บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 531 ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 531 ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ

บทที่ 531 ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ

เจ็ดขั้นแห่งขอบเขตจุติคือวัฏจักรชีวิต ทุกความก้าวหน้าทำให้คุณภาพของพลังภายในร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง

เจ็ดขั้นนี้แทนด้วยหัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต จิตใจ และจิตวิญญาณ

เฉินซีอยู่ขอบเขตจุติระดับที่สองแล้ว ทำให้เคลื่อนจากธาตุไฟมาไม้ซึ่งอยู่ภายในตับ กงล้อสังสารวัฏเผยแสงสีฟ้าดูโปร่งแสงเหมือนหยก มันลอยอยู่กลางท้องทะเลแห่งลมปราณ ปลดปล่อยแสงสีเขียวหยกออกมา ทำให้ดูล้ำลึกยิ่งนัก

ปัจจุบัน หลังจากกลืนกินพลังเทวะจากทหารม้าเพลิงนรกและทหารม้ามรณะเกราะทองคำไป สีของกงล้อสังสารวัฏก็เจือไปด้วยสีทอง เห็นได้ชัดว่ากำลังจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตจุติระดับสามจากธาตุไม้ไปเป็นโลหะ

อีกทั้งการขัดเกลากายาของเขายังได้รับประโยชน์มากมายเช่นกัน จุดชีพจรขนาดเล็กทั่วร่างได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก่อกำเนิดขึ้นเป็นโลกหนึ่งที่ภายในมีแก่นวิญญาณ นอกจากนั้นปราณจ้าววิญญาณที่พลุ่งพล่านก็ยังเต็มไปด้วยผลึกแวววาวโปร่งแสง ซึ่งเป็นลักษณะแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ทำให้ร่างกายเขายิ่งแกร่งขึ้น

เป็นสิ่งที่จินตนาการได้ยากว่าความศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างวิญญาณเหล่านี้จะมหัศจรรย์ได้มากเช่นนั้น เทียบได้กับโอสถวิญญาณอันล้ำค่าที่สุดและยาวิเศษทั้งหลายในใต้หล้าได้ทีเดียว

หากไม่ได้เห็นเองด้วยสองตาตน ก็คงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

หลังจากตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในพละกำลังของตนเองแล้ว เฉินซีก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปาก ก่อนจะหันไปและเห็นผู้บ่มเพาะเหล่านั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาจึงส่ายหน้าให้ “รีบไปเสีย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าสามารถอยู่ได้นาน”

ซึ่งก็เป็นความจริง ที่ตรงนี้อยู่ห่างจากประตูเมืองถึงพันลี้ อีกทั้งยังมีทหารม้าเพลิงนรกอยู่มาก ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร ศัตรูก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาสามารถรั้งอยู่ได้

“สหายเต๋าเฉินซี ขอบพระคุณที่ช่วยชีวิต หากต่อไปมีสิ่งใดให้พวกเราช่วยเหลือ พวกเราพร้อมถวายชีวิต!” ทุกคนยืนอึ้งอยู่สักครู่ ก่อนจะหลุดออกจากภวังค์ตกใจ ป้องมือเอ่ยคำขึ้นพร้อมกัน

“หากชะตาต้องกัน ไว้วันอื่นพวกเราคงได้ไปดื่มคุยเล่นกัน” เฉินซียิ้มและป้องมือให้เช่นกัน

จากนั้นพวกเขาก็หันกลับ ถอยหลังกลับเมืองไปทันที ศัสตราแห่งทวยเทพคอยปกปักรักษาที่นั่นอยู่ จึงมีแค่ทหารม้าวิญญาณธรรมดาเท่านั้น นับเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยกว่ามาก

กลับกันแล้ว เฉินซียิ่งฝ่าเข้าไปในกองทัพศัตรูลึกขึ้นเรื่อย ๆ

เขาคำนวณแล้วว่าพลังเทวะที่มีอยู่ในทหารม้าวิญญาณธรรมดามีอยู่เพียงน้อยนิด ฆ่าพวกมันร้อยตัวเท่ากับได้พลังจากทหารม้าเพลิงนรกเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น ในขณะที่ทหารม้ามรณะเกราะทองคำแข็งแกร่งกว่า พลังเทวะที่ได้เทียบได้เท่ากับทหารม้าเพลิงนรกห้าสิบตัวทีเดียว!

เขามีเป้าหมายที่เรียบง่ายนัก นั่นคือทำทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถทะลวงขอบเขตได้ในระหว่างการทดสอบรอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาล

ตึก! ตึก! ตึก!

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด เสียงฝีเท้าที่ดังดั่งฟ้าลั่นก็ดังสะท้อนมาจากที่ห่างไกล ราวกับเสียงกองทัพในสนามรบที่เมื่อเคลื่อนไปที่ใดก็ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่น ฟ้าดินสั่นสะเทือน หมอกคล้ำลอยตัวสูงกว่าร้อยจั้ง

“อะไรกัน?” เฉินซีหรี่ตาลง

ทหารม้าเพลิงนรกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทะยานออกมาจากหมอกดำ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ปลดปล่อยกลิ่นอายดุร้ายออกมา ดูเหมือนเพิ่งเดินออกมาจากประตูนรก

พวกมันพุ่งออกมาเป็นแถวหลายแถว แต่ละแถวมีมากกว่าร้อยตัว เปลวไฟซ้อนทับกันจนส่งเสียงหวีดหวิวขณะที่พวกมันพุ่งร่างเข้ามา เผยกลิ่นอายขู่ขวัญราวกับสามารถย่ำทำลายแผ่นดินทั้งหมดได้ หมายกวาดล้างทุกสิ่งเบื้องหน้า

ด้านหลังพวกมันยังมีทหารม้ามรณะเกราะทองคำนับไม่ถ้วน ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามออกมาเช่นกัน

วิญญาณเหล่านี้เกิดขึ้นจากความแค้นของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ ทำให้มีจิตใจต่ำช้า และแม้จะมีพละกำลังสูง แต่ก็ไม่รู้จักยุทธวิธี เป็นเหมือนหุ่นเชิดตัวหนึ่ง ดังนั้นการสังหารพวกมัน…จึงง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ! เฉินซีหรี่ตาลง รู้สึกตื่นเต้นแทนที่จะกลัว จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พลุ่งพล่านขึ้นมา

ฟิ้ว!

เขาใช้ปีกนภาดารกะพุ่งเข้าใส่พวกมันราวกับสายฟ้าฟาด

ตอนนี้ร่างของเขาใหญ่ดั่งขุนเขา มีสามเศียรหกกร ทั่วร่างเต็มไปด้วยสายฟ้าม้วนตัววนเวียน ทำให้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษเมื่ออยู่บนท้องฟ้า ชั่วพริบตาที่พุ่งเข้าไป พวกวิญญาณก็สังเกตเห็นเขาแล้ว

ครืน!

อึดใจต่อมา ม้าที่พวกมันขี่อยู่ก็สับขาพุ่งเข้ามาจนพื้นดินสะเทือน ทหารม้าเพลิงนรกพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มดั่งคลื่นยักษ์ที่นำพาพลังท่วมท้นมาด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ พริบตาเดี๋ยวก็พุ่งมาถึงหน้าเฉินซีแล้ว

“ตายซะ!” เฉินซีเป็นดั่งพยัคฆ์ร้ายกระโจนลงจากขุนเขา กลิ่นอายอันน่าเกรงขามดูดุดันยิ่งนัก รอบตัวปกคลุมด้วยกระแสสายฟ้านับไม่ถ้วน ในขณะที่เขาพุ่งเข้าใส่ทหารม้าเพลิงนรก

กระแสพายุสายฟ้าทั้งหมดอยู่ภายในมหาเต๋าแห่งการกลืนกิน กลืนกินได้ทั้งฟ้าและดิน ช่วงชิงทุกอย่างในใต้หล้า ก่อกำเนิดขึ้นจากพลังอิทธิฤทธิ์อันน่าสะพรึงที่เกิดจากโครงกระดูกของคุนเผิง มีอำนาจสูงถึงขีดสุด

ทหารม้าเพลิงนรกสิบกว่าตัวคือด่านแรกที่ปะทะ พวกมันยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกกำจัดและกลืนกินกระแสพายุสายฟ้าเข้าไป และบดขยี้จนเหลือแต่ปราณชั่วร้าย จากนั้นก็สลายหายไป ก่อนที่พลังเทวะภายในร่างของมันจะถูกเฉินซีดูดเข้าไปจนหมด เปลี่ยนเป็นธารพลังให้ความอบอุ่นที่ช่วยเสริมพลังบ่มเพาะให้เขา

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ในจังหวะนั้น เฉินซีเข่นฆ่าจนหนำใจ ออกอาละวาดไปทั่วทุกทิศ ไม่ว่าย่างกรายไปที่ใดก็จะเกิดเสียงระเบิดดั่งสะเทือน ปราณชั่วร้ายที่พลุ่งพล่านพลันหายไป หากศัตรูเข้าใกล้พื้นที่ระยะหกร้อยลี้รอบกาย ก็จะถูกกระแสพายุสายฟ้าทำลายจนสิ้น

“ฆ่ามัน!” จิตสังหารในอกเฉินซีพวยพุ่งขึ้นในขณะที่สังหารไม่ยั้งมือ ราวกับว่าชายหนุ่มได้กลายร่างเป็นคุนเผิงที่ออกท่องจักรวาล เงาร่างดั่งสายฟ้าฟาด กลืนกินทุกสิ่งอย่างที่อยู่เบื้องหน้า

ท่ามกลางสมรภูมิเข่นฆ่าที่แสนจะพึงพอใจ พลังเทวะสายแล้วสายเล่าถูกเฉินซีกลืนกินลงไป ทำให้พลังบ่มเพาะเติบโตขึ้นราวกับเห็ดต้องฝน

ไม่กี่อึดใจพลังของเขาก็ทะลวงไปสู่ขอบเขตจุติระดับสาม!

อีกทั้งพละกำลังที่พุ่งพรวดขึ้นยังทำให้ความสามารถในการต่อสู้ยิ่งน่าเกรงขาม ทุกการโจมตีที่ซัดออกไปเต็มไปด้วยพลังกลืนกินอันน่าหวาดกลัวราวกับหลุมดำ เขาได้เปลี่ยนทุกสถานที่ที่ย่างกรายผ่านให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย

ชายหนุ่มดื่มด่ำกับการฆ่าล้าง ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าใด

ความกดดันเบื้องหน้าจางหายไปอย่างช้า ๆ เฉินซีมองไปแล้วก็พบว่าเขาพุ่งเข้ามาอยู่ใจกลางกองทัพอย่างไม่ทันรู้ตัว ทหารม้าเพลิงนรกรอบกายมลายหายสิ้น เปลี่ยนเป็นทหารม้ามรณะเกราะทองคำแทน

ทว่าชายหนุ่มก็ยังพุ่งเข้าไปอีกครั้งอย่างไม่ลังเล

ตอนนี้ทหารม้ามรณะเกราะทองคำทั้งหลายก็เหมือนโอสถวิญญาณและสมุนไพรในสายตาเขา พวกมันกำลังรอให้ชายหนุ่มถอนรากถอนขนและกลืนกินไปก็เท่านั้น!

หากมีใครมองลงจากท้องฟ้าเหนือเมืองบรรพกาล ก็จะเห็นว่ามีสมบัติเรืองแสงกำลังลอยละลิ่วอยู่ทั่วอาณาเขตที่อยู่นอกประตูเมืองทั้งแปด ในขณะที่ฝุ่นควันตลบคลุ้ง เกิดการต่อสู้อยู่ทั่วทุกแห่งหน

ผู้บ่มเพาะจากหลากหลายราชวงศ์กำลังสู้กันอย่างสุดชีวิตอยู่ที่หน้าประตูเมือง กำลังพยายามต้านกองกำลังวิญญาณเอาไว้

ก็เหมือนอย่างเฉินซี พวกเขาสังเกตเห็นถึงผลวิเศษของพลังเทวะแล้ว นัยน์ตาจึงแดงก่ำด้วยความปรารถนา พากันช่วงชิงพลังเทวะกันอย่างบ้าคลั่งและไร้เกรงกลัวเพื่อเอามาเสริมพลังบ่มเพาะของตน

ถึงใครจะมาไล่ก็คงไม่อยากไปเสียแล้ว

แต่จะให้ไล่เข่นฆ่าโดยไม่สนใจสิ่งใดได้อย่างเฉินซีก็คงมีเพียงไม่เท่าไร เพราะท่ามกลางผู้ที่อยู่ในเมืองบรรพกาล มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่เข้าใจมหาเต๋าแห่งการกลืนกิน และไม่มีใครที่มีฝีมือการต่อสู้สูงส่งเท่าเขา

แน่นอนว่ายังมีบางส่วนที่กระทำการผลีผลาม ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู สุดท้ายก็เอาชีวิตมาทิ้งไปเช่นนั้น

ปัจจุบัน ณ ใจกลางกองทัพของเหล่าวิญญาณ

ชายวัยกลางคนในชุดดำกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่บนแท่นทรงดอกบัวสีม่วง เขามีนัยน์ตาเรียวยาว มีหูที่เฉียบคม และมีนัยน์ตาสีเงิน มีเพลิงม่วงที่ไหลเวียนวนอยู่รอบกาย ทั้งยังมีสายฟ้าแวบไปมา มีกลิ่นอายที่สง่าผ่าเผยและน่าเกรงขาม

แต่หากมองดูดี ๆ แล้ว ในตัวอีกฝ่ายกลับไร้ซึ่งพลังชีวิต มีแต่พลังเทวะที่พลุ่งพล่านดังคลื่นสมุทร ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดยิ่ง ราวกับว่าเขาเป็นผีดิบก็ไม่ปาน

“ท่านหลีหวง เราจะโจมตีเต็มกำลังกันเมื่อใดขอรับ?” ทหารช้างมรณะถามด้วยความเคารพ

ทั่วร่างเขาคือกระดูกขาว แท้จริงแล้วคือโครงกระดูกโครงหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งหลังตรงอยู่บนช้างซึ่งเป็นโครงกระดูกเช่นกัน เมื่อเอ่ยเสียงแหบแห้งออกมาก็มีเสียงฟันกระทบกันด้วย ก่อนจะใช้เบ้าตากลวงโบ๋จ้องชายวัยกลางคนในชุดสีดำ

“รอก่อน” ชายกลางคนผู้นั้นมีนัยน์ตาดั่งลมกรด ซึ่งสะท้อนกลิ่นอายอันน่าหวาดผวาเอาไว้ “เผ่าของข้าติดอยู่ที่นี่มานานนับไม่ถ้วน และมีแต่ต้องปิดล้อมเมืองบรรพกาลไว้ เราจึงจะสามารถกลับบ้านได้ ดังนั้นในครั้งนี้เราต้องทำลายเมืองบรรพกาลให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”

“แต่ข้าได้ยินมาว่า… ยังมีเซียนสวรรค์คอยคุมป้อมปราการอยู่ภายในเมือง อีกทั้งเขายังไม่ธรรมดา ข้าเกรงว่า…” ทหารช้างมรณะลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำออกมา

“ไม่ต้องห่วง ข้าได้ข่าวมาแล้วว่ากลียุคกำลังจะบังเกิดในสามภพแล้ว คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวในแดนภวังค์ทมิฬ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลามาสนใจสมรภูมิบรรพกาลหรอก นี่จึงเป็นโอกาสให้พวกเราได้หลบหนี!” ชายกลางคนในชุดดำลุกขึ้นมาจากแท่นดอกบัวสีม่วงช้า ๆ ยามกะพริบตาก็เกิดฟ้าแลบ ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจออกมา “ส่วนผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์นั่น ย่อมต้องมีคนรับมือเขาได้อยู่แล้ว”

“ข้าขออนุญาตถามผู้บัญชาการ หรือว่ากำลังเสริมของเราจะมาถึงแล้วขอรับ?” ทหารช้างมรณะถามด้วยความตกใจ

“อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้” ชายกลางคนคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นที่มุมปาก “เราขยี้เมืองบรรพกาลได้เมื่อไร ข้าจะใช้ผู้บ่มเพาะเผ่ามนุษย์ทั้งหมดเป็นเครื่องสังเวยในการคืนร่างที่แท้จริงให้ข้า ก่อนจะล่าสังหารไปจนถึงสวรรค์ชั้นเก้า เพื่อทรมานและฆ่าสังหารพวกผู้สืบทอดของทวยเทพแห่งสามภพ!”

“เด็ดขาดนัก!” เป็นจังหวะนั้นเองที่เกิดพลังผันผวนขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากพื้นที่ไม่ไกลนัก มันควบแน่นเป็นเมฆแสงที่ดูมืดหม่นและมีขนาดใหญ่โตมากสามก้อน

บนก้อนเมฆคือตัวตนสูงส่งทั้งสามกำลังนั่งอยู่ ทั่วร่างอาบไปด้วยสายปราณกระจ่างแจ้งที่ไหลเวียนอยู่รอบกาย ก่อนจะกลั่นออกมาเป็นวงแสงศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ที่ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมา

“ไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนาน กลับไม่อาจดับจิตสังหารในใจของหลีหวงลงได้เลย” เจ้าของเสียงพูดคือชายผู้น่าเกรงขามคนหนึ่ง ด้านหลังคือปีกคู่หนึ่ง มีรูปร่างผอมสูง ทุกท่วงท่าที่เคลื่อนไหวก็ปลดปล่อยกลิ่นอายอันสูงส่งออกมา

หลีหวงไม่กล้าเสียมารยาท ลุกขึ้นยืนเพื่อทักทายทั้งสาม หลีหวงรู้จักชายคนนี้ดี นี่คือผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้มีพละกำลังเหลือล้นจาก ‘พิภพปักขี’ มีนามว่า ลั่วชวน

“คนไหนคือเซียนสวรรค์ที่จุติลงมาจากภพเซียนกัน? ฆ่ามัน! กำจัดมันให้สิ้น พวกนอกรีตเช่นนั้นต้องกำจัดให้สิ้นซาก!!” ชายผู้มีรูปร่างหน้าตางดงามและผอมบางพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

ผิวของเขาเป็นสีฟ้าราวกับน้ำในมหาสมุทร หว่างคิ้วคือเขาสีขาวหยกเขาหนึ่ง เผยกลิ่นอายอันสูงส่งออกมาเช่นกัน

“พี่หมิงจื่อใจเย็นก่อน อีกสักเดี๋ยวพวกเราจะให้ท่านได้เข่นฆ่าจนสมใจ” หลีหวงยิ่งรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นคนผู้นี้ สหายผู้นี้มาจากเผ่าหมอกสมุทร หน้าตาสะสวยงดงามราวกับสตรี แต่หากเป็นเรื่องพละกำลังนับว่าแกร่งกล้ากว่าลั่วชวนเสียด้วยซ้ำ

“กลียุคแห่งสามภพกำลังมาถึงแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล้าฝ่าแดนภวังค์ทมิฬมาถึงที่นี่หลังได้ข่าวจากน้องหลีหวง หวังว่า… จะไม่มีเรื่องน่าตกใจอะไรเกิดขึ้น” ผู้อยู่ตรงกลางระหว่างลั่วชวนกับหมิงจื่อคือชายหนุ่มร่างสูงที่มีผมสีทองและมีนัยน์ตาสีเขียวหยก เขาเองก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเช่นกัน

เขาทอดสายตามองเมืองบรรพกาลที่อยู่ไกล เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง แล้วจู่ ๆ ก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็โบกมือกล่าวขึ้นว่า “น้องหลีหวง เริ่มการโจมตีเลยเถอะ ยิ่งเรารออยู่ที่นี่นานเท่าไร มีแต่ตัวตนจะยิ่งถูกเปิดเผยเร็วขึ้นเท่านั้น รีบสู้ให้ชนะเสียดีกว่า”

หลีหวงพยักหน้า จากนั้นหันไปมองเหล่าทหารช้างมรณะ “นำคำสั่งออกไป ให้นำทัพทั้งหมดเคลื่อนไหว เป้าหมายคือตีเมืองบรรพกาลให้จงได้!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท