บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 491 เพียงแค่ดูข้าฆ่า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 491 เพียงแค่ดูข้าฆ่า

บทที่ 491 เพียงแค่ดูข้าฆ่า

แรงเหยียบของหงจัวนั้นรุนแรงมาก ทำให้ใบหน้าของจ้าวชิงเหอบิดเบี้ยว โหนกแก้มของเขาเปล่งเสียงแตกหักและใกล้จะแตกในไม่ช้า

การทุบตีไม่ควรตบไปที่หน้า นับประสาอะไรกับการถูกเหยียบย่ำหน้าด้วยฝ่าเท้า ความอัปยศอดสูที่รุนแรงนี้ทำให้ร่างกายของจ้าวชิงเหอสั่นจนควบคุมไม่ได้ ดวงตาของเขาแทบจะถลนจนเลือดไหลออกมา ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากฆ่าตัวตาย ดีกว่าถูกศัตรูทรมานและทำให้ขายหน้าด้วยวิธีนี้

เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ แต่การกระทำนี้กลับดูไร้เรี่ยวแรง เนื่องจากเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้แต่น้อย อีกทั้งตอนนี้ยังถูกมัดด้วยเชือกหวาย จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงการดิ้นรน เพราะเขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะขยับนิ้วเลยด้วยซ้ำ

“อย่าจ้องข้าแบบนี้ อย่างไรเสียวันนี้เจ้าก็ต้องตาย แล้วเหตุใดเจ้าไม่ผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับเคล็ดทรมานของข้าล่ะ? ข้ามีเคล็ดวิชาอยู่มากมายจนเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้อย่างแน่นอน”

หงจัวคุกเข่าลง จ้องมองไปยังดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยวของจ้าวชิงเหอ ก่อนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยความยินดี จากนั้นจึงยกมือขึ้นและตบลงไปที่ใบหน้าของจ้าวชิงเหอเบา ๆ พร้อมกับกล่าวช้า ๆ ว่า ”เจ้าเป็นผู้ขัดเกลากายาหรือ? งั้นข้าจะใช้มีดทื่อเฉือนเนื้อของเจ้าทีละนิด จากนั้นจะวางมดกินไขกระดูกไว้ทั่วตัวเจ้า แล้วปล่อยให้เจ้าเฝ้าดูเจ้าตัวเล็กน่ารักเหล่านี้ค่อย ๆ กลืนกินกระดูกของเจ้าทีละนิด แค่คิดถึงขั้นตอนอันยอดเยี่ยมนี้ ก็ทำให้ข้าตื่นเต้นแล้ว…”

เสียงของหงจัวนั้นอ่อนโยน แต่กลับแฝงไปด้วยความพึงพอใจและโหดเหี้ยม แต่เมื่อมันเข้าสู่หูของจ้าวชิงเหอ กลับไม่เกิดผลกระทบใด ๆ แม้แต่น้อย เขายังคงเม้มริมฝีปากแน่นสนิทและจ้องเขม็งไปที่หงจัวอย่างนิ่งเงียบ

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของจ้าวชิงเหอ หงจัวจึงแลบลิ้นสีแดงสดออกมาเพื่อเลียริมฝีปากที่แห้งผาก จากนั้นเจ้าตัวก็กล่าวอย่างเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงเหี้ยมว่า ”เจ้ากล้าหาญดีนี่ ข้าล่ะชอบคนที่ดื้อรั้นเช่นเจ้าจริง ๆ เพราะว่าในโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่เป็นคนดื้อรั้น และนายน้อยคนนี้ก็เชี่ยวชาญวิธีทรมานที่หลากหลาย แต่ข้ากลับต้องได้ยินเสียงโหยหวนของการยอมจำนนและร้องขอความเมตตา ทั้งที่ข้ายังใช้มันไม่หมดเลยด้วยซ้ำ มันจึงน่าเบื่อยิ่งนัก! ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าเจอคนดื้อรั้นเช่นเจ้า นายน้อยคนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี”

ในขณะที่กล่าว หงจัวยกขาของเขาขึ้นเพื่อย่ำไปที่ขาขวาของจ้าวชิงเหออย่างช้า ๆ จากนั้นก็ออกแรงขยี้ด้วยปลายเท้า ทำให้เสียงแตกดังก้องออกมา กระดูกที่หักได้แทงทะลุผ่านเนื้อหนังของจ้าวชิงเหอ เผยให้เห็นกระดูกสีขาวที่น่าสยดสยองและแหลมคม ในขณะที่เลือดสีแดงสดได้ไหลไปทั่วพื้นทันทีราวกับสายน้ำ

ด้วยความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากของจ้าวชิงเหอปูดออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ลำคอของเขาส่งเสียงอู้อี้และผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงกัดฟันแน่นและนิ่งเงียบ

จ้าวชิงเหอยังคงนิ่งเงียบ และไม่ได้ร้องโหยหวนเพื่อขอความเมตตา แต่หงจัวก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะนี่เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ยังมีเคล็ดวิชาทรมานอีกหลายพันวิธี และเขาไม่เชื่อว่าจ้าวชิงเหอจะสามารถอดทนได้จนถึงที่สุด ปลายเท้าของหงจัวยกขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มบดขยี้กระดูกขาของจ้าวชิงเหอทีละนิด การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าและระมัดระวัง ซึ่งดูเหมือนจะต้องพยายามอดกลั้นเป็นอย่างมาก

เมื่อพวกเขามองไปที่จ้าวชิงเหอซึ่งนอนหายใจโรยรินอยู่บนพื้น จากนั้นจึงมองไปที่หงจัวที่กำลังทรมานชายหนุ่มด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน ผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ต้าเฉียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นวาบอยู่ในใจ เนื่องจากวิธีทรมานขององค์รัชทายาทนั้นวิปริตเกินไป!

“ถ้าเจ้าแน่จริง ก็จงฆ่าข้าซะ มิฉะนั้น ตราบใดที่ข้ารอดชีวิต ข้าจะตอบแทนความทรมานในวันนี้กลับไปให้เจ้าเป็นร้อยเท่า!” จ้าวชิงเหอกล่าวเป็นระยะขณะที่เลือดไหลออกมาจากมุมปาก เสียงของเขาแหบแห้งและแผ่วเบาราวกับถูกรีดเค้นออกมาจากหน้าอกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด

“ฆ่าเจ้าหรือ? นั่นจะไม่ตายง่ายเกินไปหน่อยหรือ?” หงจัวกล่าวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะกระชากผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ต้าเฉียนมาถาม “บอกข้าสิ หากเป็นเจ้า เจ้าจะยอมให้เขาตายง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”

คนที่ถูกกระชากรีบส่ายศีรษะ “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”

หงจัวจ้องมองไปยังคนอื่น ๆ และก่อนที่เขาจะทันได้ถาม คนเหล่านั้นต่างส่ายศีรษะพร้อมกัน “เราก็ไม่ยอมเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”

“ฮ่า ๆ เจ้าได้ยินหรือไม่? พวกเขาไม่ต้องการให้เจ้าได้ตายเร็วขนาดนั้น เหตุใดจึงสูญสิ้นความหวังและรนหาที่ตายเสียเล่า” หงจัวหัวเราะดังลั่นและพึงพอใจอย่างมาก ความรู้สึกที่ได้ควบคุมชีวิตและความตายของคนอื่นเช่นนี้ ช่างวิเศษจริง ๆ!

“ถ้าใครกล้าฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่ยอมที่จะปล่อยให้คนนั้นได้ตายเร็วเช่นกัน” จู่ ๆ ก็มีเสียงที่เย็นชาและเฉยเมยดังก้องมาจากระยะไกลอย่างกะทันหัน และเสียงยังไม่ทันจางหาย กลับมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วที่ด้านข้างของจ้าวชิงเหอ เสมือนกับร่างนั้นได้เคลื่อนย้ายมิติมา อีกทั้งยังเหมือนภูตผีที่จู่ ๆ ก็โผล่มาด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา

รูม่านตาของหงจัวหดลงทันใด ในขณะที่เสียงหัวเราะของเขาก็หยุดลงทันที ก่อนที่ใบหน้าจะแข็งทื่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้ จนถึงขั้นต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“เฉิน… ซี… เจ้า… มาแล้ว” เมื่อเห็นร่างนั้นอย่างชัดเจน ลมหายใจของจ้าวชิงเหอก็เร็วขึ้นจากความตื่นเต้น และเขาก็หมดสติไปก่อนที่จะกล่าวจบ ความอัปยศอดสูที่ได้รับก่อนหน้านี้นั้นเลวร้ายเกินไป กอปรกับร่างกายของเขาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าตัวจึงอ่อนโรยอย่างสมบูรณ์ และเขาได้พึ่งพละกำลังเฮือกสุดท้ายเพื่อยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้

เฉินซีมองไปที่บาดแผลอันน่ากลัวบนร่างกายของชายหนุ่ม จากนั้นจึงมองไปยังใบหน้าของจ้าวชิงเหอซึ่งถูกเหยียบย่ำจนเกิดเป็นรอยฝ่าเท้าสีแดงและบ่วมเป่ง แล้วมองไปที่เชือกหวายสีเขียวที่มัดอีกฝ่ายไว้…

ทันใดนั้น เฉินซีดูจะกลายเป็นคนละคน ดวงตาของเขาส่องประกายเย็นชาและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า พลังชีวิตในร่างกายที่ปะทุออกมาทั้งเย็นชาและดุร้าย เขาเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งและต้องการที่จะกลืนกินศัตรู

เขาเหลือบมองไปยังหงจัวและคนอื่น ๆ อย่างเฉยเมย ก่อนจะย่อตัวลงพร้อมกับยื่นนิ้วนางและนิ้วชี้ออกไปเพื่อเกี่ยวเชือกหวายที่มัดร่างจ้าวชิงเหอ หลังจากนั้น สมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดนี้ก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างง่ายดายด้วยการกระตุกอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาแบกจ้าวชิงเหอไว้บนบ่า การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มก็นุ่มนวลและระมัดระวัง เพราะนี่คือสหายของเขา ไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในอดีตจะธรรมดาเพียงใด แต่ในสมรภูมิบรรพกาลแห่งนี้ ทั้งคู่ต่างเข้าใจกันและกัน อีกทั้งยังสามารถไว้วางใจได้มากที่สุด

ในระหว่างที่เฉินซีกำลังทำเช่นนี้ หงจัวและคนอื่น ๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิด เนื่องจากสติของพวกเขายังตกอยู่ในความสับสนงุนงง กอปรกับความเกรงกลัวต่อความแข็งแกร่งของเฉินซี พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม

มันเหนือความคาดหมายจริง ๆ!

หงจัวและคนอื่น ๆ ไม่อาจคาดเดาได้ว่า จู่ ๆ เฉินซีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาราวกับว่าจุติมาจากสวรรค์ได้อย่างไร?

หงจัวกัดลิ้นอย่างแรง ความเจ็บปวดนั้นทำให้เขากลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองช่างโง่งมยิ่งนัก เฉินซีก็แค่คนคนหนึ่ง แต่ตนกลับหวาดกลัวถึงขนาดนั้น มันช่างน่าละอายอะไรอย่างนี้!

เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ ร่องรอยของความอับอายและความโกรธก็เกิดขึ้นในใจของหงจัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงจ้องมองไปยังเฉินซีซึ่งอยู่ห่างเพียงสิบสองฉื่อ ราวกับต้องการที่จะมองร่างที่ไม่ธรรมดา ซึ่งทำให้สมรภูมิบรรพกาลต้องตกอยู่ในความโกลาหลผู้นี้ให้มั่น

ที่ด้านข้าง สีหน้าของผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต้าเฉียนกลายเป็นหนักอึ้ง ชื่อเสียงของเฉินซีในสมรภูมิบรรพกาลตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่สาดส่องบนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน และการต่อสู้กับเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากเพียงลำพังในเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ก็ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระแวดระวังเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้

“ทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนทำหรือ?” เฉินซียกมือขึ้นเพื่อเช็ดเลือดที่ริมฝีปากของจ้าวชิงเหอ แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่หงจัว และการจ้องมองของชายหนุ่มก็เหมือนกับใบมีดที่แฝงด้วยเจตนาฆ่าอันเย็นยะเยือก

“ถูกต้อง เดิมทีข้าตั้งใจจะหั่นมันเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะแยกวิญญาณออก เพื่อให้มันต้องทรมานไปชั่วนิรันดร์ แต่น่าเสียดายที่เจ้ามาขัดจังหวะข้าเสียก่อน” หงจัวกลับมาเป็นปกติแล้ว และกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “แต่การมาถึงของเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และเจ้าคงต้องทิ้งชีวิตไว้ซะ เพราะเจ้าได้เข้ามาในสายตาของข้าแล้ว”

เขามีความมั่นใจที่จะกล่าวเช่นนี้ เนื่องจากทุกคนในกลุ่มของเขาได้บรรลุขอบเขตจุติแล้ว และก็ไม่เชื่อว่าพวกตนจะไม่สามารถฆ่ามดตัวเล็ก ๆ จากราชวงศ์ระดับกลางได้!

ส่วนข่าวลือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเฉินซี หงจัวไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด เพราะข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือและไม่สามารถเชื่อถือได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาหวาดกลัวจนถอนตัวเพียงเพราะได้ยินว่าศัตรูแข็งแกร่งมาก หงจัวคงไม่คู่ควรที่จะเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าเฉียนอีกต่อไป

“แล้วพวกเจ้าจะดูการแสดงจากที่ด้านข้างหรือไม่” เฉินซียังคงไม่ขยับเขยื้อน แต่สายตาของเขาได้กวาดมองไปยังอีกห้าคนที่อยู่ด้านข้างของหงจัว ในขณะที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ถูกต้อง การฆ่าใครสักคนเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเสมอ ดังนั้นมันจึงคู่ควรแก่การรับชมอย่างเพลิดเพลิน แล้วเจ้าคิดเช่นไรล่ะ?” หงจัวคิดว่าเฉินซีเกรงกลัวความแข็งแกร่งของตน เพราะหลังจากที่ผ่านไป เฉินซีกลับไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว เขาจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น ดังนั้นน้ำเสียงของหงจัวจึงแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในขณะที่กล่าว

“ดีมาก” จู่ ๆ ชายหนุ่มก็หันกลับมาและกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าทั้งคู่เพียงแค่ดูข้าฆ่าอยู่ที่ด้านข้าง และเพลิดเพลินไปกับวิธีการฆ่าของข้า จากนั้นจึงค่อยตัดสินว่าวิธีของข้านั้นคู่ควรกับคำว่า ‘ยอดเยี่ยม’ หรือไม่”

ทันทีที่กล่าวจบ หงจัวและคนอื่น ๆ ก็เห็นว่ามีลำแสงสองสายที่สว่างวาบมาจากท้องฟ้าอันไกลโพ้น ร่างทั้งสองนั้นเป็นชายและหญิง ซึ่งพวกเขาก็คือหวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวนั่นเอง

เมื่อทั้งคู่มองไปที่จ้าวชิงเหอซึ่งอยู่บนไหล่ของเฉินซี พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์ได้ทันที ทำให้สายตาที่จ้องมองยังไปหงจัวและคนอื่น ๆ ดูเยือกเย็น

“มอบเขาให้ข้าเถอะ” นายน้อยโจวก้าวไปข้างหน้าและแบกจ้าวชิงเหอที่หมดสติไว้ เนื่องจากคำกล่าวของเฉินซีก่อนหน้านี้มีน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งเขาก็รู้ว่าเป็นการดีที่สุดที่จะทำตามความปรารถนาของชายหนุ่มในเวลานี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เชื่อมั่นว่าเฉินซีมีความสามารถในการจัดการกับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อยู่หมัด

หวงฝู่ฉิงอิงชำเลืองมองที่ชายหนุ่ม จากนั้นมองไปที่หงจัวและคนอื่น ๆ ก่อนจะทำตามที่เฉินซีกล่าวในทำนองเดียวกัน แต่นางยังคงยืนอยู่ด้านข้าง ในขณะที่ให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้างอย่างระแวงระวังอยู่เสมอ

ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่จะเข้าใจโดยปริยาย

เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ทั้งสองคนจึงไม่ได้รบกวนเฉินซี และการปล่อยให้ชายหนุ่มฆ่าศัตรูทั้งหมดด้วยตัวเอง ย่อมเป็นการกระทำที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้

แม้ว่าการบ่มเพาะของเฉินซีจะดูเหมือนกับว่าเขาเพิ่งบรรลุขอบเขตจุติ แต่ถ้าใครคิดว่าเขาเป็นเพียง ‘ลูกพลับสุก’ ที่สามารถบดขยี้ได้ตามต้องการ ผลลัพธ์ที่บุคคลนั้นต้องเผชิญก็อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าโง่เขลาและไร้สมอง

“ฮึ่ม! เจ้ามันรนหาที่ตาย! เจ้าคิดว่าจะวิ่งหนีได้เพียงเพราะผู้ช่วยของเจ้าอีกสองคนมาถึงแล้วหรือ?” หงจัวชำเลืองมองไปที่หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจว ก่อนจะคำรามออกมาด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะให้พวกเจ้าทุกคนได้สัมผัสถึงความห่างชั้นระหว่างราชวงศ์ระดับกลางและผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ระดับสูงนั้นมากมายเพียงใด!”

โอม!

เสียงของหงจัวในอากาศยังไม่ทันจางหาย แต่เสียงที่กระจ่างและไพเราะของกระบี่ …ได้ดังก้องกังวานไปทั้งฟ้าดินแล้ว!

ในตอนนี้ เฉินซีก็เลือกที่จะเคลื่อนไหว เจตนาฆ่าของเขาถูกยับยั้งไว้จนถึงขีดสุด และเขาต้องการระบาย ปะทุมันออกมา และเขาไม่ต้องการที่จะกล่าวอะไรหรือเสียเวลาไปอีกสักนิด!!!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท