บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 451 มาถึงเกาะ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 451 มาถึงเกาะ

บทที่ 451 มาถึงเกาะ

ตู้ม!

ท่ามกลางฝูงวิหคมรณาอันหนาทึบ หลีจวิ้นตวัดหอกของเขา ส่งมวลแสงที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกระเบิดออกไปราวกับดอกไม้ไฟและแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ทำให้วิหคมรณาที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดถูกกำจัดลงทันที ในขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นเรือมังกรพันขนนกเช่นกัน ดวงตาของเขาจึงส่องประกายขึ้นฉับพลัน จากนั้นเจ้าตัวก็กล่าวด้วยเสียงอันสยดสยองว่า “นั่นมันเรือมังกรพันขนนกของราชวงศ์ซ่ง หวงฝู่ฉิงอิงจะต้องอยู่บนนั้นอย่างแน่นอน!”

“ราชวงศ์ซ่ง!” ดวงตาของเยี่ยนอวี๋เอ๋อร์และอีกสามคนทอประกายเยียบเย็น เผยให้เห็นความเกลียดชังที่หนาแน่น เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะเผชิญกับศัตรูคู่อาฆาตของราชวงศ์เทียนหลางที่นี่

“ตามพวกมันให้ทัน เราจะให้พวกมันพาเราไปด้วย จากนั้นเราจะคว้าโอกาสนี้เพื่อยึดเรือมังกรพันขนนกมาซะ!” หลีจวิ้นตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พวกเขาติดอยู่ที่นี่มากว่าครึ่งวันแล้ว และถ้าไม่ได้พกโอสถมาเพียงพอ พวกเขาคงจะติดอยู่ในวงล้อมจนตายไปนานแล้ว นอกจากนี้ หากพวกเขาสามารถแย่งชิงเรือมังกรพันขนนกมาได้ โอกาสที่จะฝ่าจากวงล้อมอันแน่นหนา ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย!

“ตกลง เราจะยึดเรือมังกรพันขนนกของพวกมัน” เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์และคนอื่น ๆ ก็เข้าใจเช่นกันว่า หากยังคงดิ้นรนต่อสู้อยู่เช่นนี้ โอกาสที่จะตายก็สูงขึ้นมาก ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งร้อนใจมากขึ้น

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

กลุ่มของหลีจวิ้นรวมตัวกันทันที จากนั้นพวกเขาก็ระดมปราณแท้เพื่อไล่ตามเรือมังกรพันขนนกอย่างสุดกำลัง แน่นอนว่า พวกเขาได้เข่นฆ่าวิหคมรณาอย่างโหดเหี้ยมจนเกิดเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยเลือด!

“พวกมันกำลังมา!” นายน้อยโจวขมวดคิ้วและกล่าวเตือน

“สหายเต๋า การพบกันคือโชคชะตา พวกเจ้าพาพวกข้าไปด้วยได้หรือไม่ ด้วยการมีเข้าร่วมของพวกข้า ก็จะสามารถฝ่าออกไปได้ง่ายขึ้น” ในขณะเดียวกัน เสียงของหลีจวิ้นก็ลอยมาเข้าหูพวกเขา

หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวอย่างเย็นชาและเย้ยหยันว่า “หึ พวกเจ้าจากราชวงศ์เทียนหลาง คิดว่าเราจะยื่นมือช่วยศัตรูของตนเองหรือ? พวกเจ้าช่างไม่รู้กาลเทศะจริง ๆ อีกทั้งยังคิดเพ้อฝัน!”

ด้วยประโยคเดียว นางได้ชี้ให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างเป็นศัตรูกัน การไม่ซ้ำเติมพวกเขาตอนที่ล้มลงก็ถือว่าเมตตาแล้ว แต่คนเหล่านี้ไม่เพียงไม่สำนึก กลับร้องขออย่างไร้ยางอายเช่นนี้ จึงมากเกินไปแล้ว!

“มันคือความเกลียดชังระหว่างสองราชวงศ์ แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกข้าด้วย? พวกข้าเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ เมื่อเราเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬแล้ว เราจะกลายเป็นสหายที่ลงเรือลำเดียวกัน การถือสาเรื่องเล็กน้อยในเวลานี้ ไม่ถือว่าพวกเจ้าใจแคบไปหน่อยหรือ?” เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์กล่าวด้วยความไม่พอใจจากทางด้านข้าง

“พวกเจ้าลองไตร่ตรองดูอีกสักครั้งหนึ่งเถิด มันจะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลยถ้าเราต่อสู้กันในตอนนี้” น้ำเสียงของหลีจวิ้นนั้นดูไม่เป็นมิตรและเต็มไปด้วยเจตนาคุกคาม

“เลิกเพ้อฝันได้แล้ว ต่อให้ต้องลงนรก ก็จะไม่มีวัน!” นายน้อยโจวปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

“ฮึ่ม! ถ้าพวกข้าต้องทุกข์ทรมาน ก็อย่าได้ฝันเฟื่องว่าพวกเจ้าจะมีช่วงเวลาที่สุขสบาย ฆ่าพวกมันแล้วยึดเรือเหาะสมบัติมาซะ!” หลีจวิ้นรู้ว่าเวลานั้นสำคัญ และทั้งสองฝ่ายไม่สามารถประนีประนอมกันได้เลย ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้เปิดการโจมตีเป็นคนแรก

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

แม้ว่ากลุ่มของหลีจวิ้นจะติดอยู่ในฝูงวิหคมรณา แต่พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้สักระยะหนึ่ง ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงฉวยโอกาสที่ว่าเพื่อโจมตีอย่างโจ่งแจ้ง เคล็ดวิชาต่อสู้และสมบัติวิเศษต่าง ๆ ถูกซัดไปยังเรือมังกรพันขนนกอย่างสุดกำลัง เรือมังกรพันขนนกสั่นโคลงเคลงอย่างต่อเนื่อง

“ไอ้สารเลว!” นายน้อยโจวโกรธจนก่นด่าสาปแช่งออกมา จากนั้นเขาก็ซัดดัชนีสูญวิญญาณฟ้าออกไปกว่าสิบครั้งติดต่อกันและโต้กลับศัตรูอย่างรุนแรง ทำให้เรือมังกรพันขนนกโคลงเคลงจนเปลี่ยนทิศทาง แล้วพวกเขาก็จมหายไปในฝูงวิหคมรณาเช่นกัน และเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะฝ่าวงล้อมออกไป

“เฉินซี ข้าจะพยายามควบคุมเรือเหาะสมบัติอย่างเต็มที่ และจะปล่อยทุกสิ่งที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเจ้าทั้งสองคน” หวงฝู่ฉิงอิงรู้สึกหงุดหงิดมากเช่นกัน แต่นางในขณะนี้ทำได้เพียงใช้กำลังทั้งหมดเพื่อควบคุมทิศทางของเรือมังกรพันขนนกและทำให้มั่นใจว่าเรือจะไม่เบนออกจากเส้นทางของมัน ดังนั้นนางจึงไม่สามารถยื่นมือจัดการกับศัตรูได้อย่างเต็มที่

“อย่าได้กังวลไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าเอง” เฉินซีพยักหน้าขณะที่พายุสายฟ้าปกคลุมไปทั่วร่างของเขา สายฟ้าหลั่งไหลออกมา จากนั้นกระแสวังวนก็แปรเปลี่ยนเป็นพายุที่โหมกระหน่ำและถาโถมใส่ศัตรูของเขา

ทันทีที่ลงมือ เขาก็สกัดกั้นการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของกลุ่มหลีจวิ้นทันที แต่ชายหนุ่มทำได้เพียงแต่ป้องกันการโจมตีของคนพวกนั้น และไม่สามารถสังหารคนทั้งห้าได้อย่างสิ้นเชิง!

นั่นเพราะมีวิหคมรณาจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ระหว่างทั้งสองกลุ่ม และความแข็งแกร่งของวิหคมรณาเหล่านี้ก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้นเมื่อพวกมันอยู่ท่ามกลางระหว่างทั้งสองกลุ่ม จึงกลายเป็นเหยื่อซึ่งลดทอนพลังโจมตีของเฉินซีไปมากกว่าครึ่ง ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถทำร้ายหลีจวิ้นและคนอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่

ด้วยเหตุนี้ ข้างหน้าพวกเขาคือฝูงวิหคมรณาที่หนาแน่น และข้างหลังพวกเขาคือผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์เทียนหลางห้าคนที่ไล่ล่าเข้ามาอย่างดุเดือด ซึ่งทั้งสองด้านกำลังเผชิญกับทางตัน ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาเลวร้ายเป็นอย่างมาก

ทั้งสองฝ่ายต่างรู้อย่างชัดเจนว่า ตราบใดที่พวกเขาผ่อนคลายเพียงเล็กน้อย มันจะทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึง และผลลัพธ์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการเห็น แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สถานการณ์ของกลุ่มของเฉินซีดูเหมือนจะดีกว่าเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาเพิ่งเข้าสู่ฝูงวิหคมรณา สภาพร่างกายจึงยังอยู่ในจุดสูงสุด และพวกเขากำลังโดยสารเรือมังกรพันขนนกอยู่ ดังนั้นตราบเท่าที่พวกเขายังคงยืนหยัดต่อไป ก็จะสามารถฝ่าออกจากฝูงวิหคมรณาได้อย่างง่ายดายและสลัดศัตรูที่อยู่ข้างหลังออกไปได้

ในทางกลับกัน แม้ว่ากลุ่มของหลีจวิ้นจะได้เปรียบเชิงจำนวน แต่พวกเขาติดอยู่ที่นี่มากว่าครึ่งวัน ทำให้ร่างกายและจิตใจอ่อนล้าไปนานแล้ว หากยังไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้ พวกเขาก็อาจติดอยู่ในฝูงวิหคมรณาและล้มตายด้วยความเกลียดชังในที่สุด

“ข้าเคยกล่าวไปแล้วว่า พวกเจ้าทุกคนจะต้องเสียใจ!” เมื่อหลีจวิ้นเห็นว่าพวกเขาโจมตีมาตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่สำเร็จ และยังไม่สามารถทำอะไรกับเรือมังกรพันขนนกได้ สีหน้าที่น่ากลัวและแน่วแน่ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“เปลวเพลิงที่แผดเผาจนกว้างไกล หอกทลายปฐพี!” ด้วยเสียงตะโกนที่ดังก้อง หอกสีเงินในมือของเขาก็แทงออกไปพร้อมกับเปลวเพลิงมากมายที่เหมือนกับมังกรไฟนับหมื่นที่ร่ายรำไปรอบ ๆ และกวาดออกไปทุกทิศทุกทาง

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

อานุภาพของหอกนี้รุนแรง รวดเร็ว และเหนือกว่าอย่างไม่มีใครเทียบได้ ทุกที่ที่มันผ่านไป ฝูงวิหคมรณาที่อยู่ข้างหน้าก็จะถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน และไม่นานหลังจากนั้น มันก็พุ่งเข้าใส่เรือมังกรพันขนนกอย่างรุนแรง

หลังจากการโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้น แม้ว่าเรือมังกรพันขนนกจะไม่ถูกทำลาย แต่ก็ถูกโจมตีจนเปลี่ยนทิศไป

“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ดวงตาของเฉินซีทอประกายเย็นชาในขณะที่เจตนาฆ่าได้พวยพุ่งออกมา จากนั้นแขนของเขาก็กวาดไปบนท้องฟ้าและควบแน่นเป็นพายุสายฟ้าที่มีขนาดมหึมาเหมือนหินโม่ มันได้กลืนกินเปลวเพลิงทั้งหมดที่ปกคลุมท้องฟ้าทันที

“ไป!” เฉินซียื่นมือออกไปคว้าพายุสายฟ้า จากนั้นเขาก็ซัดมันออกไปอย่างดุเดือด

ตู้ม!

หลังจากพายุสายฟ้าได้กลืนกินเปลวเพลิงที่พลุ่งพล่าน ขนาดของมันขยายมากกว่าเดิมถึงสิบเท่า และมันก็เหมือนกับพายุสายฟ้าที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ทุกที่ที่มันผ่านไป เหมือนกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าใส่ทุกสิ่ง ซึ่งเคลื่อนตัวจากเฉินซีไปยังกลุ่มของหลีจวิ้นอย่างง่ายดาย และชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ หลีจวิ้นก็ไม่อาจหลบเหลี่ยงได้ทันท่วงที ทำให้เขาถูกพายุสายฟ้ากลืนกินและถูกบดขยี้เป็นก้อนเนื้อ ก่อนที่จะระเหยไปในพริบตา

หลีจวิ้นเองก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เนื่องจากพายุสายฟ้าลูกนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป อีกทั้งยังแฝงไปด้วยมหาเต๋าแห่งสายฟ้าและการกลืนกิน มันพัดโหมกระหน่ำและกลืนกินพลังงานไปตลอดทาง ทำให้ขยายตัวได้หลายเท่า และถ้าไม่ใช่เพราะเขาหลบเลี่ยงได้ทันท่วงที ตัวเขาคงถูกดูดเข้าไปในพายุสายฟ้าฝนฟ้าและทุกข์ทรมานจนมีจุดจบเช่นเดียวกับชายหนุ่มคนนั้น!

“ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ปรากฏตัวในราชวงศ์ซ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน!” เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์รู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ และเมื่อเห็นหลีจวิ้นถูกสยบ นางก็รีบยื่นมือช่วยเหลือ ดาบโค้งสีเขียวหยกในมือของนางร่ายรำขณะที่มันแผ่เปลวอัคคีหยกอำพันที่เย็นเยียบจำนวนมากและระเบิดออกมาราวกับพายุ

“หึ ก็แค่ไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ กลับหาญสู้แสงตะวันหรือ!” ใบหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่ควบแน่นพายุสายฟ้าอีกครั้ง และมันก็เหมือนกับคุนเผิงที่กลืนกินน้ำในขณะที่กลืนกินเปลวอัคคีหยกอำพันทั้งหมดไปด้วย ก่อนสิ่งที่ถูกกลืนกินจะถูกซัดออกไปอีกครั้งและฟาดลงไปที่กลุ่มของหลีจวิ้น

ภายใต้การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของเฉินซี ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มของหลีจวิ้นก็ไม่สามารถหลบทัน และถูกพายุสายฟ้ากลืนกินเข้าไป เลือดเนื้อสาดกระจายไปทั่วและถูกบดขยี้จนกลายเป็นความว่างเปล่าทันที!

ภาพที่ปรากฏขึ้นนี้น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะมองได้!!!

ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ ก็มีคนล้มตายในการต่อสู้ไปถึงสองคน และมีเพียงหลีจวิ้น เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์ และชายหนุ่มอีกคนเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่

พวกเขาทั้งสามคนในขณะนี้ตกตะลึงและโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทิ้งระยะห่างกับเรือมังกรพันขนนกและเลิกไล่ตาม

“ข้าหลีจวิ้น จะจำความแค้นครั้งนี้ไว้!” เสียงของหลีจวิ้นที่เย็นชาสุดขั้วหัวใจดังมาจากระยะไกล

“แล้วพวกข้าจำเป็นต้องเกรงกลัวเจ้าด้วยหรือ?” นายน้อยโจวกล่าวอย่างเหยียดหยาม เมื่อปราศจากการคุกคามจากกลุ่มของหลีจวิ้น แรงกดดันที่มีต่อพวกเขาก็ลดลงอย่างฉับพลัน และพวกเขาก็แค่ฆ่าวิหคมรณาที่ขวางทางอยู่เท่านั้น

ความหนาแน่นของวิหคมรณาค่อย ๆ ลดลงไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นร่องรอยของแสงสว่างที่อยู่ในระยะไกล

ฟุ่บ!

ในช่วงเวลาต่อมา เมื่อเรือมังกรพันขนนกพุ่งออกมาจากฝูงวิหคมรณาที่หนาแน่น แรงกดดันที่มีต่อพวกเขาก็เบาบางลงและได้เห็นแสงสว่างของวันอีกครั้ง

“นับว่าโชคดีที่เรามีเรือมังกรพันขนนก หากปราศจากมันแล้วละก็ คงเป็นการยากสำหรับเราที่ต้องเข่นฆ่าสัตว์อสูรตัวน้อยที่ไม่รู้จักหมดสิ้นเหล่านี้” นายน้อยโจวถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่แย้มยิ้ม

“ดูนั่นสิ นั่นมันเผยอวี่กับคนอื่น ๆ ไม่ใช่หรือ?” เฉินซีมองไปยังระยะไกล จากนั้นก็เห็นเผยอวี่กับคนอื่น ๆ ยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไปมาก และพวกเขาก็มองมาที่กลุ่มของเฉินซีเช่นกัน

“ฮึ่ม! เจ้าพวกนี้ช่างรวดเร็วยิ่งนัก แต่พวกมันกำลังรออยู่ที่นั่นในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันอยากจะเห็นพวกเราล้มตาย แต่น่าเสียดายที่ต้องทำให้พวกมันผิดหวัง” นายน้อยโจวคำรามอย่างเย็นชา

“รีบไปกันเถอะ เราได้ฝ่าออกมาจากฝูงวิหคมรณาแล้ว และก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น เมื่อไปถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น เราจะแยกทางกับเผยอวี่และคนอื่น ๆ เพื่อไม่ต้องทนทุกข์เพราะต้องเห็นหน้าพวกมัน!” หวงฝู่ฉิงอิงยิ้มและกล่าวอย่างตื่นเต้น

เฉินซีพยักหน้า จากนั้นเขาก็คิดในใจว่า ‘ข้าเกรงว่า หลังจากที่มาถึงเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น เผยอวี่จะไม่ปล่อยให้พวกเราจากไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน…’

กลุ่มของพวกเขารวมตัวกับเผยอวี่และคนอื่น ๆ ก่อนที่จะเดินทางต่อไป

ไม่นานหลังจากที่พวกเขาจากไป ร่างทั้งสามที่อยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ ก็ฝ่าออกมาจากฝูงวิหคมรณาที่หนาแน่น ซึ่งพวกเขาก็คือหลีจวิ้น เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์ และชายหนุ่มอีกคน

“บัดซบ! ข้าหลีจวิ้นไม่เคยสูญเสียเช่นนี้มาก่อน!” หลีจวิ้นกัดฟันขณะที่สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ในฐานะผู้นำของผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ของราชวงศ์เทียนหลาง การถูกเฉินซีบดขยี้ในครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก

“ชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้างหวงฝู่ฉิงอิงคนนั้นน่าจะเป็นเฉินซี ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของราชวงศ์ซ่ง ตามข้อมูลที่ได้รับมา ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้เหนือกว่าชิงซิ่วอี้เล็กน้อย” เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์ขมวดคิ้วขณะกล่าวขึ้น

“ฮึ่ม! ราชวงศ์ซ่งก็แค่ราชวงศ์ระดับกลาง จะไปเทียบกับราชวงศ์ระดับสูงได้อย่างไร” หลีจวิ้นหรี่ตาลงและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกมันน่าจะมุ่งหน้าไปยังเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นเพื่อสำรวจ ในขณะที่เรากำลังไปที่นั่นเช่นกัน หลังจากที่เราได้เข้าร่วมกับผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งราชวงศ์ต้าฉิน เมื่อถึงเวลานั้นเราต้องหาโอกาสแก้แค้นให้จงได้!”

“ราชวงศ์ต้าฉิน? นั่นมิใช่ราชวงศ์ที่ทรงพลังซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดของราชวงศ์ระดับสูงหรอกหรือ?” ดวงตาของเยี่ยนอวี๋เอ๋อร์เป็นประกายและเอ่ยถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่ใหญ่หลีจวิ้น ท่านติดต่อกับพวกเขาตั้งเมื่อใดกัน?”

ดวงตาของหลีจวิ้นเป็นประกายด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “องค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าฉิน คือศิษย์พี่ใหญ่ฉินเซียว ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับศิษย์พี่ใหญ่ของข้าจากนิกายเดียวกัน ดังนั้นเราทั้งคู่จึงถือว่าเป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน และด้วยความช่วยเหลือของเขา ข้าไม่เชื่อว่าเราจะไม่สามารถจัดการเฉินซีได้!”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ดวงตาของหลีจวิ้นก็กวาดสายตาไปที่เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์และชายหนุ่มอีกคน จากนั้นจึงกล่าวว่า “เราไม่อาจชักช้าได้อีก และควรออกเดินทางทันที วิหคมรณาขึ้นชื่อว่าเป็นนกประจำถิ่นของที่นี่ และสถานที่ที่พวกมันปรากฏตัวจะอยู่ไม่ไกลจากเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นอย่างแน่นอน”

“ตกลง!” เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์และชายหนุ่มอีกคนพยักหน้า ก่อนที่จะติดตามหลีจวิ้นอยู่ทางด้านหลัง และทะยานไกลออกไปทันที

เดิมทีที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล พวกเขานั้นมีอยู่ห้าคน แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงสามคนเท่านั้น ทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพน่าสมเพชเล็กน้อย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท