บทที่ 505 แสดงความอหังการ
บทที่ 505 แสดงความอหังการ
เฉินซีเคลื่อนไหวดุจภูตผีที่ไม่อาจคาดเดาและปราศจากร่องรอย
เพียงชั่วพริบตา เขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าลวี่เทียนเจ๋อ กระบี่โศกนภาในมือของชายหนุ่มพลันส่องประกายแวววาวขณะที่ฉีกผ่านท้องฟ้าและฟันลงมาด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้
โครม!
บังเกิดเป็นเสียงเสียดหูและดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน พร้อมกับแสงเจิดจ้าที่ระเบิดออกมา ร่างขององค์ชายราชวงศ์ต้าเสวียนเซถอยไปสองสามก้าวและสภาพดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
เนื่องจากเขาสามารถปัดป้องการโจมตีสังหารของเฉินซีได้!
ปรากฏว่าในมือของอีกฝ่ายมีดาบยาวที่อาบไปด้วยแสงเย็นยะเยือก ตัวดาบยาวเป็นสีขาวราวกับหิมะ มีอักขระยันต์ปรากฏอยู่บนพื้นผิวของมัน และดูเหมือนกับมีมังกรที่เวียนวนอยู่บนใบดาบ
เนื่องจากลักษณะของดาบยาวเล่มนี้ กระแสอากาศโดยรอบจึงถูกคลื่นความเย็นควบแน่นจนมีชั้นหมอกน้ำแข็งที่หนาวเย็นจนเสียดกระดูกก่อตัวขึ้น และดูราวกับสภาพแวดล้อมได้เข้าสู่ฤดูหนาวที่รุนแรงราวกับอยู่ในความฝัน
ในฐานะองค์รัชทายาทของราชวงศ์ต้าเสวียน ลวี่เทียนเจ๋อย่อมไม่ขาดแคลนสมบัติชั้นเลิศ และดาบยาวที่มีความเย็นเยือกแข็งเล่มนี้ก็ถูกเรียกว่า ‘ดาบมังกรหิมะ’ มันเป็นสมบัติกึ่งอมตะเช่นเดียวกับกระบี่โศกนภาของเผยอวี่ ผนึกก่อขุนเขาของฉินเซียว และพัดนกยูงเพลิงของซวีเหลิ่งเยี่ย ซึ่งแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีล้วนปรารถนาที่อยากได้มาครอบครอง
“สมบัติกึ่งอมตะ? เป็นดั่งที่ข้าคิดไว้” เฉินซีไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่การโจมตีของเขาไม่ประสบความสำเร็จ และชายหนุ่มก็เพียงประเมินดาบมังกรหิมะในมือของลวี่เทียนเจ๋อด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งเท่านั้น
เขาในตอนนี้ไม่เพียงแค่ครอบครองกระบี่โศกนภา แต่ยังมีพัดนกยูงเพลิง ผนึกก่อขุนเขา และชุดเกราะมังกรทอง ซึ่งอาจทำให้ผู้คนต้องหัวใจหยุดเต้นได้ ถ้าเขาควักพวกมันออกมาทั้งหมด ดังนั้นเฉินซีย่อมไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อดาบมังกรหิมะไปโดยปริยาย
ซึ่งอันที่จริง การใช้สมบัติกึ่งอมตะนั้นขึ้นอยู่กับขอบเขตของความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งและการบ่มเพาะ มิฉะนั้น แม้ว่าจะมีสมบัติอมตะอยู่ในครอบครอง แต่การจะใช้พลังที่แท้จริงของมันออกมาก็เป็นไปได้ยาก และอาจถึงขั้นถูกศัตรูแย่งชิงเสียด้วยซ้ำ
ตัวอย่างเช่น เดิมทีเฉินซีมีความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งกระบี่อย่างลึกซึ้ง และเขาได้บ่มเพาะเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบจนถึงขั้นที่สามารถหลอมรวมกระบวนท่าทั้งแปดให้เป็นหนึ่งเดียว อีกทั้งยังบรรลุแนวทางใจหลอมรวมกระบี่ ดังนั้นเขาจึงสามารถระเบิดพลังที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าเดิมเมื่อใช้กระบี่โศกนภาได้
แม้ว่าซวีเหลิ่งเยี่ย เผยอวี่ และฉินเซียวจะมีสมบัติกึ่งอมตะ แต่พวกเขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับเฉินซีในที่สุด ซึ่งไม่ใช่ว่าสมบัติวิเศษของพวกเขาไม่ทรงพลัง แต่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเฉินซี
ในสายตาของผู้คน ลวี่เทียนเจ๋อที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่สี่ การบ่มเพาะเช่นนี้ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดของบรรดาผู้บ่มเพาะในเมืองบรรพกาล ทว่าในสายตาของเฉินซีนั้น มันกลับอ่อนแออย่างน่าสมเพช!
เพราะตอนที่เขาอยู่ในเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ในวันนั้น เฉินซียังไม่ได้บรรลุสู่ขอบเขตจุติ แต่กลับสามารถสังหารคลั่งกระบี่น้อยไท่ชูฮวาหรง ซึ่งมีการบ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่สี่ ถึงแม้ว่าจะพึ่งพาพลังของพัดนกยูงเพลิง แต่มันก็เพียงพอที่จะแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า ความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นน่ากลัวเพียงใด
ตอนนี้การขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ของเฉินซีได้บรรลุสู่ขอบเขตจุติ และเขายังสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติในตำนานได้เช่นกัน ดังนั้นถึงแม้จะมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตจุติขั้นต้น แต่พลังต่อสู้ของเฉินซีก็แข็งแกร่งจนไม่ใช่สิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติทั่วไปจะเทียบได้!
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อได้เผชิญหน้ากับลวี่เทียนเจ๋อซึ่งถือดาบมังกรหิมะอยู่ในมือ เขากลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด
จากการปะทะกับเฉินซีก่อนหน้านี้ ลวี่เทียนเจ๋อก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นน่ากลัวเพียงใด ท้ายที่สุดแล้ว เขาเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติระดับที่สี่ แต่กลับถูกโจมตีจนหมดสภาพด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของชายหนุ่ม และถ้าไม่ใช่เพราะการป้องกันของดาบมังกรหิมะ เจ้าตัวก็คงถูกฟันขาดเป็นสองท่อนจากการโจมตีครั้งนั้นไปแล้ว!
สีหน้าของเขาหนักอึ้งในทันที แม้ว่าพวกของเขายังเหลืออยู่อีกเก้าคน แต่อารมณ์ก็ยังหนักอึ้งจนถึงขีดสุดเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างเฉินซี และถึงขั้นกระตุ้นความคิดที่จะหลบหนีด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าค่ายกลเก้าขุนเขาสยบโลกาได้ปิดกั้นบริเวณโดยรอบ มันก็หัวใจของเขาตกลงสู่ก้นบึ้งทันที ซึ่งเจ้าตัวก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่า ตอนนี้เขาเหลือเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นคือต้องต่อสู้จนถึงที่สุด!
อันที่จริง ตอนที่ตั้งใจจะจัดการกับเฉินซีก่อนหน้านี้ ลวี่เทียนเจ๋อได้เตรียมการมาอย่างดีแล้ว เพราะเขาไม่กล้าที่จะมองว่าเฉินเป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไปเป็นอันขาด แต่เมื่อได้ต่อสู้กับชายหนุ่มในที่สุด เขาก็ตระหนักได้ว่า การเตรียมการและความเข้าใจที่เกี่ยวกับเฉินซีทั้งหมดของตนได้กลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจ!
กล่าวง่าย ๆ ก็คือไม่ใช่ว่าเขาประเมินเฉินซีต่ำไป แต่ความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายเปิดเผยนั้นเกินความคาดหมาย และมันเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถจินตนาการได้แม้ว่าจะพยายามวางแผนอย่างรอบคอบแล้วก็ตาม!
ก็ใครจะจินตนาการได้เล่าว่า เฉินซีที่มีการบ่มเพาะแค่ขอบเขตจุติขั้นต้น กลับสามารถสังหารผู้มีการบ่มเพาะเหนือกว่าเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้!
ใครจะจินตนาการได้ว่า การบ่มเพาะในเต๋าแห่งการต่อสู้ของเฉินซี จะสามารถท้าทายสวรรค์ได้มากถึงขนาดนี้?
ใครจะจินตนาการได้ว่า เฉินซีจะสามารถพบข้อบกพร่องของค่ายกลเก้าขุนเขาสยบโลกาได้ในพริบตา ก่อนที่จะทำลายมันด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวและเข้าควบคุมมันแทน!
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เหล่านี้กลับสร้างฉากที่ยากจะเหลือเชื่อต่อหน้าลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ในขณะนี้!!!!
…
การที่เฉินซีเข่นฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสี่คนติดต่อกันอย่างง่ายดาย มันย่อมมากพอที่จะทำให้ผู้คนตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้าง ซึ่งแม้แต่หวงฝู่ฉางเทียนและอวี๋เซวียนเฉินที่อยู่ห่างออกไป ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวหัวใจแทบหลุดออกจากอก ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นขาวซีดและไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม
ลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ จึงรวมตัวกันเพื่อเผชิญหน้ากับเฉินซีพร้อมกัน และดูจะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถคลายความหนักใจของพวกเขาได้
ในตอนนี้เหลือเพียงเก้าคนเท่านั้น รวมถึงลวี่เทียนเจ๋อ
ยิ่งกว่านั้น องค์ประกอบของทั้งเก้าคนนี้ก็ซับซ้อนมาก พวกเขามาจากราชวงศ์ต้าเสวียน ต้าฉิน ต้าเฉียน และต้าจิ้น ซึ่งมาเพื่อแก้แค้นให้กับสหายของพวกเขาที่เสียชีวิตบนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนว่า เฉินซีจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาค่อนข้างไม่ปลอดภัย
เฉินซีซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งไม่ได้ลงมือโจมตีต่อ เขาเพียงประเมินลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นทันทีว่า “พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาลนี้ ถูกควบคุมโดยราชวงศ์ของเจ้าใช่หรือไม่?”
ลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามแปลก ๆ เช่นนี้ในเวลานี้
“เยี่ยงนี้ก็ดีเหมือนกัน หลังจากฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว ข้าก็สามารถยึดพื้นที่แห่งนี้ให้แก่ราชวงศ์ซ่งของข้าได้…” จู่ ๆ เฉินซีก็เผยยิ้มออกมา
ทว่ารอยยิ้มนี้กลับเหมือนรอยยิ้มปีศาจในสายตาของลวี่เทียนเจ๋อ และมันก็โหดเหี้ยมเกินบรรยาย!
“ชายคนนี้ไม่เพียงต้องการฆ่าพวกเราเท่านั้น แต่ยังหมายตาเขตแดนของข้าด้วยรึ!”
โอม!
เฉินซีสะบัดมือของเขาขึ้นไป ทำให้ค่ายกลเก้าขุนเขาสยบโลกาที่ปิดกั้นบริเวณโดยรอบอยู่ถูกถอนออก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้องด้วยความตื่นเต้นมาจากข้างนอกทันที
ปรากฏว่านับตั้งแต่การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงต่างสังเกตเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ และพวกเขาก็เริ่มมองไปยังสิ่งที่เกิดขึ้น แต่น่าเสียดาย เนื่องจากค่ายกลได้ปิดกั้นพื้นที่โดยรอบและแยกออกจากโลกภายนอก ทำให้พวกเขาไม่สามารถมองเห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นภายในลานเล็ก ๆ ได้อย่างเต็มที่
แต่พวกเขาก็ยังสามารถระบุได้ว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้แน่นอน นอกจากนี้ลวี่เทียนเจ๋อ ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนยังลงมือด้วยตัวเอง!
เหตุผลนั้นก็ง่ายดายมาก นั่นก็เพราะค่ายกลเก้าขุนเขาสยบโลกาเป็นไพ่ตายของลวี่เทียนเจ๋อ และมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ดังนั้นพวกเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้เอง ยิ่งมีสิ่งลึกลับมากเท่าไร ก็ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น
ค่ายกลเก้าขุนเขาสยบโลกาได้ปิดกั้นพื้นที่ภายในลานเล็ก ๆ นี้เอาไว้ ในขณะที่บุคคลเช่นลวี่เทียนเจ๋อกำลังเข้าร่วม ดังนั้นมันจึงดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้บ่มเพาะไปโดยปริยาย
พวกเขาต่างกระจายตัวไปรอบ ๆ ลานเล็กและมองจากระยะไกล เมื่อพวกเขาเห็นค่ายกลถูกเคลื่อนย้ายออกไปในขณะนี้และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน พวกเขาจึงตกสู่ความโกลาหลทันที
“ดูสิ นั่นคือลวี่เทียนเจ๋อ องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนจริง ๆ!”
“พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาลถูกควบคุมโดยราชวงศ์ต้าเสวียน ต้าฉิน ต้าจิ้น และต้าเฉียน ในเมื่อพวกมันมาปรากฏตัวที่นี่ หรือว่ามีคนได้เข้ามาทางประตูเมืองทิศตะวันออกเฉียงเหนือโดยไม่จ่ายค่าผ่านทางด้วยสมบัติ จึงถูกพวกมันโจมตี?”
“เอ๊ะ! ช้าก่อน! นั่นมันเฉินซี! เฉินซีผู้เพิ่งบดขยี้เฟิงเจี้ยนไป๋ ผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลเฟิง และสามารถบรรลุสู่อันดับหนึ่งบนศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามได้นี่น่า!”
“เขาคือเฉินซีหรือ? โอ้สวรรค์! เหตุใดเขาถึงต้องต่อสู้กับผู้คนของราชวงศ์เหล่านี้ด้วย?”
“แล้วใครจะรู้ล่ะ? แต่ข้าได้ยินมาว่า แม้แต่ราชวงศ์ระดับสูงสุดอย่างราชวงศ์ต้าถัง ราชวงศ์ต้าฮั่น หรือตระกูลอันทรงเกียรติอย่างตระกูลเซวียก็พยายามที่จะดึงชายคนนี้เข้าร่วม แล้วราชวงศ์เหล่านี้ก็เป็นแค่ราชวงศ์ระดับสูงเท่านั้น แต่พวกนี้กลับกล้าเป็นศัตรูกับเฉินซี พวกเขาช่างกล้าหาญและไม่กลัวตายเหลือเกิน”
เสียงการสนทนาของฝูงชนที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่ได้ถูกปกปิด และมันถูกถ่ายทอดออกไปอย่างชัดเจน ผู้คนส่วนใหญ่จึงล้วนอุทานต่อความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของเฉินซีด้วยความชื่นชม
ทว่าเมื่อเสียงเหล่านี้ลอดเข้าหูของลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ มันก็ไม่ต่างกับเสียงฟ้าร้องที่สั่นสะเทือนพวกเขา จนใบหน้าของคนเหล่านั้นกลายเป็นซีดเผือด และจิตใจก็แทบจะพังทลาย
“อันดับหนึ่งบนศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามหรือ?”
“บดขยี้เฟิงเจี้ยนไป๋ ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์สูงสุดของตระกูลเฟิงอย่างนั้นหรือ?”
“ราชวงศ์ต้าถัง ต้าฮั่น และตระกูลเซวียยังพยายามที่จะดึงตัวเขามาเข้าร่วมด้วย?”
ทั้งหมดนี้เป็นดั่งค้อนขนาดใหญ่ที่ฟาดลงมายังหัวใจของพวกเขา ทำให้สายตาของลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ที่จดจ้องไปยังเฉินซีนั้น ดูราวกับกำลังจ้องมองไปที่ตัวประหลาดและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เชื่อถืออย่างเห็นได้ชัด
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้อย่างแท้จริงว่า พวกตนประเมินเฉินซีต่ำเกินไป และหากพวกเขารู้ถึงวีรกรรมอันสะท้านฟ้าสะเทือนของชายหนุ่มมาก่อนหน้านี้ พวกเขาจะโง่เขลาเพื่อหาทางแก้แค้นได้อย่างไร?
ในอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของหวงฝู่ฉางเทียนและอวี๋เซวียนเฉินกลับไม่น่าดูอย่างยิ่ง และพวกเขารู้สึกเหมือนว่าสวรรค์กำลังเล่นตลกกับตนเอง ด้วยถ้าพวกเขารู้ก่อนหน้านี้ว่าเฉินซีได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ แล้วพวกเขาจะยอมสวามิภักดิ์อยู่แทบเท้าลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ ได้อย่างไร?
ในขณะนี้ ทั้งคู่หวาดกลัวระคนจนปัญญา และรู้สึกเสียใจจนลำไส้ปั่นป่วน
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงถอนค่ายกลขนาดใหญ่ออก? เหตุผลนั้นก็ง่ายมาก เพราะข้าต้องการให้ทุกคนได้เห็นถึงผลลัพธ์ของการล่วงเกินราชวงศ์ซ่งของข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้าอยากประกาศให้ทั่วทั้งเมืองได้รู้ว่าพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือนี้ถูกราชวงศ์ซ่งของข้ายึดครองแล้ว!”
สายตาของเฉินซีในขณะนี้ดุจสายฟ้าแลบ แผ่นหลังของเขาตั้งตรง และทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่มก็เปล่งกลิ่นอายออกมามากมาย ซึ่งให้ความรู้สึกว่าเขาจะไม่มีวันสั่นไหว ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบก็ตาม และแม้ว่าเสียงของชายหนุ่มจะราบเรียบ แต่มันก็ก้องกังวานไปยังทุกหนทุกแห่งได้อย่างชัดเจน
คำพูดเหล่านี้ได้กวาดผ่านไปรอบ ๆ ดุจพายุที่พัดผ่าน ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะเทือน พวกเขาล้วนเชื่อว่าคำกล่าวเหล่านี้จะทำให้เกิดความปั่นป่วนที่น่ากลัว และแม้ว่าเฉินซีจะยังไม่ได้ดำเนินการไปตามคำกล่าวเหล่านี้ แต่มันก็ทำให้เมืองบรรพกาลทั้งหมดสั่นสะเทือนได้
ชายหนุ่มกำลังส่งสัญญาณว่าเขากำลังไม่พอใจอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อเตือนลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ เท่านั้น แต่ยังเพื่อแสดงวิธีแก้ปัญหาบางอย่างต่อราชวงศ์ในโลกภายนอกอีกด้วย!
เขาต้องการจะเป็นผู้ควบคุมพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาลในฐานะราชวงศ์ระดับกลาง? หากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันจะไม่เพียงแค่ทำให้ราชวงศ์ต่าง ๆ ตกตะลึง แม้แต่ราชวงศ์ระดับสูงและตระกูลอันทรงเกียรติจากแว่นแคว้นโบราณก็อาจจะปั่นป่วน
ที่ด้านข้าง ฟ่านอวิ๋นหลานมองไปยังร่างกำยำที่ทรงพลังดุจเทพเจ้า ความรู้สึกผ่อนคลายที่อธิบายไม่ได้พลันเอ่อล้นออกมาจากหัวใจของนางทันที หญิงสาวไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพื่อปกป้องนาง ชายคนนี้ซึ่งแต่เดิมเป็นคนเก็บตัวและอ่อนโยน กลับแสดงความอหังการและดูแคลนต่อทุกสรรพสิ่งในโลกเช่นนี้!
“นี่…คือคนที่ข้าเฝ้าคอยหรือ? ข้าฟ่านอวิ๋นหลาน ช่างโชคดียิ่งนัก…” ดวงตาของฟ่านอวิ๋นหลานทอประกายด้วยความงดงามที่ไม่ธรรมดาขณะพึมพำเบา ๆ และสายตาที่นางจ้องมองไปที่เฉินซีก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลงใหล