บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 425 กลับบ้านไปพร้อมกับลูกชาย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 425 กลับบ้านไปพร้อมกับลูกชาย

บทที่ 425 กลับบ้านไปพร้อมกับลูกชาย

ในตอนนี้ มีเพียงเฉินซีกับจักรพรรดิซ่งเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในพระราชวังธารสายไหม

เมื่อไม่มีใครอยู่ที่นี่ จักรพรรดิซ่งจึงดูผ่อนคลายและสบายมากขึ้น

เมื่อเขาเผชิญหน้ากับเฉินซี ศักดิ์ศรีและความเคร่งขรึมในฐานะจักรพรรดิสูงสุดได้หายไปหมดสิ้น และตัวคนกลายเป็นดั่งรุ่นพี่ที่พูดคุยกับรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตรที่ทำให้คนรู้สึกราวกับกำลังอาบสายลมของฤดูใบไม้ผลิ

เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนที่การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มต้นขึ้น ข้าเคยให้คำสัญญาว่าจะทำตามคำขอของผู้ได้อันดับที่หนึ่ง ตอนนี้เจ้ามีคำขอที่จะกล่าวถึงหรือไม่”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีก็พอจะคาดเดาได้อย่างราง ๆ ถึงเหตุผลที่จักรพรรดิซ่งให้เขารั้งอยู่ จากนั้นจึงกล่าวโดยไม่ลังเลว่า “กระหม่อมไม่มีคำขออื่นใด หวังเพียงว่าตระกูลเฉินของกระหม่อมจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ และสามารถยืนหยัดไปตลอดกาลเหมือนกับราชวงศ์ซ่งอันยิ่งใหญ่”

“ข้าสัญญา” จักรพรรดิซ่งกล่าวโดยไม่ลังเลพร้อมกับโบกมือของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าทางที่สง่างาม ในความเป็นจริงด้วยฐานะของจักรพรรดิซ่ง หากเขาต้องการปกป้องอำนาจในดินแดนของตนเอง มันก็เป็นเรื่องง่ายมาก

“แต่กระหม่อมยังคงเกรงต่อซูเฉินพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวช้า ๆ ออกมา

“เจ้ากังวลเกี่ยวกับหวงฝู่ไท่อู่ที่อยู่เบื้องหลังของซูเฉินใช่หรือไม่?” จักรพรรดิซ่งเป็นผู้ไม่ธรรมดาและสามารถมองเห็นความคิดของเฉินซีได้ทันที จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ข้าจะเตือนหวงฝู่ไท่อู่เอง หากข้าพบว่าเขากระทำการใด ๆ ต่อตระกูลเฉินของเจ้า หรือไม่ว่าข้าจะใช้ความชอบธรรมในการลงโทษพระญาติเช่นเขาอย่างไร เขาก็ไม่อาจตำหนิข้าได้! ” เมื่อเขากล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของจักรพรรดิซ่งก็แฝงไปด้วยเจตนาฆ่าอันน่าสยดสยอง

ในฐานะจักรพรรดิจะต้องไร้ความปรานีและไร้หัวใจ ใครก็ตามที่กล้าฝ่าฝืนเจตจำนงของเขาจะต้องถูกสังหารอย่างไร้ความปรานี แม้แต่พระญาติก็ไม่มีข้อยกเว้น

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการพูดคุย แต่หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง จักรพรรดิซ่งจะไม่แสดงความเมตตาออกมาอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น หากเฉินซีกลายเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นในสมรภูมิบรรพกาลและได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ ด้วยความสัมพันธ์ของเฉินซีกับตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง ความสำเร็จในอนาคตของเขาจะไร้ขีดจำกัด และจะนำพาผลประโยชน์อันไร้ขอบเขตมาสู่ราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นการเสียสละหวงฝู่ไท่อู่คนเดียว มันก็นับว่าคุ้มค่าแล้วไม่ใช่หรือ?

นี่คือความคิดของผู้ปกครอง ซึ่งสามารถแยกแยะกำไรและขาดทุนได้อย่างชัดเจน ถึงแม้เฉินซีในตอนนี้จะเทียบไม่ได้กับหวงฝู่ไท่อู่ แต่จักรพรรดิซ่งก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า ในอนาคต ต่อให้มีหวงฝู่ไท่อู่นับร้อยคน ก็ไม่อาจเทียบกับเฉินซีที่มีผู้เดียวได้…

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และโค้งคำนับขณะที่เขากล่าว หวงฝู่ไท่อู่เป็นพระอนุชาทางสายเลือดของจักรพรรดิซ่ง แต่พระองค์ได้กล่าวถึงความชอบธรรมเหนือราชวงศ์ แล้วเฉินซีจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?

อีกทั้งคำตอบของจักรพรรดิซ่งยังได้คลายความกังวลของเขาอย่างหมดจด ดังนั้นเมื่อเขาได้เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยของเฉินฮ่าวและตระกูลเฉินอีกต่อไป ทำให้เขารู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจต่อจักรพรรดิซ่ง

จักรพรรดิซ่งเพียงยิ้ม จากนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาและกล่าวว่า “หากเจ้ามีโอกาส ข้าแนะนำให้เจ้ายุติข้อบาดหมางกับชิงซิ่วอี้ ด้วยตัวตนในชาติที่แล้ว ทำให้สถานะของนางพิเศษเป็นอย่างมาก แม้แต่ข้าก็ต้องให้ความเคารพและให้เกียรติอยู่บ้าง บางทีนางอาจจะช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะในอนาคตของเจ้า”

เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็พยักหน้า “ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้น เพื่อเห็นแก่อันเอ๋อร์ ข้าต้องทำเช่นนั้น เพราะนางคือมารดาของอันเอ๋อร์”

จักรพรรดิซ่งลอบถอนหายใจ เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่า เฉินซีไม่ได้เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา ชิงซิ่วอี้ไม่ใช่แค่มารดาของลูกชายเขาเท่านั้น! แต่ในชาติก่อน นางเป็นผู้มีชื่อเสียงที่เลื่องลือไปถึงแดนเซียน!

แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ซึ่งไม่เหมาะที่จักรพรรดิซ่งจะกล่าวอะไรต่อไปอีก ดังนั้นเขาจึงได้แต่รอให้เฉินซี ค่อย ๆ ไตร่ตรองและทำความเข้าใจด้วยตนเอง

หลังจากที่เฉินซีออกไปจากพระราชวังธารสายไหมแล้ว เขาก็รีบแผ่จิตสัมผัสเทพออกไปขณะที่บินไปรอบ ๆ เมืองด้วยความตั้งใจที่จะค้นหาร่องรอยของชิงซิ่วอี้ เพื่อที่จะได้พูดคุยกับนางเกี่ยวกับเฉินอันซึ่งเป็นลูกของพวกเขา

น่าเสียดาย ถึงแม้เขาจะค้นหาไปทั่วนครหลวงธารสายไหม แต่กลับไม่พบร่องรอยของชิงซิ่วอี้เลยสักนิด

เขาจึงได้เพียงแต่กลับไปยังที่พัก หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินจากเจิ้นหลิวชิงว่า ชิงซิ่วอี้ได้จากพระราชวังธารสายไหมไปตั้งนานแล้ว และก็กลับไปที่นิกายของนางโดยไม่ไปเยี่ยมเฉินอันเลยด้วยซ้ำ

เมื่อเฉินซีได้ยินเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้

“ยังมีเวลาอีกหนึ่งปีก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล เจ้าวางแผนที่จะใช้เวลานี้อย่างไร” เจิ้นหลิวชิงถาม

“กลับบ้าน” เฉินซีตอบกลับอย่างสบาย ๆ

“งั้นข้าขอติดตามไปด้วยได้หรือไม่” เจิ้นหลิวชิงกะพริบตาและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง” เฉินซียิ้มเช่นกัน

“แล้วพวกข้าล่ะ” หญิงสาวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นว่าย่าชิง อวิ๋นน่า เหยียนเยียน ตู้ชิงซี ฟ่านอวิ๋นหลาน และมู่เหยาต่างก็ปรากฏตัว ใบหน้าที่งดงามของพวกนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง

เฉินซีตกตะลึงทันที จากนั้นจึงเกาศีรษะและกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่กลับบ้านหรือ?”

หญิงสาวทุกคนต่างส่ายศีรษะ

ไม่ว่าเฉินซีจะสุขุมสักเพียงใด การถูกมองด้วยสายตาที่คาดหวังจากเหล่าหญิงงามที่มีเสน่ห์อันหลากหลาย อีกทั้งยังมีความงามในรูปแบบของตัวเอง ความรู้สึกพึงพอใจในฐานะของบุรุษก็อดไม่ได้ที่จะท่วมท้นอยู่ในหัวใจของเขา

ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ในบุรุษทุกคน และเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาให้หายขาด

แต่ในช่วงเวลาถัดมา หญิงสาวทุกคนก็ละทิ้งเฉินซี เพราะเฉินอันน้อยได้ปรากฏตัวขึ้น เด็กน้อยมีดวงตาที่สวยงามและมีลักษณะที่ประณีตราวกับหยกที่ถูกแกะสลัก เขาทั้งฉลาดและเชื่อฟัง ทำให้กลายเป็นคนโปรดในสายตาของหญิงสาวทุกคน ซึ่งพวกนางก็ชื่นชอบและเอ็นดูเขาที่สุด

“อันอันน้อย รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?”

“ท่านคือป้าย่าชิง”

“เจ้าเป็นเด็กดีมาก นี่คือลูกอมวิญญาณที่ป้าย่าชิงซื้อให้เจ้า มันมีหลายรสชาติ เจ้าลองชิมดูสิ”

“อันอันน้อย แล้วข้าล่ะ?”

“ท่านคือป้าฟ่านอวิ๋นหลาน”

“ฉลาดมาก! เอ้า นี่คือจี้หยกหัวใจมรกต เมื่อเจ้าสวมใส่มัน ก็จะช่วยเจ้าหลีกเลี่ยงสิ่งสกปรกได้”

“อันอันน้อย แล้วข้าล่ะ?”

“อันอันน้อย…”

เมื่อเฉินซีมองไปที่กลุ่มหญิงสาวที่รายล้อมเฉินอัน ราวกับหมู่ดาวที่ล้อมรอบดวงจันทร์ที่สว่างไสว อีกทั้งยังมอบขนม ของขวัญ และแม้กระทั่งให้เจ้าตัวน้อยหอมแก้มเพื่อเป็นรางวัล เฉินซีก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก

“เฮ้อ…. ตอนที่ข้าอายุเท่าเขา ข้าไม่เห็นจะได้รับการดูแลเช่นนี้เลย…” เฉินซีถอนหายใจขณะที่เดินเข้าไป แต่เขาก็ต้องประหลาดใจว่า เจิ้นหลิวชิงที่อยู่ใกล้ ๆ ได้เข้าร่วมกับเหล่าหญิงสาวทั้งหมดและถามเฉินอันถึงวันเกิด เพื่อดูชะตาให้แก่เขา…

“เจ้าเด็กคนนี้แย่งความสนใจไปจากข้า…!” เฉินซีลูบจมูกและรู้สึกเยาะเย้ยตัวเอง

สามวันต่อมา

เรือเหาะสมบัติได้ทะลุผ่านท้องฟ้าและพุ่งเข้าสู่ดินแดนทางใต้

เรือเหาะสมบัตินี้เป็นของหอขุมทรัพย์สวรรค์ ซึ่งถูกเรียกว่ามังกรหิมะ มันไม่เพียงแต่สามารถต้านทานการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเท่านั้น แต่ยังมีความเร็วมหาศาลและสามารถเดินทางได้สองแสนห้าหมื่นลี้ภายในวันเดียว

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม เทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ที่ทอดยาวออกไปอย่างต่อเนื่อง และเมืองหมอกสนที่ตั้งอยู่ที่เชิงเขาก็สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล

“ข้ากลับมาแล้ว” เมื่อเฉินซีมองดูทิวทัศน์ที่คุ้นเคย เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา

“เมื่อข้าจากไปในวันนั้น สายลมของฤดูใบไม้ร่วงได้พัดโชย แต่ตอนนี้ฤดูหนาวได้มาถึงและมีหิมะโปรยปรายไปทั่ว”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท