บทที่ 355 โปรดชี้แนะ
บทที่ 355 โปรดชี้แนะ
สวีชิงตงสมควรถูกฟาดอย่างแท้จริง!
โทสะพลันพวยพุ่งอยู่ในใจที่แต่เดิมสงบนิ่งเหมือนบ่อน้ำโบราณของเฉินซี และเขาต้องการที่จะทุบตีคนผู้นี้อย่างรุนแรง แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็อดทนต่อแรงกระตุ้นนี้อย่างแข็งขัน เนื่องจากมันไม่น่าสนใจที่จะทุบตีตัวตลกเช่นนี้
“อนิจจา เขาไม่มีความกล้าแม้แต่จะต่อสู้ คนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่คู่ควรกับชื่อเสียงของเขา”
“ถูกต้อง บางทีเขาอาจมีชื่อเสียงที่ไม่สมควรได้รับจริง ๆ”
“น่าผิดหวัง! น่าผิดหวังจริง ๆ!”
เมื่อผู้คนในห้องโถงเห็นเฉินซีไม่ยอมรับคำท้าประลองอยู่เป็นเวลานาน พวกเขาต่างก็ส่ายศีรษะและการแสดงออกของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความสงสัย เยาะเย้ย และไม่พอใจ หญิงสาวบางคนถึงกับมองไปที่เฉินซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก เนื่องจากพวกนางรู้สึกว่าชายคนนี้มีดีแค่รูปลักษณ์แต่กลับไร้ประโยชน์ ซึ่งพวกนางรู้สึกว่าเขาขี้ขลาดเกินไปและไม่คู่ควรกับการเป็นบุรุษอย่างแท้จริง
“ในเมื่อสหายเต๋าเฉินซีไม่คิดจะกล่าวอะไรสักคำ แล้วท่านจะยอมรับความพ่ายแพ้หรือ? อนิจจา ดูเหมือนว่าบางครั้งข่าวลือจะเป็นเรื่องโกหกและไม่อาจเชื่อถือได้” สวีชิงตงเอ่ยเยาะเย้ย ในใจของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“เอาล่ะ พอแล้ว!” หวังเจิ้นเฟิงกล่าวออกมาเพื่อยับยั้งสวีชิงตง
เขาจัดงานเลี้ยงนี้และเชิญทุกคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกันมาเพื่อสยบรัศมีอันแสนภาคภูมิของเฉินซีต่อหน้าทุกคน โทษฐานที่ทำให้เขาอับอายต่อหน้าย่าชิง แม้ว่าเฉินซีจะไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้ แต่จากปฏิกิริยาของทุกคนที่อยู่ที่นั่น เป้าหมายของเขาก็สำเร็จแล้ว
“ฮึ่ม! มันเป็นเพียงการประลองฝีมือและจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน สหายเต๋าเฉินซีไม่ไว้หน้าข้าจริง ๆ เขาคิดว่าเขาเป็นใคร? เขาคิดว่าทุกคนสามารถเข้าออกจวนจ้าวอัสนีได้หรือ?” สวีชิงตงพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งในขณะที่ถากถางเฉินซีอย่างดุเดือด และดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะต่อสู้กับเฉินซีจนถึงจุดจบอันขมขื่น
ย่าชิงและอวิ๋นหน่าโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ‘เฉินซีพยายามอดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ชายคนนี้ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง กลับยิ่งได้คืบเอาศอก เขานี่มันไม่ต่างกับสุนัขจริง ๆ!’ ดวงตาของหญิงสาวทั้งสองนางเย็นชาและพวกนางกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา แต่พวกนางก็ถูกเฉินซีห้ามไว้เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่สุนัขบ้ากัดไม่เลือก และการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จะทำให้อีกฝ่ายยิ่งได้ใจ
สวีชิงตงหัวเราะอย่างพึงพอใจมากขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้ ทำให้เขาหยิ่งผยองเกินทนและกล่าวอย่างไร้ยางอายว่า “คนที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง? ข้าคิดว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าอ่อนด้อยเกินไปและไม่คู่ควรแก่การถูกกล่าวถึงด้วยซ้ำ”
หวังเจิ้นเฟิงขมวดคิ้วขณะที่รู้สึกว่าสวีชิงตงทำเกินไปอยู่บ้าง เขาเพียงต้องการปราบปรามเฉินซี ทว่าไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับเฉินซี เพราะหากเป็นเช่นนั้น ย่าชิงน่าจะเป็นคนแรกที่ต่อต้านเขา และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“โอ้ เจ้าบอกว่าข้าอ่อนด้อยเกินไปหรือ? เหตุใดเจ้าไม่ประลองกับข้าเสียก่อนล่ะ” เมื่อหวังเจิ้นเฟิงตั้งใจจะยืนขึ้นและไกล่เกลี่ยสถานการณ์ เสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้นจากด้านนอกโถงต้อนรับ
ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาและสง่างาม สวมหมวกขนนกเรืองแสงกับรองเท้าที่ปักด้วยลวดลายเมฆเดินเข้ามา และในพริบตาเขาก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องโถง ก่อนที่สายตาซึ่งเหมือนสายฟ้าจะจ้องมองมาที่สวีชิงตงอย่างเย็นชา
หวังเต้าซวี่แห่งนิกายแสงจรัส!
ทุกคนต่างรับรู้ถึงตัวตนของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงหยุดการสนทนาและแสดงสีหน้าประหลาดใจ เพราะคนทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าหวังเต้าซวี่จะมาร่วมในงานเลี้ยง และแม้แต่เปลือกตาของเจ้าภาพอย่างหวังเจิ้นเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะกระตุก เขาจัดงานเลี้ยงนี้เป็นการส่วนตัว และตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยเชิญหวังเต้าซวี่เลย
“เหตุใดคนผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่?” เฉินซีตกตะลึง
“นิกายแสงจรัสตั้งอยู่ใกล้กับนครอสนีบาต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่หวังเต้าซวี่จะปรากฏตัวที่นี่ แต่ข้าได้ยินมาว่านิกายแสงจรัสกับจวนจ้าวอสนีไม่ถูกกันมาโดยตลอด ข้าจึงสงสัยว่าจู่ ๆ หวังเต้าซวี่มาที่นี่ด้วยความตั้งใจใด?” ย่าชิงดูเหมือนจะรับรู้ถึงความงุนงงของเฉินซี จากนั้นนางจึงกล่าวผ่านกระแสปราณอย่างรวดเร็ว
เฉินซีเริ่มเข้าใจและเขาก็ใคร่รู้อย่างมากเช่นเดียวกันว่าเหตุใดหวังเต้าซวี่ถึงมาที่นี่โดยไม่มีเหตุผล?
หวังเต้าซวี่ไม่สนใจการจ้องมองของคนรอบข้าง และจ้องมองมายังสวีชิงตงด้วยสายตาเย็นยะเยือกขณะที่กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าไร้ความสามารถและพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเฉินซีระหว่างการชุมนุมธารทอง ดังนั้นข้าจึงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าตัวข้าที่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขามีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับเจ้าได้หรือไม่?”
หัวใจของสวีชิงตงกระตุกวูบในขณะที่ความพึงพอใจบนใบหน้าหายไป ก่อนที่มันจะถูกแทนที่ด้วยสีหน้าหนักใจ แม้ว่าเขาจะเกกมะเหรกและดื้อด้าน แต่ก็ไม่ได้โง่เขลา เขารับรู้ได้ทันทีว่าหวังเต้าซวี่มาด้วยเจตนาร้าย
เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินว่าหวังเต้าซวี่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าพ่ายแพ้ให้แก่เฉินซี แม้ว่าสวีชิงตงจะไม่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งเฉินซี แต่เขาก็รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของหวังเต้าซวี่ ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะ ชื่อเสียง หรือแม้แต่ภูมิหลัง หวังเต้าซวี่นั้นเหนือกว่าตนเองในทุกด้าน!
‘แม้แต่คนเช่นนี้ก็พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเฉินซี แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ยั่วยุเฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่… นี่ข้าพาตัวเองไปติดกับอย่างนั้นหรือ?!’
ทันใดนั้นความพึงพอใจและความเย่อหยิ่งในใจของสวีชิงตงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ในเมื่อเจ้าไม่กล่าวอะไรออกมา ข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับคำท้าประลองของข้าก็แล้วกัน” หวังเต้าซวี่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสวีชิงตงลังเล
ย่าชิงรู้สึกขบขันและนางก็ยิ้มขณะที่ส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปยังเฉินซี “หวังเต้าซวี่ผู้นี้ก็น่าสนใจเช่นกัน เขาให้สวีชิงตงได้ลิ้มรสยาขมของตนเองและแก้แค้นให้เจ้าทางอ้อม”
เฉินซีเพียงยิ้ม แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
การแสดงออกของสวีชิงตงเปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็มองไปที่หวังเจิ้นเฟิงราวกับว่ากำลังขอความช่วยเหลือ
“แล้วไปเถิด อย่ากล่าวถึงเรื่องการประลองอีก ในเมื่อท่านพี่หวังได้ปรากฏตัวขึ้น เช่นนั้นเราน่าจะดื่มสุราและหาความเพลิดเพลินให้แก่ตัวเองเสียดีกว่า การต่อสู้และการแกงฆ่านั้นไม่สมศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อย” หวังเจิ้นเฟิงไอแห้ง ๆ ขณะที่เขากล่าวช้า ๆ
หวังเต้าซวี่ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่การต่อสู้และการฆ่าแกง มันเป็นเพียงการประลองฝีมือที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของพวกเรา หรือว่าสหายเต๋าสวีไม่กล้าที่จะยอมรับคำท้าของข้า? ถ้าอย่างนั้นมันก็น่าผิดหวังจริง ๆ”
“ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ก็ยอมรับคำท้าเถอะท่านพี่สวี มันเป็นเพียงการประลองและจะไม่ทำอันตรายต่อชีวิตของท่านอย่างแน่นอน มิฉะนั้นข้าผู้เป็นเจ้าภาพจะไม่ยอมเป็นอันขาด” ใบหน้าของหวังเจิ้นเฟิงมืดมน แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามหวังเต้าซวี่อีกต่อไป ขณะที่ในใจก็นึกเกลียดชังหวังเต้าซวี่ยิ่ง ‘ไอ้สารเลวคนนี้ทำให้ทุกสิ่งที่ข้าจัดการต้องยุ่งเหยิงไปหมด’
หัวใจของสวีชิงตงได้ตกลงไปที่ก้นบึ้งเป็นที่เรียบร้อย เขารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต้องดำเนินไป มิฉะนั้นจะไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องเสียหน้า แต่มีแนวโน้มว่าเขาจะทำให้นายน้อยหวังต้องขุ่นเคือง และนั่นจะทำให้ตัวเขาไม่สามารถยืนหยัดในนครอสนีบาตได้อีกต่อไปในอนาคต…
ปัง!
สวีชิงตงเป็นคนที่โหดเหี้ยมเช่นกัน เมื่อเขาตัดสินใจที่จะต่อสู้ เขาก็รีบละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด ก่อนที่ปราณแท้ในร่างกายจะโคจรอย่างดุเดือด จากนั้นเจ้าตัวก็เข้าสู่สภาวะต่อสู้ในทันที!
“เจ้าก็มีความกล้าหาญนี่ ลงมือเถอะ” หวังเต้าซวี่กล่าวอย่างเฉยเมย
“ข้าขออภัยที่ล่วงเกิน!” สวีชิงตงไม่รั้งรอแม้แต่น้อยในขณะที่ตะโกนออกมา ก่อนที่เขาจะตะกุยออกไปและทำให้เกิดลมแรงในขณะที่เต๋ารู้แจ้งวนเวียนอยู่ภายในกรงเล็บที่ทรงพลังและรุนแรงนั่นจนฉีกมิติออกจากกันทีละนิด
ท่ามกลางการโจมตีด้วยกรงเล็บเพียงครั้งเดียว เต๋ารู้แจ้งพวยพุ่งขึ้นมา ลมแรงพัดส่งเสียงหวีดหวิว และแรงผลักดันของมันช่างน่าอัศจรรย์
โดยไม่คาดคิด มันคือกรงเล็บแยกนภาหยินหยาง ซึ่งเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
เคล็ดวิชาการต่อสู้นี้เป็นการผสมผสานระหว่างหยินและหยางที่แข็งแกร่งทว่านุ่มนวล เมื่อบ่มเพาะจนถึงขีดสุด มันจะมีประสิทธิภาพอย่างมหัศจรรย์จนถึงขั้นพลิกกระแสน้ำหรือควบคุมตะวันจันทรา เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามของสวีชิงตงในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมสมบูรณ์แบบ แก่นแท้ของเขาก็ปะทุออกมาทันที และกรงเล็บก็แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่สามารถฉีกมิติออกจากกัน แต่ก็นุ่มนวลจนเหมือนกับสายน้ำที่แทรกซึมไปทุกที่เช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน กำแพงแสงสีดำขาวพุ่งลงมาเพื่อกักขังหวังเต้าซวี่ไว้ข้างใน นี่เป็นสภาวะที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแห่งหยินและหยางอย่างถ่องแท้เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าสวีชิงตงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอย่างหวังเต้าซวี่
ทว่าหวังเต้าซวี่ไม่แม้แต่จะเหลือบมองสิ่งนี้ ก่อนที่จะชกออกไปด้วยกำปั้นของเขา
หมัดนี้ดูเหมือนจะธรรมดายิ่ง แต่มันก็แปรเปลี่ยนเมื่อมันถูกชกออกไป เต๋ารู้แจ้งได้กระจัดกระจายออกไป ราวกับค้อนขนาดใหญ่ทุบใส่ท้องฟ้าและเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างหนักหน่วง ซึ่งเผยกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และไม่ย่อท้อออกมา
ในตอนนี้ หวังเต้าซวี่ดูเหมือนจะกลายเป็นภูเขามหึมา และกลิ่นอายที่สง่างามของเขาก็แทบต่อต้านไม่ได้เลย!
ปัง!
หมัดนี้ทำลายกำแพงแสงสีขาวดำโดยตรงและไม่เสียกำลังเลยแม้แต่น้อย เมื่อกรงเล็บของสวีชิงตงแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทีละนิด จากนั้นพลังกำปั้นก็ฟาดเข้าที่หน้าอกของสวีชิงตงอย่างแรง ทำให้ตัวคนกระเด็นออกไปและชนกับกำแพงที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบสองจั้งอย่างรุนแรง ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมาขณะล้มลงกับพื้น และตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้
เพียงหมัดเดียวก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้!
ทุกคนมองไปที่สวีชิงตงผู้หยิ่งยโสเกินทนก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขากลับถูกอัดจนเลือดไหลออกจากปากและล้มลงกับพื้นในสภาพที่ดูไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสยดสยองที่สุดในหัวใจของพวกเขานั้นคือหวังเต้าซวี่ได้พ่ายแพ้แก่น้ำมือของเฉินซี ซึ่งแม้แต่เขาก็ยังสามารถจัดการสวีชิงตงได้ด้วยหมัดเดียว ดังนั้นหากเฉินซีลงมือ อีกฝ่ายจะไม่บดขยี้สวีชิงตงด้วยนิ้วเดียวหรอกหรือ?
เมื่อพวกเขาคิดเช่นนี้ ตัวตนของเฉินซีดูเหมือนจะหยั่งลึกลงไปในหัวใจของทุกคน
“ยอดเยี่ยม! ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของท่านพี่หวังจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจากการปิดด่านบ่มเพาะอันอุตสาหะในปีนี้” ทันใดนั้นหวังเจิ้นเฟิงก็ชมเชยขณะที่ปรบมือ จากนั้นเขาก็โบกมือเป็นสัญญาณให้สวีชิงตงที่ได้รับบาดเจ็บออกไปและรักษาอาการบาดเจ็บของตน …ถ้าสวีชิงตงยังคงไม่จากไป มันคงเป็นเรื่องน่าละอายอย่างแท้จริง
“ความแข็งแกร่งของเขาต่ำต้อยเกินไป” หวังเต้าซวี่ส่ายศีรษะและคำกล่าวของเขาก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ใบหน้าของหวังเจิ้นเฟิงแข็งค้าง ตัวคนเงียบไป สวีชิงตงเป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถและคล้ายกับคนสนิทที่เขาไว้ใจได้ ในขณะนี้ เมื่อมีคนวิจารณ์ความแข็งแกร่งของสวีชิงตงว่าต่ำต้อย มันคงจะแปลกหากเขารู้สึกดี
“เจ้าต้องการให้ข้าไปเล่นกับหวังเต้าซวี่หรือไม่?” เซียวเซวียนเทียนที่อยู่ใกล้เคียงขมวดคิ้วขณะที่เขากล่าวผ่านกระแสปราณ
“ไม่จำเป็น งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสยบอิทธิพลของเฉินซี ส่วนหวังเต้าซวี่นั้น เขามาจากนิกายแสงจรัสและข้าไม่แนะนำให้ต่อสู้กับเขาที่นี่” หวังเจิ้นเฟิงส่ายศีรษะปฏิเสธ
เซียวเซวียนเทียนยิ้มอย่างเบิกบานใจ และเขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ถ้าในแง่ของสถานะ ตัวเขา หวังเจิ้นเฟิง และหวังเต้าซวี่ล้วนเท่าเทียมกัน และเขาไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องประจบหวังเจิ้นเฟิง เหตุผลที่เขากล่าวออกไปเช่นนี้ก็เพื่อรักษามิตรภาพเท่านั้น
แต่หวังเต้าซวี่ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากเหตุผลที่เขามาที่จวนจ้าวอัสนีในครั้งนี้นั้นธรรมดามาก
หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเฉินซีในการชุมนุมธารทองและกลับมาที่นิกาย เขาได้บ่มเพาะอย่างจดจ่อและอุตสาหะเป็นอย่างมาก อีกทั้งเขายังได้รับคำชี้แนะจากผู้อาวุโสบางคน ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น เขารู้สึกว่าตนเองมีความมั่นใจที่จะเอาชนะเฉินซีได้แล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเฉินซีอยู่ที่นี่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรีบทะยานมาพร้อมกับความตั้งใจที่จะประลองกับเฉินซีอีกครั้ง!
ดังนั้นหลังจากที่เอาชนะสวีชิงตงด้วยหมัดเดียว เขาก็มาถึงโต๊ะที่เฉินซีนั่งอยู่และกล่าวว่า “ข้าได้จัดการกับไอ้โง่เขลาคนนั้นแล้ว แล้วเราจะประลองกันได้หรือไม่? ข้ารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทนกับความพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเจ้าในวันนั้น”
เฉินซีตกตะลึง “เจ้ามาที่จวนจ้าวอัสนีเพื่อต่อสู้กับข้าอีกครั้งหรือ?”
หวังเต้าซวี่พยักหน้าและกล่าวว่า “แน่นอน”
ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็เข้าใจวัตถุประสงค์ของหวังเต้าซวี่ซึ่งมาที่นี่ในครั้งนี้ และพวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
หวังเจิ้นเฟิงและเซียวเซวียนเทียนเหลือบมองกันและกัน ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขารู้สึกประหลาดใจ พวกเขาก็ตื่นเต้นจนถึงขีดสุด เพราะคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว หากพวกเขาสามารถสยบเฉินซีด้วยความช่วยเหลือของหวังเต้าซวี่!
ย่าชิงและอวิ๋นหน่าต่างก็แสดงสีหน้าหมดหนทาง ดูเหมือนว่า… จู่ ๆ เฉินซีก็กลายเป็นซาลาเปาร้อน ๆ อันหอมกรุ่นที่ทุกคนต้องการจะเอาชนะและทำลายรัศมีอันแพรวพราวที่ปกคลุมเขา
เหยียนเยียนดึงแขนเสื้อของเฉินซี และใบหน้าที่เย็นชาทว่างดงามไร้ที่เปรียบของนางก็ได้เผยให้เห็นร่องรอยของความคาดหวังขณะที่นางกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “รีบรับคำท้าเถอะ ให้ข้าเป็นสักขีพยานในความแข็งแกร่งของเจ้า ตกลงไหม?”
ในขณะนี้ หญิงสาวผู้งดงามไม่ต่างกับดอกบัวหิมะบนยอดเขาที่เย็นยะเยือกกำลังมองเขาด้วยสายตาที่คาดหวัง หากกล่าวด้วยความสัตย์จริงนั้น การเปลี่ยนแปลงที่ได้เห็นนี้ค่อนข้างน่าประหลาดใจสำหรับเฉินซี และนอกจากจะรู้สึกประหลาดใจแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกล่าวไม่ออก ‘สาวน้อยคนนี้คงไม่ใช่คนที่คลั่งไคล้ในการต่อสู้ใช่หรือไม่? เหตุใดนางถึงสนใจการต่อสู้นัก?’
หวังเต้าซวี่รีบตีเหล็กขณะที่มันยังร้อนอยู่ เขาปั้นสีหน้าเคร่งขรึม ในขณะที่ประสานมือและกล่าวว่า “พี่เฉิน ได้โปรดชี้แนะข้าด้วย!”