บทที่ 464 ยื่นมือช่วยเหลือ
บทที่ 464 ยื่นมือช่วยเหลือ
สุ้มเสียงของหวงฝู่ฉิงอิงยังคงล่องลอยอยู่ในบริเวณโดยรอบ แต่บรรยากาศดูจะหยุดนิ่งกลายเป็นน้ำแข็งแทน
หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของเผยอวี่ก็เย็นชาขึ้น และมองไปที่หวงฝู่ฉิงอิงพร้อมกับกล่าวว่า “การสร้างความร้าวฉานให้กับหมู่คน ไม่นับว่าเป็นวิธีที่ชั่วร้ายไปหน่อยหรือ?”
“ทั้งที่องค์รัชทายาททรงดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี พวกเจ้ากลับไม่สำนึกบุญคุณและไม่คิดหาทางตอบแทน อีกทั้งยังมีเจตนาร้ายและพยายามสร้างความร้าวฉาน การกระทำเช่นนี้สมควรตายอย่างแท้จริง หากล่วงรู้เร็วกว่านี้ละก็ พวกข้าจะฆ่าพวกเจ้าทิ้งซะ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับปัญหามากมายเช่นนี้อีก”
ชุยซิวหงหัวเราะอย่างชั่วร้าย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ตัวคนก้าวออกมาและตะคอกเสียงดังว่า “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จงมอบผนึกยันต์ออกมาโดยเร็ว มิฉะนั้น ข้าจะฆ่าพวกเจ้าอย่างแน่นอน!”
“มอบผนึกยันต์ออกมาซะ ส่วนพวกข้าจะแบ่งมันอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะต้องกังวล” ฉินเซียวที่อยู่ใกล้เคียงพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มลึกเช่นกัน
“ถูกต้อง ข้าก็ไม่อยากจะทำร้ายพวกเจ้าเช่นกัน เว้นแต่ว่าข้าไม่มีทางเลือกอื่น มอบผนึกยันต์ออกมาซะ แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป เช่นนี้ก็ถือว่าข้าเมตตาพอแล้ว” ปี้หลิงอวิ้นกล่าวอย่างเฉยเมย
ในฐานะที่เป็นผู้สืบเชื้อสายของกระเรียนโลกันตร์ที่ไม่มีใครเทียบได้ นางจึงมีสายเลือดอันสูงส่งและความแข็งแกร่งที่ทรงพลัง ดังนั้นการปล่อยให้หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวมีชีวิตอยู่ จึงถือเป็นความเห็นอกเห็นใจของนางอย่างแท้จริง และหากเป็นเวลาอื่น นางจะไม่เสียเวลากล่าววาจาแม้แต่คำเดียวและจะสังหารทันที
หวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวมองหน้ากัน แม้จะรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้เพียงสะบัดมือออกไปด้วยความไม่เต็มใจ ทำให้ยันต์ที่เปล่งแสงเรืองรองบินออกไปทันที
ในขณะที่มองดูฉากนี้ นอกจากจะยินดีกับความโชคร้ายของหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวแล้ว ผู้คนรอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เพราะหากเผชิญกับการคุกคามจากแรงกดดันที่ไร้รูปร่างของทั้งสามกลุ่ม จะมีใครในตอนนี้สามารถต้านทานได้กัน?
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ในขณะที่มองดูผนึกยันต์ทั้งสองชิ้นบินออกมา ผู้เยี่ยมยุทธ์ของทั้งสามกลุ่มก็เผยความโลภออกมา แต่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที
เพราะพวกเขาตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยในขณะนี้ อาจทำให้อีกสองกลุ่มร่วมมือต่อต้านพวกตน ซึ่งการต่อสู้กับสองกลุ่มพร้อมกันนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ต่างอะไรจากรนหาที่ตาย เพราะอย่างไรเสีย ความแข็งแกร่งของทั้งสามกลุ่มก็ไล่เลี่ยกัน
สถานการณ์โดยรอบแปลกประหลาดมาก แม้ผนึกยันต์จะบินออกมาแล้ว กลับไม่มีใครสักคนที่ชิงเคลื่อนไหวก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อสายตาของพวกเขาสอดประสานกันและดูจะบรรลุข้อตกลงบางอย่าง พวกเขากำลังจะเคลื่อนไหวและยึดผนึกยันต์ด้วยกัน ทันใดนั้น จู่ ๆ พายุรุนแรงก็โหมกระหน่ำลงมาจากกลางเวหาตรงหน้าพวกเขาและระเบิดใส่ผนึกยันต์ทั้งสองชิ้นโดยตรง
ตู้ม!
เสียงโครมครามดังก้องออกมา จากนั้นผนึกยันต์ทั้งสองชิ้นก็พุ่งออกไปอีกครั้ง และปรากฏอยู่ตรงหน้าหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวภายใต้การจ้องมองที่ตกตะลึงของพวกเขา
เหตุการณ์กะทันหันนี้ทำให้ทุกคนตกใจทันที
“ผู้ใดกัน!?”
“ไอ้สารเลวคนใดกล้าทำเช่นนี้ ไสหัวออกมาซะ!”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ออกมาก่อกวนในตอนนี้ พวกเจ้าทุกคนสมควรตาย!”
ผนึกยันต์ที่ใกล้จะอยู่ในกำมือกลับหลุดลอยออกไปอีกครั้ง ทำให้สีหน้าของผู้บ่มเพาะทั้งสามกลุ่มพลันกลายมืดหม่นทันที พวกเขาตะโกนก่นด่าสาปแช่งอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยน้ำเสียงที่แฝงเจตนาฆ่า จนดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ
“แม้ราชวงศ์ซ่งของข้าจะเป็นเพียงราชวงศ์ระดับกลาง แต่ไม่คิดหรือว่าพวกเจ้าก็ประเมินตัวเองสูงส่งเกินไป ถึงได้กล้าแย่งสิ่งของจากพวกข้าตามใจชอบน่ะหืม?” เสียงที่ไม่แยแสดังขึ้นจากท้องฟ้า
ฟุ่บ!
สายตานับไม่ถ้วนมองไปพร้อมกันและพุ่งไปยังร่างกำยำที่โผล่มาอย่างกะทันหันทันที
“เฉินซี?!” ในขณะที่ผู้คนมองไปที่ร่างสูง หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ …ทั้งความสุขและความตื่นเต้นต่างฉายวาบขึ้นในดวงตาของคนทั้งสอง
แต่หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ฟื้นคืนสติกลับมา ทำให้ความตื่นเต้นและสีหน้าดีใจของพวกเขาสลายไปและถูกแทนที่ด้วยความกระวนกระวาย เนื่องจากการที่เฉินซีมาช่วยได้ทันเวลา ทำให้ทั้งคู่รู้สึกประทับใจมาก แต่สถานการณ์ตรงหน้าขณะนี้ช่างมืดมนยิ่งนัก ด้วยความแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ไม่เพียงเขาอาจจะไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้ แต่ชีวิตของชายหนุ่มก็อาจตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน
“เฉินซี!” ในขณะที่ใบหน้าของหวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวเปลี่ยนไปมา ผู้เยี่ยมยุทธ์ของทั้งสามกลุ่มก็จดจำเฉินซีได้ และหลังจากตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ สีหน้าของพวกเขาพลันเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “หรือว่าชายคนนี้คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้?”
ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงต่างส่ายศีรษะไปมา พวกเขาส่วนใหญ่เคยเห็นความแข็งแกร่งของเฉินซีที่นอกประตูขุนเขาของซากปรักหักพังมาแล้ว และมันก็ทรงพลังอย่างไร้เหตุผล แต่สุดท้ายเขาก็มีเพียงคนเดียว จึงเป็นเรื่องยากสำหรับสองหมัดที่จะต้านทานสี่มือ ดังนั้นการสอดมือเข้ามาในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเสี่ยงตาย!
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสามกลุ่มล้วนเต็มไปด้วยอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็เป็นสามกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งหมดที่ได้เข้าสู่เกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ดังนั้นการต้องต่อสู้กับพวกเขาเพียงลำพังจึงเป็นหนทางที่ไม่มีทางหวนกลับ นับประสาอะไรกับการเปลี่ยนสถานการณ์ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
เฉินซีย่อมสังเกตเห็นความดูถูกเหยียดหยามจากผู้คนที่อยู่รอบข้าง แต่สีหน้าของเขายังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ จากนั้นจึงลอยไปอยู่ทางข้างกายของหวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจว ก่อนจะกล่าวอะไรบางอย่างผ่านกระแสปราณอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ทุกคนเห็นเพียงหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวแสดงสีหน้าตกตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะส่ายศีรษะอย่างรุนแรงราวกับไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเฉินซีอย่างมาก แต่ภายใต้การยืนกรานของชายหนุ่ม ทัศนคติของพวกเขาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป จากนั้นจึงพยักหน้าและตกลงตามนั้น
“ฮึ่ม! หยุดทำลับ ๆ ล่อ ๆ ได้แล้ว หรือเจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้กัน?” ชุยซิวหงตะคอกออกมาดังลั่น
ชุยซิวหงนั้นเกลียดเฉินซีเข้ากระดูกดำ ซึ่งเดิมทีเขาคิดว่าชายหนุ่มจะรับรู้ถึงความอันตรายของสถานการณ์และต้องแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา จากนั้นตนเองก็จะได้เยาะเย้ยเหยียดหยามอีกฝ่ายได้ตามใจต้องการ
แต่ชุยซิวหงไม่เคยนึกเลยว่าหลังจากที่ชายคนนี้มาถึง อีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจใครเลย และเริ่มสนทนากับหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวผ่านกระแสปราณ นับตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินซีไม่ได้เหลือบมองเขาเลยสักนิด สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวขึ้นมาในทันที และเปลวไฟแห่งความเกลียดชังในใจก็ทวีความความรุนแรงยิ่งขึ้น
ในขณะนี้ เฉินซีได้หารือกับหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเขาก็รู้สึกผ่อนคลายทันทีเมื่อทั้งคู่เห็นด้วยกับแผนการของตน จากนั้นชายหนุ่มจึงจ้องมองไปที่ชุยซิวหงและกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? คิดว่าข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าเพียงเพราะเจ้ามีจำนวนมากกว่าหรือ?
“เจ้า…” ชุยซิวหงระเบิดอารมณ์ด้วยโทสะ และดูเขาจะรำลึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่ว่า “ฮึ่ม! ข้าไม่อยากถือสากับคนที่ใกล้จะตายเช่นเจ้า แต่เคยได้ยินมาว่า เจ้าได้ฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของราชวงศ์ต่าง ๆ ไปมากมายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์เสวี่ยหง ราชวงศ์เทียนหลาง ราชวงศ์ตงเซี่ย หรือแม้แต่ราชวงศ์ระดับสูงอย่างราชวงศ์ต้าเฉียน และราชวงศ์ต้าเสวียน!”
“เจ้าได้ล่วงเกินผู้คนทั้งหลายมาตั้งนานแล้ว และได้กลายเป็นเป้าหมายแก้แค้นของทุกคน แล้วตอนนี้เจ้ากลับเสนอตัวให้แก่พวกเรา? ข้ารู้สึกชื่นชมและสงสัยอย่างแท้จริงว่าเจ้าไปเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาจากไหน”
เมื่อชุยซิวหงกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็กวาดสายตาไปโดยรอบ และตะคอกเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้ายว่า “เฉินซี เจ้าแหกตามองดูซะ ดูเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากหลากหลายราชวงศ์ที่ปรารถนาจะบดขยี้เจ้าให้เป็นจุณ แล้วเจ้ายังคิดเพ้อฝันว่าจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อีกหรือ!?”
ชุยซิวหงรู้สึกเพลิดเพลินอย่างมากในใจขณะที่กล่าวสิ่งเหล่านี้ออกไป ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านสีหน้าอันชั่วร้ายที่แสดงออกมา ราวกับว่าเขาจะได้เห็นการตายอย่างน่าสังเวชของเฉินซีในอีกสักครู่
“ไม่ว่าจะมีศัตรูสักกี่คน หากต้องเอาชีวิตเข้าแลก อย่างน้อยข้าก็รับประกันได้ว่าเจ้าจะต้องตายต่อหน้าข้าอย่างแน่นอน” เฉินซีมองไปยังชุยซิวหงด้วยสายตาที่ไม่ได้ปิดบังความดูถูกเหยียดหยามและการเยาะเย้ยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่า เฉินซีเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่ชุยซิวหงกล่าวออกมานั้นถูกต้อง แต่เนื่องจากเขากล้าปรากฏตัวท่ามกลางเหล่าศัตรู เขาย่อมพิจารณาสถานการณ์นี้มาก่อนแล้ว ดังนั้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของชายหนุ่มจะได้รับผลกระทบจากคำพูดไม่กี่คำของชุยซิวหงได้อย่างไร
“ฮึ่ม! เจ้ากำลังจะตายแต่ยังกล้าโอ้อวดหน้าด้าน ๆ อยู่อย่างนั้น? แสดงให้ข้าดูหน่อยสิว่าเป็นเจ้าหรือข้าที่ตายก่อน!” เมื่อเห็นว่าเฉินซียังคงไม่แยแส สีหน้าของชุยซิวหงก็อดไม่ได้ที่จะแข็งค้าง เพราะเขารู้สึกว่ากำลังเทศน์ให้คนหูหนวกฟัง ซึ่งเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นจึงทิ้งคำพูดที่ไร้ความปรานีไว้ ก่อนจะปิดปากสนิท
เพราะการปะทะฝีปากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตลอดไป!
ยิ่งเมื่อมีความแตกต่างทางความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่มีความได้เปรียบย่อมรังเกียจที่จะโต้เถียงเรื่องนี้อยู่เสมอ เนื่องจากพวกเขาชอบใช้กำลังบีบบังคับและคุกคาม
เพราะถึงแม้วิธีนี้จะหยาบคาย ไร้เหตุผล และเอาแต่ใจ แต่ก็เป็นวิธีที่ง่าย ตรงไปตรงมา และมีประสิทธิภาพที่สุดเช่นกัน
ในช่วงเวลาต่อมา เผยอวี่ ฉินเซียว และปี้หลิงอวิ้นก็ประกาศคำเตือนครั้งสุดท้ายของพวกเขา “หากพวกเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ ก็จงมอบผนึกยันต์มาซะ แต่ถ้าเบื่อจะมีชีวิตอยู่ ก็จงตายไปซะ เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไป!”
ทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่าฟัน
“มาเถอะ หากไม่เป็นพวกเจ้าก็เป็นพวกข้าที่ตายในวันนี้ แสดงให้ข้าดูหน่อยสิว่า ใครจะต้องจ่ายราคาที่มากกว่ากัน!” เฉินซีกวาดสายตามองคนรอบข้างขณะกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นแสงเพลิงก็สว่างวาบขึ้นเมื่อสมบัติกึ่งอมตะพัดนกยูงเพลิงอยู่ในกำมือของเขา
ตู้ม!
ทันทีที่พัดนกยูงเพลิงปรากฏขึ้น มันก็ปล่อยคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก รู้สึกราวกับว่าเปลวไฟลุกโชนรอบตัวพวกเขา อีกทั้งยังรู้สึกว่าเหมือนกับอยู่ในเตากลั่นของฟ้าดิน
“นี่คือ…”
“สมบัติกึ่งอมตะ!”
“โอ้สวรรค์! พัดนกยูงเพลิงนี้เป็นสมบัติของซวีเหลิ่งเยี่ยแห่งแคว้นเยว่หลุนไม่ใช่หรือ? เหตุใดเฉินซีถึงครอบครองมันได้? หรือว่าเขาฆ่าซวีเหลิ่งเยี่ยไปแล้ว!?”
“สมบัติกึ่งอมตะ? ไม่แปลกใจเลยที่เขามั่นใจมาก นั่นเพราะเขามีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่นี่เอง”
“แต่น่าเสียดาย แม้ว่าสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้จะทรงพลัง แต่องค์รัชทายาทเผยอวี่แห่งราชวงศ์ต้าจิ้น องค์รัชทายาทฉินเซียวแห่งราชวงศ์ต้าฉิน และปี้หลิงอวิ้นย่อมครอบครองสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเฉินซีมีความคิดที่จะพึ่งพาพลังของพัดนกยูงเพลิงเพื่อพลิกสถานการณ์”
การปรากฏตัวของพัดนกยูงเพลิงทำให้ดวงตาของทุกคนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบพลันหรี่ลงและตกอยู่ในความโกลาหลทันที แม้แต่ท่าทางของเผยอวี่ ฉินเซียว ปี้หลิงอวิ้น และคนอื่น ๆ ก็บ่งบอกถึงการระมัดระวัง
เช่นเดียวกับที่ทุกคนคาดเดา พวกเขาล้วนมีไพ่ตายที่ไม่ด้อยกว่าพัดนกยูงเพลิง แต่ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงตระหนักถึงพลังของสมบัติกึ่งอมตะได้อย่างชัดเจน และกังวลว่าหากเฉินซีตั้งใจที่จะแลกชีวิต ปัญหาก็จะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
เปลวเพลิงลุกโชนปกคลุมไปรอบ ๆ จากนั้นจึงปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่รวมสายตาของทุกคนเข้าด้วยกัน และดูเหมือนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นว่า หวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวที่อยู่เคียงข้างเฉินซีได้ฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าหาห้องโถงโบราณที่ทรุดโทรมซึ่งอยู่ด้านข้าง
นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเฉินซี หากพวกเขาต้องการหลบหนีจากถูกศัตรูจำนวนมากปิดล้อม พวกเขาก็ทำได้เพียงพึ่งพาผนึกยันต์เพื่อเข้าสู่ดินแดนเร้นลับ เพื่อหลบหนีจากอันตรายเท่านั้น
แต่น่าเสียดายที่ผนึกยันต์มีเพียงแค่สองชิ้น แม้แต่เฉินซีเองก็รู้ดีว่าถึงผนึกยันต์จะมีสามชิ้น มันก็ไม่มีประโยชน์อันใด เพราะต้องมีคนหนึ่งรั้งอยู่เพื่อดึงความสนใจของศัตรู เพื่อให้อีกสองคนได้เข้าสู่ดินแดนเร้นลับอย่างปลอดภัย
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรั้งอยู่และอาจถือว่าเป็นการตอบแทนในฐานะสหาย
เพราะในโลกนี้มีหลายสิ่งที่ค้ำอยู่มากมาย เช่น มิตรภาพ ความรัก และครอบครัว บางทีคนส่วนใหญ่อาจจะคำนวณว่าต้องได้สิ่งตอบแทนเท่าไร จึงจะคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป บางคนถึงกับมองว่ามิตรภาพเป็นอุปสรรคต่อการก้าวเดินบนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ทำให้พวกเขาเพิกเฉย ละทิ้งอย่างจงใจ และเหยียบย่ำมันอย่างไร้เหตุผล
แต่สำหรับเฉินซีที่ต้องทนทุกข์กับความยากลำบากตั้งแต่ยังเด็ก ความรู้สึกทั้งสามประเภทนี้มีค่าและสำคัญมากสำหรับเขา และเป็นสิ่งคู่ควรแก่การที่เขาจะใช้ชีวิตเพื่อปกป้อง
ดังนั้นชายหนุ่มจึงรั้งอยู่เพื่อเผชิญหน้ากับคนทั้งหลายเพียงลำพังด้วยความรู้สึกที่แน่วแน่และไม่เสียใจ!!