บทที่ 404 การปะทะที่รุนแรง
บทที่ 404 การปะทะที่รุนแรง
การโจมตีครั้งนี้ของซูเฉินไม่เพียงมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น มันยังกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในสังเวียนปีศาจสังหาร ให้มารวมตัวกันบนใบดาบอย่างบ้าคลั่งอีกด้วย
ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!
ในชั่วพริบตา โลกทั้งใบกลับกลายเป็นภูเขาซากศพและทะเลเลือด พร้อมกับกองทัพอันทรงพลังที่พุ่งเข้าโรมรันกัน ดาบปะทะกัน กลองสงครามดังกึกก้อง เสียงของการต่อสู้ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ฟังดูน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
ยังไม่ทันทีดาบเล่มนี้จะถูกฟันออกไป มันก็ทรงพลังมากเสียจนแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกลก็ยังแสดงอาการตกตะลึง
“ฟันพิฆาตสุญตา! นี่คือสุดยอดกระบวนท่าที่จ้าวขุนศึกเคยใช้ในการกวาดล้างดินแดน ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้สิ่งนี้สังหารผู้บ่มเพาะจากต่างแดนนับหมื่น กองศพกลายเป็นภูเขาขณะที่เลือดไหลย้อมแม่น้ำ!”
“ชายผู้นี้ทรงพลังจริง ๆ การโจมตีครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าถูกที่ถูกเวลายิ่งนัก ฝ่าบาทได้รวบรวมจิตวิญญาณแห่งสงครามจากสนามรบโบราณมาเพื่อขัดเกลาสังเวียนปีศาจสังหารแห่งนี้ ดังนั้นเมื่อใช้การโจมตีนี้ เจตนาฆ่าฟันและกลิ่นอายของการต่อสู้จึงได้ถูกดึงดูดเข้าหาและหลอมรวมเข้ากับมัน ทำให้มันมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า!”
“ดูเหมือนว่าจ้าวขุนศึกจะทุ่มความพยายามไปกับเด็กผู้นี้อย่างมาก ในเมื่อเขามีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ความสำเร็จในอนาคตของเขาย่อมไร้ขีดจำกัด หลังจากการโจมตีครั้งนี้ เกรงว่าเฉินซีอาจจะต้องพ่ายแพ้ไป”
สายตาของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเฉียบคมเพียงใด?
ทันทีที่เห็นพลังที่แฝงอยู่ในการโจมตีของซูเฉิน พวกเขาก็อนุมานได้ทันทีว่า ถึงแม้เฉินซีจะใช้เคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบขั้นที่หก ชายหนุ่มก็อาจจะไม่สามารถรับการโจมตีนี้ได้
ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่เผยรอยยิ้มขึ้น เขารู้สึกว่าการตัดสินใจรับเลี้ยงซูเฉินเมื่อหลายปีก่อนนั้นไม่ได้สูญเปล่า พรสวรรค์ที่แสดงออกมาของเด็กคนนี้ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก
และสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมากที่สุดก็คือ …การที่เฉินซีกำลังจะตกตายอย่างน่าสยดสยองในเงื้อมมือคนของตน จริงหรือไม่?
เมื่อได้เห็นฉากนี้หัวใจของย่าชิงและคนอื่น ๆ ก็จุกอยู่ที่ลำคอ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่สังเวียนปีศาจสังหารด้วยความประหม่าจนแทบลืมหายใจ
“ตอนนี้เจ้าคิดว่าเอาชนะข้าได้อย่างนั้นหรือ?” เต๋ารู้แจ้งที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยควบแน่นและส่งเสียงก้องอยู่ในมือของเขา ทำให้รัศมีของซูเฉินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับว่ามันไม่มีขอบเขต จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ฟังดูสยดสยองยิ่ง “คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้! แล้วข้าจะยอมเหลือศพของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้ มิฉะนั้นการโจมตีนี้ จะสังหารเจ้าทิ้งจนไม่เหลือแม้กระดูก!”
เย่อหยิ่ง! อิ่มเอมใจ!
ในตอนนี้ซูเฉินรู้สึกอิ่มเอมใจประหนึ่งชัยชนะนี้อยู่ในกำมือของตน ราวกับว่าเขาได้ระบายความเกลียดชังที่ฝังอยู่ในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาออกไปจนหมดสิ้น
เฉินซีเงยหน้าขึ้น ประกายเฉียบคมพาดผ่านดวงตาของเขา ก่อนจะกล่าวขึ้นช้า ๆ ทีละคำ “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือคำพูดสุดท้ายของเจ้า?”
เมื่อคำพูดสุดท้ายจบลง อากาศรอบ ๆ ตัวของเฉินซีก็สั่นสะเทือน และแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้กำลังจะถูกปลดออกจากฝักและสังหารโลกใบนี้!
เสี้ยวอึดใจต่อมา เจตจำนงกระบี่ที่น่ากลัวอย่างยิ่งก็พวยพุ่งออกมาจากยันต์ศัสตรา แทงทะลุและบดขยี้ ฉีกอากาศรอบตัวออกเป็นเสี่ยง ๆ ม่านแสงรอบสังเวียนประลองทั้งหมดสั่นสะท้าน ท่าเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบขั้นเจ็ดเปิดตัวออกมาอย่างน่าตกใจ!
ทันใดนั้น นครหลวงธารสายไหมก็ตกลงสู่ความเงียบสงัดอยู่ครู่ใหญ่ จนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มที่ตกลงพื้น ก่อนเสียงอึกทึกครึกโครมจะดังก้องขึ้น
“มันไม่ใช่ขั้นหก แต่เคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบขั้นเจ็ด!”
“เหลืออีกแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะรวมกระบวนท่าทั้งแปดเป็นหนึ่งเดียว และบรรลุความสมบูรณ์แบบได้?”
“แม้ว่าระหว่างขั้นหกกับเจ็ดจะต่างกันเพียงแค่ขั้นเดียว แต่เคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบขั้นเจ็ดก็นับเป็นการก้าวเข้าสู่ระดับสูงสุดของเคล็ดวิชาไปแล้ว ทว่าเมื่อเทียบกับขั้นหก ความแตกต่างนั่นก็เหมือนสวรรค์กับปฐพี เช่นเดียวกับความแตกต่างระหว่างสมบัติวิเศษระดับสูงกับสมบัติวิเศษระดับต่ำ”
“นี่มันบ้าเกินไป น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เต๋าแห่งกระบี่ของเฉินซีได้บรรลุระดับนั้นแล้ว! เขาต้องเป็นอัจฉริยะเต๋าแห่งกระบี่ที่น่าทึ่งที่สุดในรอบหลายพันปีอย่างแน่นอน!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีไม่เคยคิดมาก่อนว่า การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาเผยความตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง
แม้แต่แม่ทัพใหญ่หลัวหุนที่นั่งเงียบมาตลอด ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมา แสงเย็นทอประกายขึ้นในดวงตาของเขา
ในที่สุดเขาก็นึกถึงคำพูดที่จักรพรรดิซ่งเคยกล่าวเอาไว้ เมื่อตอนที่ทุกคนกำลังดื่มและพูดคุยเรื่องเต๋า น้ำเสียงและสีหน้าที่แฝงความตกใจขององค์จักรพรรดิปรากฏขึ้นพร้อมกับสิ่งที่พระองค์พูดในเวลานั้น ‘ก็แค่สหายตัวน้อยที่ฝึกฝนอยู่ในแผนภาพขุนเขาธารสายไหม เสียงดังมากไปหน่อย…’ คงน่าจะหมายถึงเด็กคนนี้แน่ ๆ!
มีเพียงขั้นเจ็ดของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบเท่านั้นที่สามารถทำให้ฝ่าบาทสะเทือนใจได้ ส่วนเหตุผลนั้นง่ายมาก เมื่อยังทรงพระเยาว์ ฝ่าบาทของเขาได้ศึกษาเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบมานับสิบปี ทว่าก็ยังคงติดอยู่ที่ขั้นหก ทำให้พระองค์ยังคงรู้สึกเสียใจจนถึงทุกวันนี้
แม่ทัพใหญ่อดไม่ได้ที่จะมองท้องฟ้าเบื้องบนจากหางตา และเขาก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าจักรพรรดิซ่งลืมตาขึ้นตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ ทั้งยังเผยให้เห็นถึงร่องรอยความสนใจในการต่อสู้ที่ด้านล่างนั้น
“เขายังซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ และไม่ได้เปิดเผยมันออกมาทั้งหมด!” ชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน และยอดฝีมือคนอื่น ๆ ต่างก็เกิดความคิดแบบเดียวกันขึ้น
เฉินซีเป็นม้ามืดที่น่าจับตามองที่สุดในการชุมนุมดาวรุ่งครานี้ เขาได้ผ่านพ้นอุปสรรคมากมายมาตลอดทางและได้รับชัยชนะในการต่อสู้ติดต่อกัน จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มยังไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดเลย แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดย่อมเป็นความแข็งแกร่งของเขาที่เพิ่มขึ้นตามความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ ไพ่ตายที่ถูกซ่อนไว้ในหลุมลึกราวกับไร้ก้นบึ้ง กล่าวได้เลยว่าเขาซ่อนความแข็งแกร่งของตนไว้ได้ลับมากจริง ๆ
ปัง!
เสียงก้องสะเทือนโลกดังขึ้นมาจากทางสังเวียนปีศาจสังหาร ฟันพิฆาตสุญตาของซูเฉินและเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบขั้นเจ็ดของเฉินซีเข้าปะทะกัน พลังทำลายล้างที่ระเบิดออกมาจากการปะทะกันครั้งนี้ดุจภูเขาไฟสองลูกที่ปะทุแสงเจิดจ้าและเสียงดังกึกก้องขึ้นพร้อมกัน หากไม่ใช่เพราะพวกเขาสู้กันอยู่บนสังเวียน เพียงแค่คลื่นสะท้อนจากการระเบิดที่ปล่อยออกมาจากการโจมตีครั้งนี้ ก็เกินพอที่จะกวาดล้างแม่น้ำภูเขาในระยะพันลี้ให้เรียบได้แล้ว
เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ ทุกคนในนครหลวงธารสายไหมก็ตกตะลึงอีกครั้ง หัวใจของพวกเขาเต้นรัว จนไม่สามารถสงบสติอารมณ์และควบคุมตัวเองได้อยู่พักใหญ่
“เจ้า… สกัดมันได้จริง ๆ รึ!?”
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเฉินก็ตะโกนด้วยความโกรธสุดขีด ขณะที่ฝุ่นและควันในสังเวียนประลองสลายไป ตอนนี้เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นจนถึงจุดที่ทำให้เขาอับอายเล็กน้อย ใบหน้าของเจ้าตัวซีดเซียว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
ส่วนเฉินซีถือกระบี่ไว้ในมือขวา เสื้อผ้าสีฟ้าเองก็ขาดรุ่งริ่งเช่นกัน แต่แผ่นหลังยังคงตั้งตรงและสง่าเช่นก่อนผิดกับเขา สีหน้าของชายหนุ่มไม่มีร่องรอยความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงสงบและไม่แยแสต่อสิ่งใด
“เป็นไปไม่ได้! ฟันพิฆาตสุญตาของข้าบรรลุระดับเชี่ยวชาญแล้ว การผสมผสานของวิญญาณโลหิตกับเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาที่ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ได้ทำลายล้างจิตวิญญาณโลหิตไปนับไม่ถ้วน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะป้องกันการโจมตีของข้าได้ทั้งหมด! รับมือ!” ดวงตาของซูเฉินเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาตะโกนออกมาอย่างดุดันและพุ่งเข้าหาเฉินซีอีกครั้ง
มีอีกสิ่งหนึ่งที่ซูเฉินไม่ได้พูด นั่นคือฟันพิฆาตสุญตานั้นเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขามีอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้น กระบวนท่านี้ก็ยังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ มันทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนในทันที
การพังทลายของความมั่นใจมักเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ
ยามนี้ ซูเฉินตกอยู่ในอาการวิกลจริตอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะใจเย็นแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซีผู้ไม่ยอมตกตายต่อหน้าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา สำหรับศัตรูที่ทำให้เขาต้องทนข่มกลั้นความเกลียดชังมาหลายปี… เขาก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะหัวเสีย!
“ซูเฉินพ่ายแพ้แล้ว” แม่ทัพใหญ่ปิดตาของเขาอีกลงครั้ง
“ดูเหมือนว่าการโจมตีครั้งนี้จะส่งผลต่อเด็กคนนี้อย่างรุนแรงมาก น่าเสียดาย เมื่อเกิดการสั่นคลอนเพียงเล็กน้อยในจิตใจ ศัตรูก็ย่อมใช้มันทำให้อีกฝ่ายต่อสู้อย่างบ้าคลั่งไร้สติเช่นนี้อยู่แล้ว” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ เองก็แอบสงสารเช่นกัน
“หือ? ข้ายังไม่ทันจะได้สู้อย่างเต็มกำลังเลย สหายผู้นี้ก็คลั่งไปเสียแล้ว… มันคงจะน่าเสียดายมากหากข้าไม่คว้าโอกาสนี้ไว้!” เฉินซีขมวดคิ้วครู่หนึ่งก่อนที่คิ้วของเขาจะคลายลง จากนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็เผยให้เห็นถึงจิตสังหารอันเฉียบคมในขณะที่เขาระเบิดพลังทั้งหมดออกมาในทันใด
ฟุ่บ!
แสงดาบที่แพรวพราวและเจิดจ้าฉีกทะลวงขึ้นไปเหนือท้องฟ้าทันที ดาบนี้ประกอบด้วยเต๋ารู้แจ้งเจ็ดประเภท พวกมันถูกปล่อยออกมาผ่านใบดาบที่หลอมขึ้นจากคมเขี้ยวสังหาร ขณะที่อักขระยันต์กระจายตัวมากขึ้น เสียงของเต๋าและเจตจำนงแห่งการฆ่าฟันระเบิดเสียงคำรามก้องอย่างพร้อมเพรียงกัน!
ปัง!
เสียงระเบิดดังกระทบแก้วหูของทุกคน ใบกระบี่สีแดงเลือดในมือของซูเฉินแตกออกขณะที่กระดูกข้อมือของเขาหักเป็นเสี่ยง ๆ เลือดกระเซ็นออกมาพร้อมเสียงแตกหักที่ดังขึ้น ร่างของเขาถูกเหวี่ยงไปด้านหลังอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดเผือดและบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่รุนแรง
พรึ่บ!
เฉินซีพุ่งมาอยู่ด้านข้างของซูเฉินในทันที
ซูเฉินตื่นตระหนกอย่างมาก ความหวาดกลัวพรั่งพรูออกมาจากใบหน้าซีดขาวและบิดเบี้ยว เขารู้ว่าตนหุนหันพลันแล่นเกินไปและตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว เฉินซีมาถึงตรงหน้าเขาแล้ว!!
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!” ในเวลาเดียวกันกับที่รู้สึกถึงความหวาดกลัว ซูเฉินตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง เขาออกแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกาย พยายามรวบรวมพลังทั้งหมดป้องกันการโจมตีที่อยู่ตรงหน้าตน
กึก!
ทันทีที่เฉินซียกกระบี่ขึ้น เสียงของซูเฉินก็ดังขึ้นในจังหวะเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดมือลงทันที กฎของการต่อสู้ครั้งนี้คือเมื่อฝ่ายหนึ่งยอมรับความพ่ายแพ้ อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือต่อ ใครก็ตามที่กล้าฝ่าฝืน จักรพรรดิซ่งจะลงมือโจมตีและสังหารบุคคลนั้นด้วยตัวพระองค์เอง!
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ เช่นนี้อยู่แล้ว ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น เขาก็ได้คิดวิธีจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้แล้ว ยังไม่ทันที่คำกล่าวของซูเฉินจะจบลง จิตสำนึกของเฉินซีก็คำรามขึ้น ขณะที่มันพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว จิตสัมผัสเทพที่มองไม่เห็นพุ่งออกมาโจมตีใส่ซูเฉินอย่างรุนแรง
“ข้า… อา!” ซูเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกำลังจะพูดต่อ แต่จู่ ๆ ตัวคนกลับส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช พลางกุมศีรษะและกรีดร้อง “จิตวิญญาณของข้าพังทลายแล้ว! มันเจ็บ! เฉินซี… เจ้ามันโหดเหี้ยม!”
อึดใจต่อมา เสียงของเขาก็เงียบลง ส่วนวิญญาณที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ทำให้เขาหมดสติไป
“ข้าไม่ได้สังหารเจ้า ข้าเพียงแต่ควบคุมจิตสัมผัสเทพไม่ได้…” เฉินซีส่ายหัวและไม่แม้แต่จะเหลือบมองซูเฉินที่อยู่บนพื้นอีก ก่อนจะหันหลังกลับ ก้าวออกจากสังเวียนปีศาจสังหารไป