บทที่ 414 ทะลวงผ่านอีกครั้ง
บทที่ 414 ทะลวงผ่านอีกครั้ง
เคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบขึ้นชื่อว่าเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่บ่มเพาะได้ยากที่สุดในโลก
เคล็ดวิชากระบี่นี้มีเต๋ารู้แจ้งอยู่แปดประเภทและทุก ๆ กระบวนท่าก็มีการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย หนาแน่นราวกับทางช้างเผือก กว้างใหญ่เหมือนทะเลเมฆ และแม้แต่ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระที่มีความชำนาญในการคาดเดา ก็ยังรู้สึกการคาดเดาการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของมันเป็นเรื่องยาก ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบยังแบ่งออกเป็นแปดระดับ ซึ่งแต่ละระดับนั้นจะยากยิ่งขึ้น และผู้ที่สามารถเรียนรู้พื้นฐานของมันได้ ก็เพียงพอที่จะถูกเรียกว่าอัจฉริยะที่ทำให้โลกต้องตกตะลึง ส่วนผู้ที่สามารถบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุดได้นั้นมีเพียงหนึ่งในล้าน ซึ่งหาได้ยากในรอบหนึ่งพันปี!
แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างจักรพรรดิซ่ง ก็ยังต้องใช้เวลาศึกษามันหลายสิบปี แต่ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกกลางคันและไม่สามารถเชี่ยวชาญได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เอง ความยากลำบากอันน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่ในตอนนี้ เฉินซีได้เข้าสู่สภาวะการตระหนักรู้อย่างเฉียบพลันในระหว่างการประลองครั้งสุดท้าย แล้วเขาก็ได้หลอมรวมกระบวนท่าทั้งแปดของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบจนสามารถบรรลุระดับสูงสุด จึงก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในหมู่ผู้ชมทันที
ความซับซ้อนทั้งหมดได้ถูกกำจัด เพื่อหวนคืนสู่ความเรียบง่าย!
เจตจำนงกระบี่ที่สมบูรณ์แบบได้หวนคืนสู่ธรรมชาติ!
แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์เฒ่าทุกคนที่ชมการต่อสู้ก็ยังตกตะลึงจนไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ พวกเขาพากันชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่ากำลังชื่นชมภาพวาดทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดในโลก และความรู้สึกเห็นใจที่มีต่ออัจฉริยะก็เกิดขึ้นในใจของพวกเขา
“ในทุกยุคสมัยที่รุ่งเรือง ย่อมมีอัจฉริยะที่สามารถสั่นสะเทือนสวรรค์ บดขยี้ทุกคนในรุ่นเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด และเฉิดฉายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เด็กคนนี้สมควรได้รับเกียรตินี้!”
“อันที่จริง เขาได้เข้าสู่สภาวะการตระหนักรู้อย่างฉับพลันในการต่อสู้ที่สำคัญเช่นนี้ และได้หลอมรวมกระบวนท่าทั้งหมดของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบให้เป็นการโจมตีในกระบวนท่าเดียว พรสวรรค์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนและหาได้ยากในรอบหนึ่งพันปี ข้าได้ยินมาว่าเด็กคนนี้ยังไม่ได้สังกัดนิกายใด หอหยกนภาของข้ายินดีต้อนรับอัจฉริยะเช่นนี้!”
“ถ้าเด็กคนนี้เต็มใจ เกาะบ่อหยกสวรรค์ของข้าก็เต็มใจรับเขาเป็นศิษย์สายหลัก เขาสามารถเลือกเคล็ดวิชาบ่มเพาะ หรือโอสถทิพย์และสมบัติวิเศษชิ้นใดก็ได้ตามที่ต้องการ และแม้แต่การตั้งให้เขาเป็นรองประมุขนิกายก็ไม่นับเป็นอะไร!”
“นิกายกระบี่สะบั้นนภาของข้า…”
“นิกายแสงจรัสของข้า…”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทุกคนถูกกระตุ้นด้วยความรักที่มีต่ออัจฉริยะในใจของพวกเขาและต้องการที่จะรับเฉินซีเข้าสู่นิกายของพวกตน และพวกเขายังได้ยื่นข้อเสนอที่ดึงดูดใจต่าง ๆ แม้กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีหลายคนต่างเริ่มโต้เถียงกัน เพื่อแย่งชิงเฉินซีมาเข้านิกายของพวกเขา
ภาพที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวานี้ ทำให้แม้แต่เป่ยเหิงที่อยู่ใกล้เคียงถึงกับตกตะลึง “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าน้องร่วมสาบานของข้าจะโด่งดังขนาดนี้ในพริบตา”
…
เป็นเวลานานมากแล้วที่เฉินซีไม่ได้ประสบกับการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความกดดันและปล่อยให้เขาได้ต่อสู้จนสุดใจปรารถนา แรงกดดันที่ชิงซิ่วอี้นำมาสู่เขาในครั้งนี้ ทำให้ชายหนุ่มสามารถดึงศักยภาพอันมหาศาลที่อยู่ในจิตวิญญาณ จนในที่สุดเขาก็สามารถทะลวงผ่านอุปสรรคสุดท้ายของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบ และสามารถหลอมรวมเพื่อบรรลุไปสู่ระดับสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์
และตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่ายันต์ศัสตราในมือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ที่เชื่อมโยงเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อ ทุกกระบวนท่าได้ทะลวงผ่านกำแพงที่ขังเขาไว้ ทำให้เข้าใจธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงมากมายของมัน เต๋ารู้แจ้งประเภทต่าง ๆ มาบรรจบรวมกันในการโจมตีของเขา ทำให้อานุภาพของมันเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลายเท่า!
“ที่ใดมีแสงสว่าง ปีศาจ และความชั่วร้ายทั้งหมดจะถูกบดขยี้!” ภายใต้กระบวนท่าของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบของเฉินซีที่บรรลุความสมบูรณ์แบบแล้ว ชิงซิ่วอี้รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก แต่การบ่มเพาะของนางก็พรั่งพรูขึ้นพร้อมกัน จากนั้นหญิงสาวก็ได้ระเบิดศักยภาพที่ไร้ขอบเขตออกมา
อัจฉริยะ!
ไร้เทียมทานและเป็นไปไม่ได้ที่จะบดขยี้ พวกเขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นในสถานการณ์ที่เลวร้ายและระเบิดศักยภาพที่หลากหลายออกมามากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นชิงซิ่วอี้ เฉินซี จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน หรือแม้แต่คนอื่น ๆ ก็ล้วนมีศักยภาพดังกล่าว
แต่ข้อแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นคือ ศักยภาพของชิงซิ่วอี้มาจากประสบการณ์ของเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด ซึ่งก็เท่ากับเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ฟ้าประทาน แต่ศักยภาพของเฉินซีได้รับการขัดเกลาจากการต่อสู้ที่ยากลำบากนับครั้งไม่ถ้วน และเป็นสิ่งที่ส่งเสริมในภายหลัง
ปัง!
ชิงซิ่วอี้ระเบิดพลังออกมาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ร่างของนางอาบไปด้วยแสงที่เปล่งประกายเจิดจรัสซึ่งปกคลุมฟ้าดิน แสงที่เปล่งออกมานั้นดูเหมือนวัตถุและก่อตัวเป็นเปลวเพลิงจำนวนมากที่บรรจุพลังงานอันน่าสะพรึงกลัว มันได้แผ่ความรู้สึกอันศักดิ์สิทธิ์ที่กว้างใหญ่และลึกลับออกมาอย่างบางเบา ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากต้องก้มกราบและไหว้บูชา
“นี่มันกระบวนท่า ‘แสงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์’! การสละอายุขัยของตนเองและถวายให้แก่แสงสว่าง เพื่อแลกกับพลังที่แข็งแกร่งกว่าปกติหลายเท่าตัว! เฉินซีบีบบังคับให้นางต้องใช้อายุขัยในการต่อสู้อย่างสิ้นหวัง…” เมื่อพวกเขาจำกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์แบบอันทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ ดวงตาของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างก็หดตัวลงในทันที
แสงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ เป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเชื่อมโยงกับความลึกล้ำที่เป็นแก่นแท้ของสวรรค์และโลก โดยใช้หัวใจที่บริสุทธิ์และจริงใจ รวมถึงเจตจำนงที่แน่วแน่สูงสุดในการควบแน่นความลึกล้ำของเคล็ดวิชาต่อสู้ ซึ่งได้หลอมรวมเข้ากับปราณวิญญาณของสวรรค์และโลก เพื่อสังเวยและดึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวของแก่นแท้แห่งแสงอันลึกล้ำออกมา!
…ยามที่มันถูกใช้ออกไป ก็จะสามารถควบคุมแสงเพื่อสยบทวยเทพและนำความโกลาหลมาสู่โลกได้!
ฟุ่บ! ลำแสงได้ส่องผ่านท้องฟ้าและพุ่งเข้าใส่เฉินซี แต่เขากลับหลบทัน จากนั้นเปลวไฟก็พุ่งลงมายังสังเวียน ทำให้เกิดหลุมลึกในทันที ซึ่งด้านล่างของสังเวียนนั้นมีค่ายกลยันต์อักขระที่จักรพรรดิซ่งสร้างขึ้นวางเอาไว้ ทว่ามันกลับถูกทำลายในพริบตา!
“ที่แท้มันก็คือเปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นจากเคล็ดวิชาแสงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถหลอมละลายและทำลายล้างทุกสิ่ง ว่ากันว่าเมื่อบ่มเพาะจนบรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว มันจะสามารถเรียกวิญญาณแสงที่ก่อตัวขึ้นในธรรมชาติ และยังสามารถทำให้ทะเลเดือด เผาภูเขา และทำลายดวงดาราให้เป็นจุณ”
“แต่ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้บ่มเพาะที่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาแสงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์จนถึงขั้นสูงสุด ล้วนมีอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬเท่านั้น และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้พบเจอกับผู้บ่มเพาะเช่นนี้ในผืนแผ่นดินที่เราอยู่”
“นั่นไม่จริงเสมอไป หากยึดตามพรสวรรค์ของนาง บางทีชิงซิ่วอี้อาจจะเป็นผู้บ่มเพาะคนแรกที่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาแสงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์จนบรรลุถึงขั้นสูงสุดก็ได้”
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างก็กล่าวถึงเคล็ดวิชาแสงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ และในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิซ่งก็ลงมือเพื่อทำให้สังเวียนมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น
บนสังเวียน การต่อสู้นั้นร้อนแรงเสมือนเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ
ทันทีที่ชิงซิ่วอี้ใช้เคล็ดวิชาแสงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ เปลวเพลิงก็สาดส่องไปทั่วท้องฟ้าด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้เฉินซีไม่กล้าผลีผลาม ต่อต้านเปลวไฟที่แฝงไปด้วยความรู้สึกสังเวยเหล่านี้ด้วยกำลังทั้งหมด ทำให้แรงกดดันที่มีต่อเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากในทันที
การต่อสู้ครั้งนี้เต็มไปการพลิกผันไม่รู้จบ แม้ว่ามันจะเพิ่งดำเนินไปถึงช่วงหนึ่งถ้วยชา แต่การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นมากมาย
ฟ่อ! ฟ่อ!
เปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์เริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่พวกมันค่อย ๆ ก่อตัวเป็นกรงขนาดมหึมาที่ห่อหุ้มลานสังเวียนทั้งหมดภายในนั้น ทำให้เฉินซีไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ แม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม
เมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที ในขณะที่ยันต์ศัสตราพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างจงใจ จากนั้นมันก็ฟันด้วยปราณกระบี่จำนวนมหาศาลจนแผ่กระจายไปทั่ว
ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็เริ่มลงมืออย่างเต็มกำลัง
ทันใดนั้น เปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งเข้าหาเฉินซีราวกับพายุโหมกระหน่ำ พวกมันปกคลุมทั้งฟ้าดินและเคลื่อนตัวเข้าหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตา ร่างของเฉินซีก็ถูกเผาจนปรากฏรูเลือดจำนวนมาก
พลังของเปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถทำลายสังเวียนที่จักรพรรดิซ่งสร้างขึ้นเองกับมือ แล้วจะนับประสาอะไรกับร่างกายของมนุษย์?
อานุภาพของเปลวไฟประเภทนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของมหาเต๋าแห่งอัคคีอีกต่อไป และเป็นพลังแก่นแท้ที่ได้มาจากเต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่าง ทำให้มันลึกลับ ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นพลังที่เหนือกว่าเปลวไฟของธรรมชาติ
“ตายซะ!” ชิงซิ่วอี้กล่าวออกมาอย่างเย็นชา “เพลิงศักดิ์สิทธิ์ผลาญโลกา!”
นางระเบิดพลังออกไปอีกครั้ง ปลดปล่อยเปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ขยายออกไปอย่างหนาแน่นเหมือนกับดาวหางที่พุ่งลงมาจากนอกโลก ซึ่งมันต้องการที่จะกวาดล้างและหลอมละลายเฉินซีให้เป็นจุล
ภายใต้การโจมตีอย่างเต็มกำลังครั้งนี้ เจตนาฆ่าของนางได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่
ยันต์ศัสตราของเฉินซีได้ฉีกผ่านไปยังท้องฟ้าด้วยพลังทั้งหมดโดยไม่โดนยับยั้งแม้แต่น้อย แม้ว่าเปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์จะลุกไหม้อยู่ตามร่างกายและละลายเนื้อหนังของเขา แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความหวั่นไหวใด ๆ ออกมาเลยสักนิด
แม้ว่าในด้านการขัดเกลากายาของเขาจะเพียงพอที่จะทำให้ฟื้นฟูร่างกายได้ แต่มันก็ไม่เพียงพอเมื่อเผชิญกับเปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมันสามารถเผาผลาญร่างกายของเขาได้ในทันที และมันทำให้ชายหนุ่มไม่มีโอกาสได้ฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มที่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เฉินซีกำลังพุ่งไปข้างหน้าโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน!
เขาฉีกชั้นของเปลวเพลิงชั้นแล้วชั้นเล่า เลือดที่เป็นผลึกซึ่งอาบไปด้วยแสงสีทองได้ไหลออกมาจากรอยแผลบนร่างของเขา และมันไหลไปทั่วร่างกายของชายหนุ่ม ทำให้เขาดูเหมือนมนุษย์โลหิตที่น่าสยดสยอง
“เจ้าคิดเสี่ยงชีวิต? ข้าก็เช่นกัน!!” ดวงตาที่ใสกระจ่างของชิงซิ่วอี้หรี่ลงเมื่อเห็นสิ่งนี้ นางรู้ว่าถ้าเฉินซีสามารถฝ่าเข้ามาได้ นางก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
ในขณะนี้ ใบหน้างดงามของนางที่สงบนิ่งและเฉยเมย ได้เผยให้เห็นท่าทางที่คลุ้มคลั่งอันหาได้ยาก “เฉินซี ไปลงนรกซะ! เจ้ากำลังคิดที่จะฝ่าวงล้อมของเปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ของข้าใช่หรือไม่? ฝันไปเถอะ! เจ้าพรากความบริสุทธิ์ของข้าไป ดังนั้นเจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้า!”
ฟ่อ! ฟ่อ!
เปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงจนปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้ผู้บ่มเพาะทั้งหมดที่อยู่นอกสังเวียนมองไม่เห็นการต่อสู้ได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป หลังจากที่นางทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว ชิงซิ่วอี้ก็ถ่มเลือดที่เต็มปากออกมา ก่อนจะเผยสีหน้าที่ซีดเซียวจนแทบโปร่งแสง
แสงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์เป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่ทรงพลัง หากผู้ใดต้องการใช้พลังที่แข็งแกร่ง ก็จำต้องจ่ายมันด้วยอายุขัยและถวายเป็นเครื่องสังเวย เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับพลังแก่นแท้ของแสงได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเคล็ดวิชาที่เป็นดั่งดาบสองคม
ชิงซิ่วอี้ได้ใช้อายุขัยไปมากแล้วก่อนหน้านี้ และเมื่อนางลงมืออย่างไร้ความปรานีอีกครั้ง ทำให้แม้แต่รากฐานการบ่มเพาะของนางก็ไม่สามารถทนต่อเคล็ดวิชาได้ ทำให้ได้รับผลสะท้อนกลับในทันที
แต่ชิงซิ่วอี้ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่อาจปล่อยให้เฉินซีเอาชนะและใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน
ปัง! ปัง!
เปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน และพลังของมันก็ทวีความน่ากลัวยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ กระแสเปลวเพลิงที่โปร่งแสงเช่นนี้ ราวกับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ขโมยมาจากตะเกียงของทวยเทพ และมันก็พุ่งไปยังร่างของเฉินซี
ชั่วพริบตาเดียว เฉินซีรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขากำลังถูกแผดเผา เพราะริ้วความเจ็บปวดแล่นขึ้นมา ราวกับฟันเลื่อยที่กำลังกลืนกินเนื้อหนังทุกส่วนในร่างกาย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
ราวกับเขาจะได้ไปเยือนประตูนรกในอีกช่วงเวลาข้างหน้า
‘สรรพสิ่งบนโลกนี้ถ้าไม่ทำลายสิ่งเก่า ก็ไม่มีวันสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาได้ ศึกนี้ข้าต้องชนะ! ข้าต้อง…’ เฉินซีตะโกนในใจ เขามีความเชื่อมั่นที่จะชนะอย่างแน่วแน่และปราศจากความหวั่นไหว
ถึงแม้ว่าจะต้องตาย ข้าก็จะทุ่มกำลังออกไปทั้งหมด!
“ต่อให้เป็นเต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่างหรือเปลวเพลิงบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งที่ขวางทางข้าจะต้องพังทลายและแหลกสลายเป็นผุยผง!”
เพราะเขาต้องชนะ เพื่อเอาเลือดเนื้อเชื้อไขของตนกลับคืนมา ซึ่งคือเฉินอัน!
นอกจากชัยชนะแล้ว เขาไม่มีความคิดอื่นอยู่ในใจอีกต่อไป
เขาจะไม่เสียใจแม้ว่าตัวเองจะต้องตาย!
ครืนนนน!
ในขณะนี้ เจตจำนงของเขาได้แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณ ทำให้มันแข็งแกร่ง มีสมาธิ และมั่นคงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ภายในห้วงสำนึกของเขา เกิดพายุที่โหมกระหน่ำขึ้นอย่างกะทันหัน รูปปั้นเทพเจ้าฝูซีลอยขึ้นมาอย่างฉับพลัน พร้อมกับเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาลออกมา
ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากก็พลันลอยขึ้นและสั่นสะเทือน พร้อมกับแผ่ความผันผวนที่แปลกประหลาดให้กระจายออกไป… ทุกอย่างภายในห้วงสำนึกดูเหมือนจะพังทลายและสับสนอลหม่าน
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ หัวใจของเฉินซีก็โปร่งใสดั่งแก้ว ทั้งร่างกายของเขาได้เข้าสู่สภาวะนิรันดร์ที่เงียบสงบและว่างเปล่า ราวกับว่าเวลา อวกาศ และสรรพสิ่งในฟ้าดินได้เข้าสู่สภาวะหยุดนิ่ง
พลังงานเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ได้มาบรรจบตรงหน้าเขาอย่างต่อเนื่อง ธาตุทั้งห้า หยินหยาง สายฟ้า วายุ ดวงดาว นภา ปารมิตา การลืมเลือน การเข่นฆ่า… มหาเต๋าอันลึกล้ำทั้งสิบสี่ประเภท ดูเหมือนวัฏจักรที่สมบูรณ์แบบทั้งสิบสี่ได้เกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที
หนึ่งอึดใจเป็นหนึ่งความคิด ยี่สิบความคิดเป็นหนึ่งขณะ ยี่สิบอึดใจเป็นเพียงดีดนิ้ว!
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่อธิบายไม่ได้นี้ ดูเหมือน ‘ความเข้าใจ’ บางอย่างจะเข้าสู่จิตวิญญาณของเฉินซี และเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาได้ฟันกระบี่ออกไป!!!