บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 397 การประลองดำเนินต่อไป

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 397 การประลองดำเนินต่อไป

บทที่ 397 การประลองดำเนินต่อไป

ความแข็งแกร่งของหานเจิ้นตงนั้นถือได้ว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของเขาก็ถือได้ว่าโดดเด่นเหนืออัจฉริยะนับหมื่น และการติดอันดับหนึ่งในร้อยของการชุมนุมดาวรุ่ง ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเขาแข็งแกร่งถึงเพียงใด แต่น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้คือเฉินซี และผลที่ตามมาก็คือการพ่ายแพ้

“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!” เมื่อเห็นเฉินซีเดินเข้ามาหา หานเจิ้นตงก็ตัวสั่นทันทีและตะโกนออกมาเสียงดัง ก่อนจะจ้องไปที่คู่ต่อสู้ ราวกับเขาต้องการจดจำเฉินซีไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เนื่องจากครั้งนี้ตนได้พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชเกินไป…

“หึ ดูเหมือนโอสถกลั่นแรกเริ่มห้าล้านเม็ดจะเป็นของข้าแล้ว” เฉินซีหยุดเดินและหัวเราะเบา ๆ ออกมา

เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ หานเจิ้นตงแทบขาดใจด้วยความอับอายและความโกรธแค้น เนื่องจากเมื่อครู่ เขาได้โอ้อวดว่าจะมอบความพ่ายแพ้ให้แก่เฉินซีและจะคว้าโอสถกลั่นแรกเริ่มจำนวนห้าล้านเม็ดเป็นของรางวัล แต่กลับกลายเป็นว่าตนต้องพ่ายแพ้แก่เฉินซี ราวกับถูกตบหน้าด้วยฝ่าเท้า นี่มันน่าอัปยศเกินไป!

เฉินซีไม่สนใจเขาอีกต่อไปและทะยานขึ้นเพื่อออกจากสังเวียนปีศาจสังหาร

‘ข้าไม่เคยคาดคิดว่าพวกเขาจะมาเร็วกว่าข้า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยกระบวนท่าเดียวเช่นกัน ราวกับพวกเขาไม่อยากเสียเวลากับคู่ต่อสู้…’ ทันทีที่เขามาถึงกลางอากาศ เฉินซีก็สังเกตเห็นทันทีว่า มีคนนับสิบคนที่อยู่ในสังเวียนระยะไกล ได้ยุติการต่อสู้ของพวกเขาไปตั้งนานแล้ว ซึ่งในหมู่พวกเขาคือชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน เจิ้นหลิวชิง และคนอื่น ๆ

ในเวลาไม่นาน การต่อสู้ทั้งสี่สิบแปดสังเวียนของรอบแรกก็สิ้นสุดลง

โดยทั่วไปแล้ว การต่อสู้รอบนี้ค่อนข้างผ่อนคลาย เรียบง่ายและธรรมดา ซึ่งไม่มีอะไรที่ควรค่าแก่การใส่ใจ

เพราะการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายนั้นถูกกำหนดให้จับคู่กับผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ ซึ่งการจับคู่ในลักษณะนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงยอดฝีมือระดับสูงบางคนที่อาจปะทะกันตั้งแต่เริ่มต้น และอาจถูกกำจัดออกไปโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ยังสามารถหลีกเลี่ยงผู้บ่มเพาะที่อ่อนแอกว่าที่จะสามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งโดยบังเอิญอีกเช่นกัน

“พี่ใหญ่เฉินซี… ได้เข้าสู่สี่สิบแปดอันดับแรกแล้ว! น่าทึ่ง น่าทึ่งจริง ๆ!” มู่เหวินเฟยตื่นเต้นจนเผลอกำหมัดแน่นและตะโกนออกมาเสียงดัง

“อย่าตื่นเต้นกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้ไหม? ผลลัพธ์นี้ไม่ได้อยู่ในความคาดหวังของเราตั้งนานแล้วหรอกหรือ” ย่าชิงและหญิงสาวคนอื่น ๆ กลอกตาใส่มู่เหวินเฟยด้วยสีหน้าสงบนิ่งอย่างมาก

มู่เหวินเฟยตกตะลึงทันที ตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าคนอื่น ๆ ต่างมีท่าทางที่นิ่งสงบ และแม้แต่เฉินอวี่ตัวเล็ก ๆ ก็ยังมีความสงบมากกว่าตัวเขาเอง…

“การเป็นส่วนหนึ่งของสี่สิบแปดอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งนั้น หรือว่ามันไม่คู่ควรกับการยินดี?” มู่เหวินเฟยเม้มปากและไม่อาจทำความเข้าใจต่อความเฉยเมยของทุกคน เขารู้สึกว่าหญิงสาวเหล่านี้สมกับเป็นสตรีจริง ๆ เพราะพวกนางขาดจิตวิญญาณที่มีในบุรุษ

ที่กลางอากาศ

จักรพรรดิซ่งพยักหน้าให้กับตัวเองในขณะมองไปที่เหล่าผู้ชนะทั้งสิบแปดคนในรอบแรก ราวกับไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เนื่องจากทั้งสี่สิบแปดคนนี้ เป็นเหล่ายอดฝีมือที่เขาได้คาดหวังไว้ตั้งนานแล้ว

“พวกเจ้าทั้งสี่สิบแปดคนสามารถเอาชนะในการต่อสู้รอบแรกและได้แสดงผลงานที่ไม่ธรรมดาออกมา ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนจะได้รับโอสถกลั่นแรกเริ่มจำนวนห้าล้านเม็ด ตอนนี้ข้าจะมอบมันให้กับพวกเจ้าทุกคน และหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะรักษามันไว้!”

ฟิ้ว!

ทันทีที่เขากล่าวจบ จักรพรรดิซ่งก็สะบัดแขนเสื้อ แหวนมิติทั้งสี่สิบแปดวงก็กลายเป็นลำแสงที่บินไปอยู่ในมือของเฉินซีและคนอื่น ๆ

“เป็นจำนวนโอสถที่มากจริง ๆ และเพียงพอที่จะซื้อสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดมากกว่าสิบชิ้น! ข้าจะให้มันแก่เฉินฮ่าว แม้ว่าตระกูลเฉินในปัจจุบันจะครอบครองความมั่งคั่งที่ได้มาจากภายในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ แต่ตระกูลกำลังขยายตัว ดังนั้นยิ่งมีความมั่งคั่งมากเท่าไรก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น” เฉินซีตรวจสอบโอสถที่เก็บอยู่ในแหวนมิติและถอนหายใจยาว เนื่องจากเขาเห็นโอสถกลั่นแรกเริ่มที่ซ้อนกันเป็นภูเขาอยู่ภายในแหวนมิติ หากตระกูลขนาดกลางมีความมั่งคั่งเช่นนี้ ก็คงจะเรียกได้ว่าน่าตื่นตาเป็นอย่างแน่นอน

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ ฝ่าบาท!” ทุกคนโค้งคำนับและแสดงความขอบคุณ

จักรพรรดิซ่งเพียงโบกมือและสั่งให้มหาเสนาบดีประกาศรายชื่อสำหรับการประลองในรอบที่สอง หลังจากนั้นเขาก็นั่งตัวตรงอยู่ที่บังลังก์ที่ลอยเหนือท้องฟ้าและหลับตาลงเพื่อทำสมาธิ

มหาเสนาบดีทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็กวาดสายตามองเฉินซีและคนอื่น ๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “การประลองในรอบนี้จะไม่เหมือนกับรอบแรก การต่อสู้ของรอบที่สองจะจัดขึ้นทีละคู่ และจะดำเนินไปจนถึงยี่สิบสี่คู่ ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงจะเข้าใจกฎแล้ว”

ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั้งหมดพยักหน้ารับ การประลองในรอบที่สองไม่ได้จัดขึ้นพร้อมกัน หลังจากคู่แรกประลองตัดสินได้ผู้ชนะแล้ว คู่ที่สองก็จะดำเนินไปตามเช่นนี้ จนกว่าจะได้ผู้ชนะทั้งยี่สิบสี่คน จึงเป็นอันเสร็จสิ้น

“เอาล่ะ เริ่มการประลองในรอบที่สอง การประลองคู่ที่หนึ่งระหว่างอวี่เซียวจื่อจากนิกายกระบี่ห้าขุนเขากับหวังเต้าซวี่จากนิกายแสงจรัส”

ไม่ว่าจะเป็นอวี่เซียวจื่อหรือหวังเต้าซวี่ ทั้งสองคนต่างก็เป็นศิษย์ที่เหลืออยู่ในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ และนิกายโบราณทั้งสองก็หวังว่าศิษย์ของพวกเขาจะสามารถชนะได้

แต่ในสายตาของผู้บ่มเพาะทุกคนของนครหลวงธารสายไหม เมื่อเทียบกับการประลองในรอบแรก การประลองในรอบที่สองของคู่แรกอาจกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยม! ทั้งสองฝ่ายใช้เวลาต่อสู้กันเพียงหนึ่งถ้วยน้ำชา ก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว!

เป็นหวังเต้าซวี่ที่สามารถเอาชนะอวี่เซียวจื่อด้วยความเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“หวังเต้าซวี่นั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินมาว่า เขาพ่ายแพ้ให้เจ้ามากกว่าหนึ่งครั้ง?” เจิ้นหลิวชิงที่ยืนอยู่ที่ด้านข้างของเฉินซี กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ในขณะนี้ ศิษย์คนอื่น ๆ ที่การต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้น กำลังเฝ้าดูการต่อสู้จากด้านข้างของสังเวียน เจิ้นหลิวชิงก็ยืนอยู่เคียงข้างเฉินซีโดยไม่มีความรังเกียจแม้แต่น้อย แน่นอนว่าฟ่านอวิ๋นหลานก็ยืนอยู่เคียงข้างเช่นกัน

ส่วนนายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ ฮวาโม่เป่ย และคนอื่น ๆ ได้กลับไปอยู่เคียงข้างยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีในนิกายของพวกเขาและฟังคำแนะนำด้วยความเคารพ

“ความแข็งแกร่งของเขาไม่เลวเลย” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม หวังเต้าซวี่ได้แพ้ให้แก่เขาถึงสองครั้ง ครั้งแรกที่การชุมนุมธารทอง และอีกครั้งที่จวนจ้าวอัสนี “การประลองคู่ที่สอง หลิงอวี๋ปะทะกับหวังเจิ้นเฟิงแห่งจวนจ้าวอัสนี” มหาเสนาบดีกล่าว

“การมีโอกาสได้ประลองกับนายน้อยแห่งจวนจ้าวอัสนีนั้น ถือเป็นโชคของหลิงอวี๋อย่างแท้จริง” หลิงอวี๋ผู้อ้วนท้วมกล่าวทักทายหวังเจิ้นเฟิงด้วยรอยยิ้ม

อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้วตอบมา จากนั้นเขาก็คำรามอย่างเย็นชาและทะยานเข้าสู่สังเวียนปีศาจสังหาร

“สหายคนนี้ค่อนข้างอารมณ์ร้อน” หลิงอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มที่เฉยเมยและทะยานเข้าสู่สังเวียนเช่นกัน

“หวังเจิ้นเฟิงคงจะพ่ายแพ้ในครั้งนี้…” คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้นขณะที่เขาส่ายศีรษะไปมา แม้ว่าเขาจะไม่รู้แน่ชัดว่าการบ่มเพาะของหลิงอวี๋นั้นแข็งแกร่งเพียงใด แต่เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า หวังเจิ้นเฟิงไม่ใช่คู่มือของหลิงอวี๋อย่างแน่นอน

เหตุผลนั้นง่ายมาก เนื่องจากเขาสามารถสังเกตได้จากกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของทั้งคู่ เมื่อหวังเจิ้นเฟิงเผชิญหน้ากับหลิงอวี๋ ดูเหมือนว่าเขาจะขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด และแม้ว่านี่จะเป็นรายละเอียดเล็กน้อย แต่บางครั้งก็เพียงพอที่จะตัดสินสถานการณ์ทั้งหมด

แม้ว่าการต่อสู้จะเป็นการแข่งขันในแง่ของพละกำลังและเคล็ดวิชา แต่จิตวิญญาณของการต่อสู้นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ความล้มเหลวก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

หลิงอวี๋นั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายที่อ้วนท้วนเหมือนลูกชิ้นยักษ์ของเขา ดูจะไม่เทอะทะเลยสักนิด อีกทั้งยังว่องไวเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ฝึกฝนทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งราวกับภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ และความสามารถในการป้องกันของเขาก็น่าทึ่ง จนยากที่จะได้รับบาดเจ็บจากคมมีด

ไม่ว่าหวังเจิ้นเฟิงจะพยายามมากเท่าใด เขาก็ไม่อาจทำร้ายหลิงอวี๋ได้เลย อีกทั้งยังถูกกดดันจนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก ในท้ายที่สุด เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องพูดไม่ออกนั้นคือ ตั้งแต่ต้นจนจบการประลอง หลิงอวี๋ยังไม่ได้โจมตีเลยสักครั้งและเขาเพียงเคลื่อนไหวไปมา แต่สามารถกดดันให้หวังเจิ้นเฟิงยอมรับความพ่ายแพ้ได้

“การป้องกันของคนผู้นี้น่ากลัวมาก!” หลังจากได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเฉินซี จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน เจิ้นหลิวชิง และคนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มครุ่นคิดว่าพวกเขาจะเอาชนะหลิงอวี๋ได้อย่างไร หากต้องเผชิญหน้ากับเขา

การประลองดำเนินไปตามลำดับ แต่ละครั้งล้วนยอดเยี่ยมกว่าครั้งก่อน ซึ่งทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในนครหลวงธารสายไหมพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกว่าการเดินทางมาที่นี่ไม่ได้ไร้ประโยชน์

แต่เฉินซีได้เฝ้าดูการประลองทั้งหมดมาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งในหมู่พวกเขาก็มีบางคนที่ทำให้เขาต้องแอบระวังอยู่ในใจเช่นกัน แน่นอนว่าพวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะที่ไม่คุ้นเคย นอกเหนือจากชิงซิ่วอี้ และคนอื่น ๆ ก็มีเป็นผู้บ่มเพาะอิสระจากทะเลตะวันออกที่มีนามว่าเยี่ยนชื่อสยง และหลิ่วหวนจื่อแห่งนิกายคลื่นทมิฬจากที่ราบตอนกลาง เป็นต้น

อันที่จริงแล้ว ในบรรดาคนที่สามารถติดอยู่ในสี่สิบแปดอันดับแรก ไม่มีคนธรรมดาเลยสักคนเดียว!

ตรงกันข้าม พวกเขาทั้งหมดล้วนน่ากลัวเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครสักคนที่สามารถรู้แน่ชัดว่าแต่ละคนมีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด

แม้ว่าเฉินซีจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของเขามาก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองล้มเหลวอย่างน่าสังเวชเฉกเช่นเรือพลิกคว่ำในรางน้ำ เขาก็ไม่กล้าประมาทเช่นเดียวกัน

“การประลองคู่ที่ยี่สิบสี่ เฉินซีปะทะเฮ่อเหลียนจวินจากนิกายอสูรลวง” เสียงที่ชัดเจนของมหาเสนาบดีดังขึ้น

นี่เป็นการประลองคู่สุดท้ายในรอบที่สอง

เฮ่อเหลียนจวิน เป็นผู้นำที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในหมู่ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ของแดนเถื่อนทางตอนเหนือ และความแข็งแกร่งของเขาก็เป็นที่น่าจดจำของผู้ชมทุกคน

แต่ทว่า…

ชายผู้นั้นกลับยอมรับความพ่ายแพ้! ยอมรับตั้งแต่ก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นขึ้น! และไม่เพียงแต่ผู้คนทั้งหมดจะตกตะลึง แม้แต่เฉินซีก็ยังประหลาดใจอย่างสุดขีด

“เจ้าแน่ใจหรือ?” เฉินซีถาม

เฮ่อเหลียนจวินยักไหล่และหัวเราะอย่างขมขื่น “อย่างไรข้าก็แพ้อยู่ดี ดังนั้น เหตุใดข้าถึงไม่กระทำอย่างตรงไปตรงมา จะได้หลีกเลี่ยงการเสียหน้าและอับอายต่อหน้าทุกคน”

“ทำไม?” เฉินซียังคงถามต่อ เขาเคยต่อสู้กับเฮ่อเหลียนจวินมาก่อน และเขารู้ว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นี้เทียบได้กับหวังเต้าซวี่ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่ควรยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย

“เจ้าโง่! คนผู้นี้หวาดกลัวพลังของเจ้า! เขาช่างขี้ขลาดยิ่งนัก! ถ้าหากเป็นตัวข้าละก็ ข้าจะสู้กับเจ้าแม้ว่าต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม” นกกระจอกเพลิงที่อยู่ใกล้ ๆ หัวเราะเยาะด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

“ก็เป็นเช่นนั้น” ทันใดนั้น เฉินซีก็รำลึกได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้ต่อสู้กับเฮ่อเหลียนจวิน เขาได้ใช้กำลังทั้งหมดภายใต้ความโกรธที่ระเบิดออกมา และเขาได้ทำลายพัดสมบัติวิเศษของเฮ่อเหลียนจวินด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ‘บางทีการโจมตีในครั้งนั้น อาจทำให้เฮ่อเหลียนจวินเกรงกลัวข้ามาก?’

‘ไอ้นกบัดซบ! ข้านับถือความแข็งแกร่งของเฉินซี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะกลัวเจ้า!’ เฮ่อเหลียนจวินโกรธเกรี้ยวต่อคำพูดประชดประชันของนกกระจอกเพลิง และสาปแช่งอย่างดุเดือดออกไป

“เชอะ! ข้าต้องการให้ไอ้ขี้ขลาดเช่นเจ้าหวาดกลัวข้าด้วยหรือ?” นกกระจอกเพลิงสางขนของมันในขณะที่แสดงท่าทางหยิ่งยโสราวกับว่ามันไม่ได้ใส่ใจเฮ่อเหลียนจวินเลยสักนิด เนื่องจากมันได้เอาชนะคู่ต่อสู้ของมันก่อนหน้านี้แล้ว และได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมการต่อสู้ในรอบต่อไป

เฮ่อเหลียนจวินโกรธจนใบหน้ากระตุก “ถ้าไม่ใช่เพราะสถานที่นี้ไม่เหมาะสม ข้าคงฉีกปากเน่า ๆ ของเจ้านกสารเลวนี่ออกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว!

เหตุการณ์เล็กน้อยนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

การประลองในรอบที่สองจึงจบลงเช่นนี้ เฉินซีและอีกยี่สิบสามคนที่ได้รับชัยชนะกำลังเข้าใกล้เป้าหมายในการติดอันดับหนึ่งในสิบไปอีกก้าวหนึ่ง

ก่อนที่รอบที่สามจะเริ่มขึ้น เฉินซีและคนอื่น ๆ ได้มีเวลาพักผ่อนครึ่งวัน เพราะการประลองครั้งต่อไปจะโหดร้ายกว่าครั้งก่อน และการประลองที่ยืดเยื้ออาจปรากฏขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอาจเสียเปรียบ หากพวกเขาประลองในขณะที่ความแข็งแกร่งของพวกเขายังไม่ฟื้นตัว

แต่ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นกลับไม่ได้ยืนอยู่เฉย ๆ พวกเขากำลังถกเถียงกันอย่างคึกคักเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ของทุก ๆ คนในยี่สิบสี่อันดับแรก คนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดไม่ใช่ชิงซิ่วอี้ และยอดฝีมือรุ่นเยาว์คนอื่น ๆ หรือผู้บ่มเพาะที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่คนที่ถูกกล่าวถึงกลับเป็นเฉินซี

รอบแรก เขาเอาชนะหานเจิ้นตงด้วยดัชนีกระบี่เดียว

รอบที่สอง เฮ่อเหลียนจวินผู้เลื่องชื่อกลับยอมรับความพ่ายแพ้ โดยไม่ทันได้ขึ้นไปบนสังเวียนด้วยซ้ำ

สิ่งนี้ทำให้สัญชาตญาณของทุกคนตระหนักได้ว่า เฉินซีนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดว่าชายหนุ่มแข็งแกร่งเพียงใด

ในขณะนี้ ยิ่งเขาลึกลับมากเท่าไรก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการพูดคุยเกี่ยวกับเฉินซีจึงเพิ่มขึ้นมาก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท