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากและพวกเขาต้องใช้เวลาพักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่ง มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถไปถึงนครอสนีบาต และอาจต้องเผชิญหน้ากับการทำลายล้างภายใต้คลื่นของสัตว์อสูร
กองไฟลุกโชนในม่านแห่งราตรีกาล นอกจากผู้คุ้มกันบางส่วนที่เฝ้าอยู่แล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็รวมตัวกันเพื่อดื่มและรับประทานอาหาร ดังนั้นบรรยากาศจึงดูไม่วังเวง
เหยียนเยียนนั่งเอาแขนโอบขาอยู่ข้างกายเหยียนเฉิง เมื่อนางเหลือบมองไปทางเฉินซีซึ่งนั่งอยู่คนเดียว ความรู้สึกยินดีก็ผุดขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนี้ เฉินซีกลายเป็นบุคคลที่คนในกองคาราวานพ่อค้าต่างก็รังเกียจที่สุด เศษสวะที่คิดแต่จะพึ่งพาผู้หญิงเท่านั้นและไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะข้องเกี่ยวกับเขา ราวกับว่าการพูดกับเขาสักคำจะทำให้คนทั้งหมดต้องอับอาย ทำให้สถานการณ์ของเฉินซีน่าอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าอวิ๋นน่าก็คอยติดตามเฉินซีอย่างซื่อสัตย์มาโดยตลอด และนางไม่เคยทอดทิ้งเขา
แต่เมื่อทุกคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ พวกเขาต่างกำหมัดด้วยความโกรธพร้อมกับถอนหายใจ และพวกเขาล้วนมีความรู้สึกว่าอวิ๋นน่าไม่ควรอยู่เคียงข้างเฉินซีเลย
“ท่านพ่อ ผู้คุ้มกันทุกคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง” เหยียนเยียนกล่าวเบา ๆ เปลวไฟที่ลุกโชนได้ทำให้ใบหน้าที่เย็นชาและงดงามไร้ที่เปรียบของนางมีสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ทำให้นางดูบอบบางและมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ข้ารู้” เหยียนเฉิงกรอกสุราเข้าไปเต็มปากและถอนหายใจ “แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจขับไล่เขาออกไปเพียงเพราะเขาไม่ได้ยื่นมือช่วยเหลือใช่ไหมเล่า? แค่ถือว่าพาเขาไปกับเราเพราะมันอยู่ในระหว่างทางก็พอ”
ที่จริงเหยียนเฉิงเองรู้สึกสงสัยเช่นกัน เนื่องจากเขาสามารถรับรู้ได้ว่าเฉินซีดูไม่เหมือนเป็นคนเนรคุณ แต่เหตุใดเขาถึงทำตัวเย็นชาและไม่แยแส?
“อืม” เหยียนเยียนพยักหน้าและดูเหมือนว่านางจะตกอยู่ภวังค์ความคิดขณะที่นางพึมพำ “ใจของข้ารู้สึกกระวนกระวายมาตลอดทาง ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ท่านพ่อคิดว่าอย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าหมีหุ้มเกราะพิฆาตตัวนั้นยังไม่จากไปจนถึงตอนนี้?”
สีหน้าของเหยียนเฉิงกลายเป็นหนักอึ้งในทันที เนื่องจากเขารู้สึกราวกับว่าตนเองตกเป็นเป้าหมายของบางสิ่งบางอย่างเช่นกัน จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าฆ่าลูกของมันแล้ว หมีหุ้มเกราะพิฆาตตัวนั้นย่อมไม่พอใจเป็นอย่างมาก และมันจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน”
ริมฝีปากของเหยียนเยียนสั่นระริกขณะที่สีหน้าของนางดูแน่วแน่ และกล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงไม่ออกจากกองคาราวานและลงมือด้วยตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหากับกองคาราวานพ่อค้าล่ะ”
“ไร้สาระ!” เหยียนเฉิงขมวดคิ้ว “หมีหุ้มเกราะพิฆาตตัวนั้นมีพลังมหาศาลที่เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ การลงมือด้วยตัวเองไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้กับความตายหรอกหรือ? อย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก!”
เหยียนเยียนเม้มริมฝีปากของนางและไม่กล่าวอะไรอีก นางได้แต่จ้องมองไปยังกองไฟด้วยความมึนงง
เหยียนเฉิงถอนหายใจและลูบไหล่บุตรสาวของเขาขณะที่เขากล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อเจ้าอยู่กับพ่อที่นี่แล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้รับอันตรายใด ๆ อย่างแน่นอน มิฉะนั้นดวงวิญญาณของมารดาเจ้าบนสวรรค์จะไม่ยกโทษให้แก่ข้าแน่นอน”
ดวงตาของเหยียนเยียนเป็นสีแดงระเรื่อขณะที่พิงศีรษะของนางบนไหล่ของผู้เป็นบิดา ในขณะนี้ นางผู้เยือกเย็นและหยิ่งยโสเผยให้เห็นท่าทางที่อ่อนแอและเปราะบางที่หายาก ราวกับว่าความเย็นชาและความเย่อหยิ่งของนางก่อนหน้านี้คือหน้ากาก และนี่คือใบหน้าที่แท้จริงของนาง
ที่ด้านข้างของกองไฟที่ห่างออกไป เฉินซีนั่งอยู่คนเดียว และเขาก็ไม่ได้สนใจการสนทนาของผู้คนรอบข้าง
หมีหุ้มเกราะพิฆาต?
เหยียนเยียนและเหยียนเฉิงไม่ได้กล่าวผ่านกระแสปราณ และแม้ว่าเสียงของพวกเขาจะแผ่วเบา แต่เฉินซีก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้เขาเข้าใจทันทีว่าตัวอะไรที่อยู่ที่ด้านหลังของกองคาราวาน!
และเท่าที่เขาทราบมา หมีหุ้มเกราะพิฆาตน่าจะเป็นสัตว์ร้ายระดับราชาที่ท่องไปมาอย่างอิสระในป่า และมีเศษเสี้ยวสายเลือดของหมียักษ์ขนน้ำตาลซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นเลือดของมัน ทำให้มันมีพลังที่ไร้ขอบเขตและดุร้ายมาก
…ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ร้ายประเภทนี้ยังมีนิสัยอาฆาตแค้นเป็นอย่างมาก หากผู้บ่มเพาะไม่ฆ่ามันให้ตายในคราเดียว มันจะไล่ตามผู้บ่มเพาะไม่หยุด ทำให้มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว และทำให้ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ล้วนปวดหัวจนส่ายหน้าเมื่อพบกับพวกมัน
“ผู้อาวุโส ท่านยังครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ อยู่อีกหรือ? กินข้าวกันก่อนเถอะ” อวิ๋นน่าเงยหน้าขึ้นและเห็นเฉินซีนิ่งเงียบเป็นเวลานาน นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา และขณะที่กล่าว นางก็ได้ยื่นเนื้อเสียบไม้ที่ย่างจนกรอบให้เขา
เฉินซีได้สติจากการครุ่นคิด ก่อนจะยื่นมือออกไปรับ จากนั้นเขาก็ลิ้มรสมันและกล่าวชมเชยว่า “เจ้ามีทักษะที่ดี เกือบจะเทียบเท่ากับพ่อครัววิญญาณ” อวิ๋นน่ายิ้มอย่างมีความสุขและกล่าวด้วยความยินดีว่า “ถ้ามันอร่อย เอาล่ะ ข้าจะย่างให้ท่านอีก นอกจากนี้ยังมีสุราหยาดเมฆา ซึ่งกลั่นจากสูตรลับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลข้า ท่านลองมันสิ”
ขณะที่กล่าว นางก็ส่งน้ำเต้าที่ผ่านการบ่มมาอย่างยาวนานให้ และนางก็คอยรับใช้เฉินซีอย่างเอาใจใส่และพิถีพิถันจนถึงรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด ทำให้ทุกคนที่เห็นสิ่งนี้ต้องอิจฉาตาร้อน ช่างเป็นสาวใช้ที่งดงาม เย้ายวนและเอาใจใส่ แต่นางก็ถูกสวะเจ้าสำอางที่รู้แต่พึ่งพาอิสตรีคนนี้ทำให้แปดเปื้อน สวรรค์ไม่ช่างยุติธรรม! สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมจริง ๆ!
สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปยังเฉินซีนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาและความไม่พอใจ
แต่เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องทั้งหมดนี้และหยิบน้ำเต้าสุรามาทันทีก่อนจะดื่มเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นเขาก็ลูบริมฝีปากและกล่าวว่า “ความสดชื่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับรสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อม ช่างเป็นสุราที่ยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร!”
ดวงตาที่มากด้วยเสน่ห์คู่นั้นของอวิ๋นน่าได้กลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวสองดวงขณะที่นางยิ้ม เนื่องจากเมื่อนางได้ยินคำชมเชยจากเฉินซีนั้น มันดูไม่ต่างอะไรกับการรับฟังเสียงเพลงที่ไพเราะและมันได้ให้กำลังใจแก่นางเป็นอย่างมาก ทำให้นางรับใช้เฉินซีอย่างตั้งใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ ทุกคนต่างก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่ไร้คำพูด และถึงขนาดแอบหลั่งน้ำตาออกมา!