บทที่ 386 วิกลจริต
บทที่ 386 วิกลจริต
หลินโม่เซวียนเสียชีวิตคาที่อย่างอนาถ!
ขณะที่เฉินซีถูกลากเข้าไปด้านในการโจมตีที่รุนแรง และไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร!
ภาพนี้ทำให้ทุกคนตกใจอย่างมาก พวกเขาพากันกลั้นหายใจอย่างจดจ่อจนแทบลืมหายใจ
อีกด้านหนึ่ง เผยจง เซวี่ยเฉิน หลิวเฟิ่งฉือ และหม่านหงกำลังปิดล้อมฟ่านอวิ๋นหลาน การต่อสู้ที่เป็นไปอย่างดุเดือดเข้มข้นได้ดำเนินมาถึงจุดชะงัก
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเชื่อไม่ลง เพราะก่อนหน้านี้แทบไม่มีใครรู้จักตัวตนของฟ่านอวิ๋นหลาน และไม่มีใครรู้เลยว่านางได้ฝึกฝนจนก้าวข้ามไปถึงขอบเขตจุติตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าหมู่ตึกของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตด้วย
ทุกคนมองเพียงว่านางเป็นสหายผู้หนึ่งของเฉินซี และไม่ได้ใส่ใจกับความแข็งแกร่งของนางเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น เมื่อพวกเขาเห็นนางรับมือกับการต่อสู้แบบสี่ต่อหนึ่งได้อย่างไม่เสียเปรียบในตอนนี้และยังสูสีกับพวกเขา ก็ทำให้ฝูงชนตื่นเต้นและประหลาดใจอย่างมากในทันที
“แม้ว่าหลินโม่เซวียนจะตายไปแล้ว แต่สหายผู้นี้ก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน…” หวงฝู่ฉงหมิงมองไปยังเฉินซีที่ถูกกลืนไปในทะเลเพลิง และรายล้อมไปด้วยภาพกำปั้นที่ซ้อนทับกันหลายชั้น การจ้องมองของเขาดูราวกับกำลังจ้องมองคนที่ตายไปแล้ว พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ตายแล้วอย่างไร? ตายก็คือตาย ข้าไม่สนใจเรื่องนั้น สิ่งที่ข้าสนใจมีเพียงสมบัติที่เฉินซีครอบครองเอาไว้ สมบัติอมตะทั้งสามชิ้นนั้น และสมบัติมากมายจากขุมสมบัติเฉียนหยวนเท่านั้น เราจะแบ่งส่วนพวกมันกันอย่างไร?” เซียวหลิงเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เห็นได้ชัดว่า ในสายตาของคนทั้งสองได้มองว่าเฉินซีผู้ถูกโจมตีเต็มกำลังโดยไม่ทันระวัง จะต้องตายอย่างแน่นอน!
ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน แม้แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็รู้สึกว่าเฉินซีคงไม่อาจรอดแล้ว เพราะการโจมตีที่หวงฝู่ฉงหมิงกับเซียวหลิงเอ๋อร์อัดเข้าใส่ร่างของเฉินซีทางด้านหลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ย่อมยากจะรักษาชีวิตไว้ได้ ดังนั้นเฉินซีจึงไม่นับเป็นข้อยกเว้น
“เฉินซี!” ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด ฟ่านอวิ๋นหลานหันกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจและพบว่าเฉินซีจมอยู่ในทะเลเพลิงไปแล้ว ดวงตาที่สวยงามของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ขณะที่นางกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ และความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง
น้ำตาที่วาวใสและโปร่งแสงไหลลงมาตามข้างแก้มของนาง
ชายผู้นี้ครอบครองร่างกายของนางและทำให้นางเฝ้าเกลียดชังเขาไม่เว้นวัน ชายผู้นี้ลอบพานางขึ้นไปบนยอดเขาทะยานสวรรค์ และไล่ฆ่าผู้คนด้วยความโกรธเกรี้ยว ชายผู้นี้ที่ไม่สนใจบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้เพียงเพื่อเห็นแก่การต่อสู้เคียงข้างนาง ชายผู้นี้กำลังจะยอมแพ้แล้วทิ้งข้าไว้ และตายไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?
ไม่!
ฟ่านอวิ๋นหลานตะโกนอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในใจ นางรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าถูกแทงด้วยเข็มและตัดด้วยใบมีด ความรู้สึกโกรธที่ไม่อาจอธิบายได้ดุจหินหลอมเหลวที่แผดเผากำลังพวยพุ่งไปทั่วร่างกาย ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ผมสีดำปลิวไสว สีหน้าของนางเย็นชาและว่างเปล่า ราวกับว่าได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว
“ตาย!”
“พวกเจ้าทุกคนสมควรตาย!”
“ข้า ฟ่านอวิ๋นหลาน ขอสาบานต่อสวรรค์ในวันนี้ว่าหากเฉินซีตาย พวกเจ้าและคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าทั้งหมดจะถูกฝังไปพร้อมกับเขา ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว! หากข้าฝ่าฝืนคำปฏิญาณนี้ ขอให้ข้าถูกสวรรค์พิโรธและไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้อีกตลอดกาล!”
เสียงที่เย็นยะเยือกและเกรี้ยวกราดของนางเป็นดั่งสายลมเย็นยะเยือกที่พัดมาจากหลุมน้ำแข็ง ทุกคำที่นางกล่าวเด็ดเดี่ยวยิ่งจนสั่นสะเทือนถึงสวรรค์และปฐพี ฟ่านอวิ๋นหลานในยามนี้ได้ดำดิ่งสู่ความบ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์แล้ว
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจและหวาดกลัว ราวกับว่าพวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเมื่อผู้หญิงคนนี้โกรธ นางจะโหดเหี้ยมและเด็ดเดี่ยวมากขนาดนี้ ความเกลียดชังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของนางทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
“ฮึ่ม! เจ้ากำลังจะตายแท้ ๆ แต่กลับยังกล้าโอ้อวดหน้าด้าน ๆ สหายเต๋า ข้าและเซียวหลิงเอ๋อร์จะช่วยพวกเจ้ากำจัดผู้หญิงคนนี้เอง!” หวงฝู่ฉงหมิงตะคอกด้วยความดูถูกเหยียดหยาม เตรียมจะพุ่งเข้าหาฟ่านอวิ๋นหลาน
ในความคิดของเขา จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของฟ่านอวิ๋นหลานนั้นแข็งแกร่งอย่างที่พวกเขาคาดไม่ถึง แต่ตราบใดที่พวกเขารวมพลังกันนางก็ไม่มีทางรอดไปได้อย่างแน่นอน ส่วนคำสาบานของนาง ช่างไร้สาระและน่าหัวเราะ มันไม่ได้ต่างอะไรกับเสียงคร่ำครวญของมดตัวจ้อยที่ไม่มีอะไรควรค่าแก่การกล่าวถึง
อย่างไรก็ตาม ในอึดใจต่อมา เขาก็ต้องหยุดเคลื่อนไหวลงอย่างกะทันหัน สายตาของเขาก็มองไปยังที่ไกล ๆ พร้อมกับความตกใจที่ปกคลุมใบหน้าของเขา
เซียวหลิงเอ๋อร์ก็ตกตะลึงเช่นกัน หลังจากที่นางมองตามสายตาของหวงฝู่ฉงหมิงไป จากนั้นใบหน้าของนางก็แข็งทื่อไปในทันที
ในทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำ ร่างกายของเฉินซีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและแทบจะแหลกสลาย จู่ ๆ ก็เริ่มปรากฏเส้นใยถักทอรักษาบาดแผล จนหายสนิทในพริบตา!
ปัง!
คลื่นอากาศอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกไปทุกทิศทุกทางโดยมีเฉินซีเป็นจุดศูนย์กลาง ทุก ๆ ที่ที่มันกวาดผ่านไปล้วนเกิดผลกระทบ ทะเลเพลิงมอดดับ ชั้นอากาศแตกเป็นเสี่ยง ๆ การโจมตีทั้งหมดสลายเป็นผง
“สหายผู้นี้ยังไม่ตาย!”
“เขา… ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับฟื้นตัวได้ในทันที!”
“ทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร! นั่นมันกลิ่นอายของปราณจ้าววิญญาณ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากล้าใช้ร่างกายของตัวเองรับการโจมตีเต็มกำลังของหวงฝู่ฉงหมิงและเซียวหลิงเอ๋อร์ กลับกลายเป็นว่าเขาไม่มีอะไรต้องกลัว!”
ขณะที่พวกเขามองไปยังร่างสูงที่ยืนนิ่ง ๆ อยู่กลางอากาศ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า คนที่จะต้องตายอย่างแน่นอน จะฟื้นกลับมาอีกครั้ง ราวกับเขาได้เกิดใหม่!
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่า… ตัวข้า เฉินซี จะมีความสามารถพอ ถึงขั้นที่มีคนมอบคำสาบานแด่ข้าอย่างหนักแน่นเช่นนี้ หากวันนี้ข้าตกตายลงที่นี่ ดวงตาสวรรค์คงจะมืดบอดแล้วจริง ๆ!”
เฉินซีทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าในขณะที่เสื้อผ้าของเขาโบกสะบัด รอยยิ้มสดใสอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ประดับประดาอยู่บนใบหน้าที่หล่อเหลา เขาจ้องมองไปยังฟ่านอวิ๋นหลานที่อยู่ห่างไกลและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าเคยกล่าวไปแล้วว่า ตราบใดที่ข้ายังคงอยู่ จะไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้ ยามนี้เป็นเช่นนั้น และหลังจากนี้ต่อไปก็จะเป็นเช่นนั้นตลอดไป เว้นเสียแต่… ข้าจะตายไปแล้วจริง ๆ!”
เมื่อฟ่านอวิ๋นหลานที่อยู่ห่างไกลออกไปเห็นเฉินซีฟื้นกลับมาอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ นางก็รู้สึกตื่นเต้นจนไม่สามารถยับยั้งร่างกายของตนไม่ให้สั่นเทาได้ นางกัดริมฝีปากแน่นขณะที่ดวงตาใสกระจ่างถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำ น้ำตายังคงไหลลงมาตามกรอบหน้าของนางเหมือนลูกปัดที่สายขาด แม้จะกลั้นแล้วก็ตามที หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ยังคงอยู่ในสนามรบ นางคงจะไม่ต้องการสิ่งใดไปกว่าโผเข้าสู่อ้อมกอดของเฉินซีและร้องไห้ออกมาแล้ว!
“อย่าร้องไห้เลย ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขเอง หลังจากที่ข้าฆ่าคนเหล่านี้แล้ว!” เสียงของเฉินซีอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเอาใจเด็กซุกซน
“แล้วเจ้าจะยังยืนรออยู่เพื่ออะไรอีก?” ฟ่านอวิ๋นหลานรู้สึกสะเทือนใจ แต่นางก็ไม่อาจทนการถูกเฉินซีปลอบประโลมอย่างนุ่มนวลในที่สาธารณะเช่นนี้ได้ ดังนั้นนางจึงจ้องอีกฝ่ายอย่างดุดันด้วยดวงตาแจ่มกระจ่าง แล้วกล่าวเสียงดัง
“ข้าจะกล้าปฏิเสธเจ้าได้อย่างไร?”
เคร้ง!
ทันทีที่พูดจบ เฉินซีก็ถือยันต์ศัสตราเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หวงฝู่ฉงหมิงและเซียวหลิงเอ๋อร์อย่างเย็นชา ก่อนที่ในพริบตาต่อมาร่างของเขาจะหายไปจากจุด ๆ นั้นแล้ว
“บัดซบ! เจ้าเด็กนั้นมันขัดเกลากายาด้วย เราจะไม่สามารถฆ่ามันได้เลย เว้นแต่ว่าจะทำลายหัวหรือหัวใจของมันให้เละ เซียวหลิงเอ๋อร์ ยามนี้เราจะไปร่วมกลุ่มกับคนอื่นและจัดการกับคนผู้นี้ด้วยกัน!” หวงฝู่ฉงหมิงรู้สึกตกใจและกังวลว่าเฉินซีจะใช้กลอุบายเดียวกับที่เคยใช้เพื่อฆ่าหลินโม่เซวียนเมื่อครู่ ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปหาเซียวหลิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว
เซียวหลิงเอ๋อร์เองก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน นางจึงพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็พุ่งออกไปเพื่อร่วมตัวกับเผยจง เซวี่ยเฉิน หลิวเฟิ่งฉือ และหม่านหง
ฟุ่บ!
ราวกับว่าเขาเดาได้ว่าทั้งสองคนจะทำเช่นนี้ ร่างของเฉินซีจึงปรากฏขึ้นในอากาศด้านข้างของฟ่านอวิ๋นหลาน จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อโอบเอวที่เพรียวบาง ก่อนที่จะพานางออกไปจากสนามรบทันที
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฉินซีทำให้หลิวเฟิ่งฉือและคนอื่น ๆ ต้องสะดุ้งตกใจ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีเมื่อพวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายทำเพียงแค่พาฟ่านอวิ๋นหลานออกไปจากสนามรบเท่านั้น
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือดกับฟ่านอวิ๋นหลาน แต่พวกเขาเองก็ได้เห็นฉากที่อีกฝ่ายฆ่าหลินโม่เซวียนเมื่อครู่ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงกังวลว่าสหายคนนี้จะโจมตีพวกเขาเหมือนที่ทำกับหลินโม่เซวียนผู้โชคร้าย!
“ทุกคน เจ้าเด็กนั้นเป็นตัวปัญหา ร่วมมือกันจัดการกับเขาเถิด!” ในเวลานี้หวงฝู่ฉงหมิงกับเซียวหลิงเอ๋อร์ได้กลับมารวมตัวกับพวกเขาแล้ว
“ได้! ไม่ว่าการขัดเกลาร่างกายของเขาจะน่าเกรงขามเพียงใด ด้วยความแข็งแกร่งของเราทั้งหกคน อีกฝ่ายก็ไม่มีทางสู้เราได้อย่างแน่นอน” หลิวเฟิ่งฉือกับคนที่เหลือไม่คัดค้านและพยักหน้าทันที
“เจ้าแค่ยืนดูเฉย ๆ ก็พอ ข้าจะจัดการกับคนเหล่านี้เอง!” เฉินซีมองไปที่ฟ่านอวิ๋นหลานที่อยู่ข้าง ๆ เขาและกล่าวขึ้นเบา ๆ
“เจ้า…” ฟ่านอวิ๋นหลานพูดอย่างกังวล
“เชื่อในตัวข้าสิ!” เฉินซียิ้มบาง ๆ ในขณะที่เขาขัดจังหวะนาง
“เจ้ากำลังจะตายอยู่แล้ว แต่ยังกล้าพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีก? ตายซะ!” หวงฝู่ฉงหมิงตะโกนออกมา กำปั้นของเขาเหมือนงูเหลือม พุ่งตรงเข้าหาเฉินซี!
“ไสหัวไป!” ความเย็นชาปกคลุมมุมปากของเฉินซี ยันต์ศัสตราในมือของเขาตวัดผ่านท้องฟ้าและฟันลงมา กระบี่เกิ้นแห่งขุนเขาควบแน่นดูราวกับเป็นภูเขากว้างใหญ่ ที่ขยายขึ้นเป็นเทือกเขาเต็มช่องว่างระหว่างสวรรค์และปฐพี มันเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่เก่าแก่ดุจภูเขาจากยุคบรรพกาลเมื่อโถมตัวลงมาบดขยี้สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง
ปัง!
หลังเสียงปะทะดังก้อง หวงฝู่ฉงหมิงก็ถูกเหวี่ยงไปข้างหลัง
“ฆ่า!”
“ทุกคนลงมือกันเถอะ!”
“หากวันนี้เจ้าเด็กนี่ไม่ถูกกำจัดลง ภายภาคหน้าเขาจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของเราอย่างแน่นอน!”
เมื่อเซียวหลิงเอ๋อร์และคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าพวกตนไม่สามารถยั้งมือได้อีกต่อไป พริบตาต่อมาแสงจ้าก็สว่างขึ้นรอบตัวพวกเขาทุกคน ขณะที่ตัวคนพุ่งทะยานและพุ่งเข้าหาเฉินซี
“เข้ามาเลย!”
ปัง!
เฉินซีรั้งยันต์ศัสตรากลับไป ในขณะที่เขากลายร่างเป็นยักษ์สูงสิบแปดจั้งยืนตระหง่านขึ้น ปราณจ้าววิญญาณแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขาราวกับคลื่นมหาสมุทร สั่นสะเทือนทั่วสวรรค์และปฐพี
พลังอิทธิฤทธิ์ ร่างแปลงสวรรค์!
หลังจากใช้พลังอิทธิฤทธิ์นี้ ความแข็งแกร่งของร่างกายที่ผ่านการขัดเกลาของผู้ใช้จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก พละกำลังในการต่อสู้เองก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นี่คือแง่มุมที่น่ากลัวของผู้ขัดเกลากายา แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสมบัติวิเศษอยู่ในมือ แต่ร่างกายของพวกเขาก็นับเป็นสมบัติวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว และเมื่อรวมกับความสามารถศักดิ์สิทธิ์อันลึกลับและน่าเกรงขาม พลังของพวกเขาก็จะน่าสะพรึงกลัวจนถึงขีดสุด!
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าผู้ขัดเกลากายานั้นสามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะปราณในขอบเขตเดียวกันได้อย่างสบาย ๆ คำพูดเหล่านี้ได้แพร่หลายในโลกแห่งการบ่มเพาะเป็นวงกว้าง เพราะมันไม่ใช่ข่าวลือ แต่เป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับ
ตู้ม!
นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการโจมตีนี้ ปราณจ้าววิญญาณของเขาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ภายใต้การจ้องมองอย่างประหลาดใจยิ่งของทุกคนที่อยู่ที่นั่น จู่ ๆ ร่างของเฉินซีก็มีหัวเพิ่มขึ้นอีกสองหัว และแขนทั้งสี่ที่หนาเท่าหินงอกเพิ่มมา!
นี่เป็นอีกหนึ่งพลังอิทธิฤทธิ์ ‘อวตารเทพ’!
เช่นเดียวกับร่างแปลงสวรรค์ อวตารเทพก็เป็นพลังอิทธิฤทธิ์เช่นกัน แต่มันเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับและไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ทำให้มันหาซื้อทักษะวิชานี้ตามท้องตลาดแทบไม่ได้เลย มีเพียงนิกายใหญ่โบราณบางแห่งเท่านั้นที่มีมันอยู่ในครอบครอง
ความสามารถศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่เพียงเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายได้ในทันทีเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อสนับสนุนพลังอิทธิฤทธิ์อื่น ๆ ได้อีก และเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู มันก็จะเป็นราวกับว่าจู่ ๆ ก็มีผู้ช่วยอีกสองคนที่ทรงพลังพอ ๆ กันเพิ่มขึ้นมา ทำให้มันน่าเกรงขามและอัศจรรย์ยิ่งนัก
ปัง!
หลังจากเขากลายร่างเป็นยักษ์ที่มีสามหัวและหกแขนแล้ว เฉินซีก็โจมตีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาควบแน่นปราณจ้าววิญญาณ ตรงเข้าทำลายการโจมตีของหวงฝู่ฉงหมิงด้วยหมัดเดียว จากนั้นอีกสองมือของเขาก็สับลงมาเหมือนขวานที่สับแยกภูเขา ขณะที่พวกมันหวดลงมาเหมือนค้อนขนาดใหญ่ ปะทะเข้ากับกระบี่ของเซียวหลิงเอ๋อร์และหลิวเฟิ่งฉือ มืออีกข้างนอกจากทั้งสามนั้นตบออกไป ทำให้เกิดรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เหมือนตราประทับกดลงมาจากฟ้า พุ่งตรงเข้าหาเผยจง เซวี่ยเฉิน และหม่านหงอย่างไร้ความปรานี
ครืน!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวชวนให้กระแสลมปั่นป่วน อากาศที่ว่างเปล่าเกิดรอยแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินและภูเขาสั่นสะเทือน ทุก ๆ ที่ที่คลื่นสะท้อนกวาดผ่านไป ผลักให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต้องถอยกลับทีละคนด้วยความหวาดกลัวและเกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากมัน
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ก็ซวนเซไปมากลางอากาศ
ร่างของเฉินซีดูราวกับว่าหยั่งรากอยู่กลางอากาศ เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลยแม้แต่น้อย
ด้วยการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว ผู้เหนือกว่าก็ถูกกำหนดขึ้นในทันที!