บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 461 รูปลักษณ์ที่แท้จริง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 461 รูปลักษณ์ที่แท้จริง

บทที่ 461 รูปลักษณ์ที่แท้จริง

“ฮึ่ม เจ้าคิดจะหนีไปไหน!?”

ผู้เยี่ยมยุทธ์กลุ่มนี้จะปล่อยให้เฉินซีหนีไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? พวกเขากระจายตัวอย่างแม่นยำเพื่อปิดกั้นเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของเฉินซี ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มหนีไปทางแม่น้ำกระดูก พวกเขาก็ไล่ตามไปทันที

กระดูกกำลังไหลไปตามสายน้ำ สายลมมืดครึ้มกำลังคร่ำครวญ น้ำในแม่น้ำดูจะไร้ขอบเขต อีกทั้งยังเต็มไปด้วยโครงกระดูกจำนวนมาก แต่ความเร็วของเฉินซีนั้นรวดเร็วมหาศาลในขณะที่เคลื่อนผ่านด้วยปีกนภาดารกะ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ข้างหลังกลับแสดงท่าทางเยาะเย้ย แม้ความเร็วของพวกเขาจะด้อยกว่าเฉินซี แต่พื้นที่โดยรอบก็ถูกพวกเขาปิดกั้นไว้ ทำให้เฉินซีไม่มีทางหลบหนีและจะถูกไล่ตามทันในไม่ช้าก็เร็ว

“ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะ เราต้องระวังการลอบจู่โจมจากเขา”

“สมบัติกึ่งอมตะ? นั่นเป็นสมบัติล้ำค่า! เหตุใดสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ถึงตกไปอยู่ในมือของไอ้สารเลวนี่ได้? เราจะยึดมันหลังจากที่ฆ่าเจ้านี่แล้ว!”

“มือของคนผู้นี้อาบไปด้วยเลือด หลังจากที่เราจับมันได้แล้ว เราต้องทรมานมันโดยการแยกชิ้นส่วนจนกว่ามันจะตาย จากนั้นจึงเผากระดูกและโปรยเถ้าของมันทิ้งซะ”

ผู้เยี่ยมยุทธ์กลุ่มนี้เย้ยหยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในสายตาของพวกเขา เฉินซีเป็นเพียงสัตว์ร้ายที่ติดกับดักและอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ซึ่งนอกจากความตายแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงวางแผนกันแล้วว่าจะแบ่งสมบัติของเฉินซีอย่างไรหลังจากฆ่าอีกฝ่ายแล้ว

ทันใดนั้น เฉินซีก็หันกลับมาขณะที่แย้มยิ้มเย็นชา ชายหนุ่มชูยันต์ศัสตราขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนที่จะฟันลงไปยังกองกระดูกที่อยู่ข้างหลังอย่างรุนแรง

ตู้ม!

กระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงใจกลางแม่น้ำระเบิดอย่างรุนแรง จากนั้นก็พ่นเปลวเพลิงสีขาวขุ่นที่ลุกโชนราวกับหินหลอมเหลวและมีอุณหภูมิสูงจนน่าตกตะลึง ซึ่งเปลวเพลิงได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับคลื่นที่ซัดสาด

“ดูเหมือนว่าไอ้สารเลวตัวนี้จะหมดเล่ห์เหลี่ยมแล้ว และคิดว่าเปลวไฟกระจอกเช่นนี้จะสามารถทำร้ายพวกเราได้ ช่างน่าหัวเราะเสียจริง” ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะคนหนึ่งกล่าวเย้ยหยันและถือสมบัติวิเศษไว้ในมือขณะที่เคลื่อนตัวเข้าสกัดคลื่นเพลิงสีขาวขุ่นที่พุ่งเข้าหา

อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มของเขาก็แข็งทื่ออย่างฉับพลัน และทุกคนก็รู้สึกถึงคลื่นแห่งความหวาดกลัวราวกับว่าตกลงไปในบ่อน้ำแข็งในขณะนี้

โอม!

กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและเขย่าฟ้าดินอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาทุกคนรู้สึกสยดสยอง!

เครื่องประดับหยกที่มีสีขาวบริสุทธิ์และใสจนโปร่งแสง ลอยอยู่ในหินหลอมเหลวที่ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีขาวคล้ายน้ำนมขณะที่เผยตัวออกมา มันก็สั่นสะเทือนราวกับว่าโกรธเคืองยิ่ง และระเบิดออกไปพร้อมกับแสงสีขาวที่พลุ่งพล่าน

“อ๊าก! ม่ายยย!!” ผู้เยี่ยมยุทธ์กลุ่มหนึ่งส่งเสียงร้องโหยหวน เนื่องจากรู้สึกลึก ๆ ว่า ชีวิตของพวกเขาถูกคุกคามอย่างรุนแรง และสถานการณ์ของพวกเขาก็อันตรายเป็นอย่างยิ่งราวกับว่าได้ประสบภัยพิบัติ เครื่องประดับหยกชิ้นนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป และมันทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนหัวใจสั่นสะท้าน จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็เกือบจะพังทลายลง

แกร็ก! แกร็ก! แกร็ก!

เสียงแตกหักดังก้องออกมาขณะที่สมบัติวิเศษของผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะทั้งหกคนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ณ จุดนั้น พร้อมกับผู้คนที่อยู่เคียงข้าง พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชขณะที่ตกลงไปในแสงสีขาวที่ลุกโชน

“หนีเร็วเข้า! มันคือเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวที่แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ไม่สามารถปราบลงได้ อีกทั้งสมบัติชิ้นนั้นก็น่ากลัวยิ่งกว่าเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาว รีบหนีเร็ว!” เกิ่งหลัวแห่งราชวงศ์ต้าเฉียนส่งเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็หันหลังกลับเพื่อพาคนที่อยู่ข้าง ๆ หลบหนี

แต่น่าเสียดายที่เขาอยู่ใกล้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องประดับหยกกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการถูกรบกวนจึงทำให้มันโกรธจนแทบคลั่ง

แกร็ก!

สมบัติวิเศษอีกชิ้นถูกแยกออก ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะสองคนของราชวงศ์ต้าเฉียนพลันถูกแสงสีขาวเผาจนสิ้นซากและพวกเขาก็หายไปในพริบตา ในทางกลับกัน เกิ่งหลัวได้พยายามทุกวิถีทาง แม้ว่าจะหลบหนีออกมาได้ด้วยความโชคดี แต่เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ร่างกายไหม้เกรียมเป็นตอตะโกและเกือบจะถูกเผาไหม้จนเหลือแต่ความว่างเปล่า

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ผู้คนกว่าสิบคนก็ถูกเครื่องประดับหยกชิ้นนั้นสังหาร และเหลือผู้บาดเจ็บสาหัสอีกเพียงไม่กี่คนที่ยังคงอยู่กับเกิ่งหลัว แต่นับว่าโชคดีที่มันไม่ได้ไล่ตามพวกเขาเมื่อคนทั้งหมดหนีออกจากใจกลางแม่น้ำ

แต่น่าเสียดายที่เฉินซีกำลังรออยู่ที่ข้างหน้า เขาใช้ก่ออัสนีผสานดารา ทำให้เกิดพายุสายฟ้าที่ปกคลุมฟ้าดินและเคลื่อนตัวเพื่อกลืนกินพวกมัน ซึ่งได้บดสับเกิ่งหลัวและคนอื่น ๆ จนตายไปทีละคน

“เจ้ามันโหดเหี้ยมยิ่งนัก! องค์รัชทายาทจะต้องล้างแค้นให้แก่พวกเรา…” คำกล่าวเหล่านี้เป็นเสียงร้องโหยหวนคร่ำครวญครั้งสุดท้ายที่เกิ่งหลัวเปล่งออกมาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

จนถึงจุดนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะทั้งสิบห้าคนที่มาจากราชวงศ์ต่าง ๆ ได้ถูกกวาดล้างในเวลาเพียงชั่วครู่ และนี่คือธรรมชาติที่เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับหยก ในขณะที่เฉินซีใช้พลังของมันเพื่อฆ่าพวกเขาทั้งหมดเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น เฉินซีก็ยังต้องตกตะลึงอยู่ในใจ เนื่องจากเครื่องประดับหยกชิ้นนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป และมันก็ฆ่าพวกเขาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเหมือนกับการเชือดไก่

ในขณะเดียวกัน เครื่องประดับหยกและเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวได้จมลงไปในแม่น้ำกระดูกอีกครั้งแล้วและหายลับไปจากสายตา

อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้คิดที่จะจากไป เขาอยู่ที่นี่อีกครึ่งเดือนเต็ม หลังจากไม่พบพลังศักดิ์สิทธิ์จาง ๆ ที่เปล่งออกมาจากเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวอีก เขาจึงเริ่มทดสอบมัน

ชายหนุ่มยืนอย่างระมัดระวังที่ริมฝั่งแม่น้ำและรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยอยู่พอสมควร ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาพลุ่งพล่าน ในขณะที่ปีกนภาดารกะก็อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ซึ่งเขาตั้งใจที่จะหันหลังกลับและหลบหนีเมื่อมีสัญญาณอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เครื่องประดับหยกชิ้นนั้นก็น่าสะพรึงกลัวเกินไปจริง ๆ และไม่ใช่สิ่งที่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาจะสามารถต้านทานได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากและเตรียมการอย่างเพียงพอ

“หืม? เหตุใดถึงไม่มีปฏิกิริยาเลย?” เฉินซีดึงกระบี่บินออกมาและส่งไปที่ใจกลางแม่น้ำ ก่อนจะใช้มันทะลวงซากกระดูกที่อยู่บนผิวน้ำอย่างระมัดระวัง เขาค้นหาอย่างระมัดระวัง แต่นอกจากจะไม่พบเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวแล้ว แม้แต่เครื่องประดับหยกก็ดูเหมือนจะหายไปแล้ว

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เฉินซีก็กัดฟันและตัดสินใจไปตรวจสอบด้วยตัวเอง เขามาถึงจุดที่เครื่องประดับหยกลอยอยู่กลางแม่น้ำก่อนหน้านี้ และจากนั้นก็เริ่มค้นหา

สาเหตุที่เขาไม่กล้าใช้จิตสัมผัสเทพเพราะเกรงว่าจะทำให้เครื่องประดับหยกตื่นตระหนก ถึงอย่างไร สมบัติชิ้นนี้ก็มีสติปัญญาราวกับว่ามันมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง และเขาต้องใช้ความระมัดระวัง

หลังจากผ่านไปนาน และยืนยันได้ว่าไม่มีอันตรายใด ๆ เฉินซีก็ใช้ยันต์ศัสตราขุดชั้นกระดูกที่ซ้อนทับกันบนผิวน้ำทันที เขาขุดและขุดอีกจนร่างกายจมลงไปภายในแม่น้ำกว่าหกลี้ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่พบกับสิ่งใด

“ข้าเฝ้ารออยู่ที่นี่มาสองสามวันแล้ว แต่ข้ากลับไม่พบร่องรอยของมันเลย” เฉินซีไม่ยอมแพ้และยังคงขุดต่อไปที่ก้นแม่น้ำกระดูก

สิบสองลี้…

สามสิบลี้…

แกร้ง!

เมื่อขุดมาถึงความลึกระดับหกสิบลี้ที่ใต้ผิวน้ำ ดูเหมือนว่ายันต์ศัสตราจะกระทบกับหินแข็งและเปล่งเสียงกระทบจนเสียดแก้วหู

เฉินซีรู้สึกยินดีอยู่ในใจและจัดการกระดูกทั้งหมดที่อยู่ใกล้เคียง จากนั้นก็มองดูสถานที่ที่ตนอยู่อย่างระมัดระวัง และในชั่วพริบตาต่อมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจ

พื้นที่รอบตัวเขาทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยกระดูกนับไม่ถ้วนชั้นแล้วชั้นเล่า และเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่ากระดูกเหล่านี้ได้ซ้อนทับกันลึกถึงหกสิบลี้ได้อย่างไร จำนวนของกระดูกนั้นมากมายมหาศาลจนสามารถทำให้ทุกคนตกตะลึงได้ และมันก็เป็นปริศนาว่าจะต้องมีกี่คนที่ต้องทอดร่างล้มตายอยู่ที่นี่

แต่เฉินซีไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องพวกนี้ สายตาของเขาถูกดึงดูดโดยซากศพที่อยู่บนพื้น

ศพนี้กำลังนั่งขัดสมาธิ กระดูกเป็นผลึกเหมือนหยก มันบริสุทธิ์หมดจดราวกับถูกสร้างขึ้นจากหินหยกที่งดงามที่สุดในโลก และแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนาน แต่มันก็ไม่แปดเปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่จุดเดียว

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเคาะศพด้วยมือของเขา ทำให้มันส่งเสียงกริ๊งที่ไพเราะเหมือนกับเสียงที่ใสกระจ่างของธรรมชาติ เสียงของเต๋าที่ถูกสวดออกมาอย่างแผ่วเบา ซึ่งทำให้หัวใจของเขาสั่นและรู้สึกสงบในทันที

‘นี่อาจจะเป็นศพของทวยเทพ? นอกจากนี้ เปลวเพลิงเทพกระดูกขาวยังถูกปลดปล่อยออกมาจากมัน?’ ความคิดแวบเข้ามาในหัวขณะที่เฉินซีจ้องไปยังพื้นผิวของศพนี้อย่างแน่วแน่ ทว่าเขาก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากชายหนุ่มไม่พบตรามหาเต๋าบนนั้นและไม่มีความเป็นเทพเล็ดลอดออกมาจากมัน ซึ่งดูมันจะเป็นเพียงซากศพธรรมดาที่ดูสวยงามเท่านั้น

แต่ในช่วงเวลาต่อมา ดวงตาของเฉินซีก็สว่างขึ้น น่าตกใจที่เครื่องประดับหยกอยู่ตรงช่องว่างระหว่างขาที่ไขว่ห้างของศพ และรูปลักษณ์ของมันก็เปลี่ยนไปมาก โดยมีขนาดเท่านิ้วและกลายเป็นผลึกโปร่งแสง

แต่สิ่งที่ทำให้ต้องเฉินซีประหลาดใจมากที่สุดก็คือ พื้นผิวของมันปกคลุมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเต๋ารู้แจ้งที่ไร้ขอบเขตราวกับมหาสมุทร นอกจากนี้ เขาก็เห็นร่องรอยของเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวที่ไหลเวียนอยู่ภายในได้เล็กน้อย ทำให้มันดูงดงามเป็นพิเศษ

“หรือว่ามันจะกลืนเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวทั้งหมด และแม้แต่ความศักดิ์สิทธิ์และตรามหาเต๋าบนซากศพนี้ก็ถูกมันดูดกลืนจนหมด?” เฉินซีฉุกคิดในใจอย่างรวดเร็ว ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ มันได้ดูดซับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาวเพื่อบรรลุการเปลี่ยนแปลง และหลังจากทำสำเร็จ ความแข็งแกร่งของมันก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้มันสามารถดูดซับความศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตและตรามหาเต๋าบนซากศพนี้ได้เช่นกัน คำอธิบายเช่นนี้จึงสมเหตุสมผลที่สุด

เมื่อคิดออก เขาก็ยืนยันได้ทันทีว่า ศพที่อยู่ตรงหน้านั้นคือทวยเทพโบราณที่ล้มตายลงอย่างแน่นอน!

“แต่น่าเสียดาย มันไม่เพียงแต่สูญเสียความศักดิ์สิทธิ์และตรามหาเต๋าไปแล้ว ศพนี้อาจจะคงอยู่ได้ไม่นานก่อนที่จะกลายเป็นเถ้าถ่าน…” เฉินซีถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจ

ดูเหมือนการคาดเดาของเฉินซีจะถูกต้อง เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ศพที่ใสสะอาดราวกับผลึกได้แตกสลายไปพร้อมกับเสียงโครมครามและกลายเป็นเถ้าฝุ่นกระดูกกำมือหนึ่งร่วงลงสู่พื้น

“มหาเต๋านั้นไม่มีจุดสิ้นสุด ยามล้มตายเท่านั้นจึงจะตระหนักได้ ช่างเป็นภาพลวงตาของสัจธรรมจริง ๆ…” พร้อมกับที่ศพกลายเป็นเถ้าฝุ่น ทันใดนั้นก็มีเสียงถอนหายใจอันเยือกเย็นดังก้องออกมา ทำให้เฉินซีตกใจจนถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็พบว่าเสียงนั้นเงียบลงอย่างรวดเร็วและไม่ปรากฏขึ้นอีกเลย

ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาก็สังเกตเห็นว่า ความเจิดจรัสที่เปล่งออกมาจากเครื่องประดับหยกที่อยู่บนพื้นนั้นถูกยับยั้งไว้อย่างสมบูรณ์ และมันก็ไม่ได้สร้างปรากฏการณ์ใด ๆ ของความศักดิ์สิทธิ์ เต๋ารู้แจ้ง หรือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ขึ้น และยังคงนิ่งเฉยราวกับว่าได้กลับคืนสู่การจำศีล

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะแผ่ปราณแท้ออกมาเพื่อตรวจสอบ แต่มันก็ยังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิมและไม่เกิดผลกระทบใด ๆ จากนั้นเขาก็หยิบเครื่องประดับหยกขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือ แต่มันก็ยังไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย

“เอ่อ… รูปลักษณ์ของมันดูเหมือนหม้อกลั่น ไม่ใช่เครื่องประดับหรอกหรือ?” เมื่อเขาได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสมบัติชิ้นนี้จากระยะใกล้อย่างชัดเจน เฉินซีก็รู้สึกละอายใจอย่างมากในทันที เขาไล่ตามมันมาตลอดทาง แต่กลับมองไม่ออกว่ามันเป็นสมบัติประเภทใดได้อย่างชัดเจน ซึ่งน่าละอายเกินไป

แต่ก็ไม่อาจโทษเขาได้ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ สมบัติชิ้นนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายมงคลและมีแสงเจิดจ้าไหลเวียนอยู่โดยรอบ อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้เฉินซีไม่กล้าตรวจสอบมันด้วยจิตสัมผัสเทพของเขา และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าหม้อกลั่นหยกนั้นเป็นเครื่องประดับหยก

หม้อกลั่นหยกใบนี้สูงไม่ถึงหนึ่งชุ่นและมีความยาวเท่านิ้วก้อย มันมีทั้งหมดสามขา เป็นผลึกอย่างสมบูรณ์และโปร่งแสงราวกับว่าสร้างมาจากหยกเนื้อดี ซึ่งงดงามเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีลวดลายละเอียดปรากฏจาง ๆ อยู่บนพื้นผิว แต่ไม่อาจเห็นแน่ชัดว่ามันเป็นลวดลายอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ที่ปากหม้อดูเหมือนจะถูกอะไรบางอย่างกระแทกจนแตกร้าว

สรุปแล้ว หากไม่ตรวจดูให้ดี หม้อกลั่นขนาดเล็กใบนี้ก็เหมือนกับของประดับตกแต่งที่งดงาม เพราะมันไม่ได้เปล่งกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมาแม้แต่น้อย และเป็นการยากที่จะจินตนาการว่ามันได้ปล่อยพลังที่น่าตกตะลึงออกมาก่อนหน้านี้

เฉินซีตรวจสอบมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายแม้แต่น้อยจากมัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเสียใจเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหม้อกลั่นขนาดเล็กใบนี้ผ่านการขัดเกลาจากเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระดูกขาว อีกทั้งยังดูดซับความศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตและตรามหาเต๋าจากซากศพของทวยเทพ ดังนั้นมันต้องเป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาและไม่ใช่ของประดับที่งดงามอย่างแน่นอน

เหตุผลนั้นง่ายมาก เนื่องจากตอนที่เขาพยายามวางหม้อกลั่นลงในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จู่ ๆ มันกลับสร้างพลังที่ไร้รูปร่างและดูจะรู้สึกรังเกียจที่จะอยู่ร่วมกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาก

ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แต่กลับรู้สึกยินดีแทน เจดีย์บำเพ็ญทุกข์เป็นสมบัติอมตะที่เสียหาย และแม้ว่ามันจะสูญเสียวิญญาณสมบัติไปแล้ว แต่โลกของมันก็ก่อตัวขึ้นภายใน อย่างไรก็ตาม หม้อกลั่นหยกกลับปฏิเสธที่จะถูกเก็บไว้ในนั้น และสิ่งนี้หมายถึงอะไร?

มันย่อมแสดงว่าหม้อกลั่นนี้มีคุณภาพยิ่งกว่าเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เสียอีก!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท