บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 533 เกิดมาเพื่อต่อสู้

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 533 เกิดมาเพื่อต่อสู้

บทที่ 533 เกิดมาเพื่อต่อสู้

ที่ด้านหน้าของเมืองบรรพกาล

ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่คนยืนอยู่ท่ามกลางอากาศด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ พวกเขาเป็นดั่งเทพป่าเถื่อนในยุคบรรพกาลที่มีความดุร้าย ซึ่งทำให้ทุกคนในเมืองหวาดกลัวและรู้สึกหายใจลำบาก

ครืนนน!

ฟ้าดินเริ่มคร่ำครวญ สายลมโหมกระหน่ำอย่างฉับพลัน มวลเมฆสีดำปกคลุมทั้งเมืองและฟ้าแลบดังสนั่นมาจากเบื้องบน ทำให้ดูเหมือนว่าวันโลกาวินาศได้มาถึงแล้ว

“จักรพรรดิภูตผีหลีหวง?” ในขณะนี้ ปิงซื่อเทียนได้ก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่ทั่วทั้งร่างกายของเขาเปล่งแสงออกมามากมาย

และเมื่อก้าวไปข้างหน้า ฟ้าดินอันวุ่นวายก็ดูจะสงบลง ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสมบูรณ์ โลกทั้งใบพลันสงบสุขและสว่างไสวด้วยลำแสง เผยให้เห็นบรรยากาศอันเงียบสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อย

นี่คือพลังของเซียนสวรรค์ พลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎของฟ้าดินให้อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา และขอเพียงนึกคิดก็สามารถใช้เคล็ดวิชามากมายออกไปได้อย่างพร้อมเพรียงกัน!

ปิงซื่อเทียนยืนอย่างองอาจท่ามกลางท้องฟ้า เผยกลิ่นอายอันสง่างามของเซียนสวรรค์จนถึงขีดสุด ทำให้เขาดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

“ฮ่า ๆๆ! ข้าไม่เคยนึกเลยว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์ยังมีคนที่จดจำข้าหลีหวงได้” หลีหวงผู้สวมชุดสีดำหัวเราะขึ้นไปบนท้องฟ้า เปลวไฟสีม่วงรอบตัวพลุ่งพล่าน ทำให้เขาดูเหมือนเทพมารผู้ชั่วร้าย

“ฮึ่ม! เจ้าเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ หากเป็นเจ้าในยุครุ่งเรือง ข้าก็คงต้องล่าถอย แต่ตอนนี้การสังหารเจ้านั้นง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ!” หนุ่มรูปงามตะโกนด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเย่อหยิ่ง

“ช่างน่าเบื่อเสียจริง เจ้าเป็นเพียงร่างจำแลงของเซียนสวรรค์ แต่กลับกล้าโอ้อวดอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ ดูเหมือนภพเซียนคงใกล้ถึงจุดจบ แต่ละรุ่นจึงยิ่งเลวร้ายยิ่งกว่ารุ่นก่อน ๆ” ลั่วชวนที่อยู่ใกล้เคียงหัวเราะเบา ๆ ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ในขณะที่ปีกสีขาวบริสุทธิ์กระพืออยู่ที่ด้านหลัง และดวงตาที่เหมือนพระจันทร์สีเลือดสองดวงก็ทำให้เขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง

“ผู้เยาว์ เจ้าควรจากไปโดยเร็วซะ เมืองบรรพกาลใกล้ถูกทำลายล้างในไม่ช้า และเจ้าก็ไม่อาจปกป้องมันได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นอย่าได้เอาชีวิตมาทิ้งเพียงเพราะเหตุนี้เลย” ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างเผ่าพันธุ์จากพิภพทะเลหมอกซึ่งร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยม่านน้ำสีฟ้าสดใสขณะที่กล่าวอย่างไม่เร่งรีบ

“ถูกต้อง เซียนสวรรค์เพียงคนเดียวไม่อาจต่อกรกับพวกข้าทุกคนได้หรอก” หลูกังผู้มีผมสีทองและดวงตาสีเขียวหยกกล่าวอย่างเฉยเมย

“โอ้?” คิ้วของปิงซื่อเทียนเลิกขึ้นขณะที่เหยียดยิ้มดูถูก “นี่พวกเจ้าทุกคนคิดว่าด้วยพลังอันน้อยนิดเช่นนั้นจะทำให้ข้าหวาดกลัวอย่างนั้นหรือ? งั้นข้าจะบอกความจริงแก่พวกเจ้าทุกคนแล้วกัน อันที่จริงร่องรอยของพวกเจ้าถูกเปิดเผยมานานแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าทุกคนจะมาถึงที่นี่ และข้าปิงซื่อเทียนมาที่นี่เพื่อฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด!”

ขณะที่กล่าว กลิ่นอายอันสง่าผ่าเผยบนร่างกายของเขาก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะกลายเป็นแสงอันเจิดจ้าอย่างมาก และจากนั้นเจ้าตัวก็ตะโกนออกไปอย่างดุเดือด “ศัสตราแห่งทวยเทพ ช่วยข้ากำจัดพวกนอกรีตเหล่านี้ด้วย!”

โอม!

ทันทีที่เขากล่าว จู่ ๆ ดวงแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดดวงก็ปรากฏขึ้นจากทั้งแปดทิศของเมืองบรรพกาล จากนั้นพวกมันก็โบยบินไปรอบ ๆ ปิงซื่อเทียน พร้อมกับเผยให้เห็นพลังเทวะอันยิ่งใหญ่

สิ่งเหล่านี้คือศัสตราแห่งทวยเทพที่เพิ่งปรากฏขึ้นได้ไม่นาน เดิมทีหวงฝู่ฉิงอิงและศิษย์อีกเจ็ดคนได้รับพวกมันมา แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง จึงมารวมตัวกับปิงซื่อเทียนเพื่อต่อสู้เคียงข้างเขา!

“ศัสตราแห่งทวยเทพ!” ดวงตาสีเงินของจักรพรรดิภูตผีหลีหวง เผยให้เห็นถึงความเกลียดชังที่ฉายชัดและดูเหมือนเขาจะรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่อยากจดจำขึ้นมาได้

“ทุกคน ร่วมมือกันทำลายคนผู้นี้ซะ หลังจากนั้นเราจะขัดเกลาาศัสตราแห่งทวยเทพและทำลายล้างเมืองบรรพกาล!” สีหน้าของหลูกังมืดมนเมื่อเขาเห็นปิงซื่อเทียนมีความมั่นใจมาก จากนั้นเจ้าตัวก็ตะโกนอย่างดุดันทันทีก่อนที่จะลงมือก่อน

ตู้ม!

ท่ามกลางเสียงโครมครามดุจเสียงฟ้าร้อง แสงสีทองที่ไร้ขอบเขตได้พุ่งออกมาจากร่างของหลูกัง ราวกับมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ จากนั้นมันก็รวมตัวกันเป็นมือขนาดใหญ่และคว้าปิงซื่อเทียนไว้

“แค่เจ้าเองหรือ?” เซียนสวรรค์หนุ่มแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยาม ในขณะที่ผมยาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และเจ้าตัวก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนใด ๆ เมื่อมือสีทองขนาดใหญ่มาถึงตรงหน้า ด้วยมันถูกหนึ่งในศัสตราแห่งทวยเทพสกัดเอาไว้ จากนั้นมือสีทองก็พังทลายจนเกิดเสียงโครมครามและแตกกระจายกลายเป็นประกายสีทองนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ศัสตราแห่งทวยเทพ กระจกเงาบุปผา!” ดวงตาของหลูกังหรี่ลง ค้อนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมือของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างดุดัน ทำให้บรรยากาศสั่นสะท้าน และทุกย่างก้าวของเขาก็บังเกิดเป็นดอกไม้สีทองขึ้นรองรับเบื้องล่าง “เจ็ดก้าวทลายฟ้า ค้อนสังหารเทพ!”

เงาค้อนพุ่งฉีกผ่านท้องฟ้า ซึ่งแต่ละอันก็ขยายตัวอยู่ท่ามกลางอากาศ ราวกับภูเขาขนาดมหึมาที่มีกลิ่นอายสูงส่งและหนักอึ้ง จากนั้นพวกมันก็บดขยี้ลงมาที่ปิงซื่อเทียน

ในเวลาเดียวกัน หลีหวง ลั่วชวน และหมิงจื่อก็โจมตีติดต่อกัน

ด้วยการกวาดมือของหลีหวง เปลวไฟสีม่วงที่เสมือนผุดขึ้นมาจากขุมนรกได้กลายเป็นโซ่เปลวไฟสีม่วงนับพันที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะฟาดลงมาที่ชายหนุ่มจากด้านข้าง

ปีกสีขาวบริสุทธิ์ของลั่วชวนกระพือไหว ทำให้อักขระยันต์สีเงินสดใสหลั่งไหลออกมานับไม่ถ้วน ซึ่งทุก ๆ อักขระยันต์ก็เป็นดั่งใบมีดที่ปะทุด้วยแสงสีเงิน พากันถาโถมออกมาราวกับแม่น้ำกว้างใหญ่ที่เกรี้ยวกราด ซึ่งน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ในทางกลับกัน หมิงจื่อพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่ท้องฟ้าสีครามก็ผันผวนดั่งระลอกคลื่นจากเขาที่อยู่ระหว่างคิ้วนั่น และมันก็ขยายเป็นวงกลมวงแล้ววงเล่า ดังนั้นทุกที่ที่มันผ่านไปจึงทำให้บรรยากาศพังทลายและแตกสลายไปทีละนิด เช่นเดียวกับอานุภาพของมันที่ก็น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก!

ทันทีที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้ปรากฏตัว พวกเขาล้วนใช้ท่าสังหารที่ดุดัน ซึ่งทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่

สีหน้าของทุกคนในเมืองดูเคร่งขรึม เนื่องจากรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ เพียงแค่มองดูการต่อสู้จากระยะไกล ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไร้พลังและสิ้นหวังยิ่ง

พวกเขาเหมือนมดที่เฝ้าดูพญาอินทรีต่อสู้กันบนเวหา ซึ่งต่ำต้อยจนไม่มีสิทธิ์ที่จะสอดมือเข้าไปแทรกแซงได้

“ข้าสงสัยว่าปิงซื่อเทียนจะต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้อย่างไร?” เฉินซีรู้สึกตกใจอย่างมาก เมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์ซึ่งอยู่ในระยะไกล

เมื่อความคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นในใจ เขาก็เห็นง้าวสีเงินที่เปล่งแสงเทวะมหาศาลในมือของปิงซื่อเทียน จากนั้นมันก็แผ่ออกไปทั่วทั้งฟ้าดินและเปลี่ยนแปลงกฎของสภาพแวดล้อมจนทำให้ห้วงเวลาและมิติบิดเบี้ยว

การโจมตีด้วยง้าวเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำลายการโจมตีทั้งหมดที่ถาโถมเข้ามา ดังนั้นเขาจึงทรงพลังอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ในช่วงเวลาต่อมา ปิงซื่อเทียนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สายตาของเขาเย็นชาดุจสายฟ้าฟาด จากนั้นจึงชี้ง้าวไปที่หลีหวงและคนอื่น ๆ แล้วค่อยตะโกนอย่างดุดันว่า “เจ้ากล้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้หรือไม่?”

“ทำไมจะไม่กล้าเล่า!?” หลีหวงและคนอื่น ๆ พุ่งเข้ามาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

สาเหตุที่ปิงซื่อเทียนทำเช่นนี้เพราะเขากังวลว่าการต่อสู้จะส่งผลกระทบต่อเมืองบรรพกาลที่อยู่ข้างใต้ ในขณะที่หลีหวงและคนอื่น ๆ ก็กังวลว่าจะทำอันตรายต่อกองทัพมรณะเช่นกัน

มิฉะนั้น การต่อสู้ของพวกเขาจะทำลายทุกสิ่งจนหมดสิ้น และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเต็มใจจะให้มันเกิดขึ้น

อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างสนามรบแห่งใหม่ที่สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า

ครืนนน!

บนชั้นเมฆ เสียงการต่อสู้ดังกึกก้องและพลุ่งพล่านเมื่อแสงพร่างพราวระเบิดออกมา การต่อสู้ดังกล่าวได้เกินขอบเขตของโลกมนุษย์ไปแล้ว และมันทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวยิ่ง

การต่อสู้ได้ปะทุขึ้นบนท้องฟ้า และการต่อสู้บนพื้นดินก็ดำเนินไปราวกับไฟที่โหมกระหน่ำเช่นกัน

กองทัพมรณะที่กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง พากันพุ่งเข้าใส่อย่างไม่เกรงกลัวด้วยความตั้งใจที่จะยึดเมืองบรรพกาล และพวกมันก็พุ่งออกไประลอกแล้วระลอกเล่าราวกับคลื่นยักษ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ในอีกด้านหนึ่ง ทูตของแดนภวังค์ทมิฬก็ประจำการอยู่เหนือประตูเมืองทั้งแปดทิศ พวกเขาบัญชาการเหล่าศิษย์ของราชวงศ์ต่าง ๆ ต่อสู้อย่างสุดกำลัง สมบัติวิเศษ กระบวนยุทธ์ และพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ จึงผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งมันได้เปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยหมอกควันและฝุ่นผง

นี่ไม่ใช่การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการต่อสู้จริงที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันแทน!

ไม่มีโอกาสรอดเพราะโชคช่วย!

ไม่มีที่ให้ถอยกลับ!!

มีเพียงเผชิญกับการต่อสู้ที่อาบไปด้วยเลือดและเปลวไฟ ต้องต่อสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันด้วยพลังทั้งหมดเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต!!!!

ทุกคนกำลังต่อสู้อย่างสิ้นหวัง และทุกคนกำลังต่อสู้เพื่อเมืองบรรพกาล!

นี่จะต้องเป็นการต่อสู้นองเลือดที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง ท่ามกลางอักขระยันต์ที่พัวพันกันในอากาศ แขนขาที่ขาดวิ่นปลิวว่อนไปมาไม่รู้จบ และชีวิตก็ดูเปราะบางอย่างยิ่งในเวลานี้

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทุกคนรู้สึกราง ๆ ว่าพวกเขาได้หวนกลับไปสู่ยุคบรรพกาล และได้รับชมการต่อสู้ระหว่างเหล่าทวยเทพและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้อย่างเต็มตา

เมื่อเฉินซีได้เห็นฉากนี้ เลือดอันร้อนระอุของเขาก็เดือดพล่านเช่นกัน และชายหนุ่มไม่ต้องสิ่งใดมากไปกว่าพุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า …ร่วมต่อสู้ในสมรภูมิแห่งนี้!!

ในยุคบรรพกาล เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้บุกเข้ามา มันก็ทำให้เหล่าทวยเทพต้องนำกำลังมาเพื่อต่อต้าน ซึ่งพวกเขาก็ได้หลั่งเลือดและสละชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในทั้งสามภพ ซึ่งทำเพื่อความสงบสุขของคนรุ่นหลัง!

“แต่บัดนี้เหล่าทวยเทพได้จากไปแล้ว แล้วข้าจะยอมให้ศัตรูเหยียบย่ำและบุกรุกบ้านเกิดของข้าได้อย่างไร?“

“ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ญาติของข้า แต่เจตนาของพวกเขาย่อมไม่ต่างกัน”

“ในฐานะสมาชิกของสามภพ ข้าควรจะสังหารศัตรูของเราอย่างกล้าหาญในขณะนี้ เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ข้าจะสามารถดำเนินชีวิตตามสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มา”

“เจ้าอยากที่จะสู้หรือ?” หม้อใบจิ๋วเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว!” เฉินซีตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ตกลง ไปฆ่าทหารม้ามรณะเหล่านี้และรวบรวมพลังเทวะให้แก่ข้า ตราบใดที่เจ้าทำได้ทันเวลา เราก็อาจยับยั้งไม่ให้สถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้เกิดขึ้น” หม้อใบจิ๋วตอบกลับ

“สถานการณ์เลวร้ายที่สุด!?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาพลันตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า “หรือว่าปิงซื่อเทียนไม่อาจต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นได้”

“ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากศัสตราทั้งแปดของเหล่าทวยเทพ แต่เขาก็ไม่ใช่เทพเจ้าในยุคบรรพกาล ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของพวกมันได้ เมื่อรวมกับที่เป็นเพียงร่างจำแลงและไม่ใช่ร่างเซียนสวรรค์ที่แท้จริงของเขา มันก็เป็นไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถทำลายทั้งสี่คนนี้”

“นี่…” เฉินซีไม่กล้าจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองบรรพกาล หากปิงซื่อเทียนพ่ายแพ้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่คงจะถูกทำลายล้างไปพร้อมกับเมืองใช่หรือไม่?

“ไปจัดการมันซะ เพื่อตัวเจ้าเอง เพื่อสหายของเจ้า และเพื่อ… เมืองบรรพกาล” หม้อใบจิ๋วกล่าวเบา ๆ และเมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของมันก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกอย่างสุดจะพรรณนา

“ตกลง!”

ในช่วงเวลาต่อมา เฉินซีก็ทะยานออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ในขณะนี้เขาได้ยืนอยู่ที่ด้านหลังของกองทัพมรณะที่มีจำนวนมหาศาล และดูเหมือนไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ดังนั้นชายหนุ่มเพียงต้องฉวยจังหวะโจมตีจากทางด้านหลัง เพียงเท่านี้เขาก็สามารถทำลายล้างศัตรูได้อย่างง่ายดายแล้ว!

“ฆ่า!” ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเฉินซีพวยพุ่งขึ้นอย่างดุเดือด ร่างกายของเขาเหมือนกับภูเขา และชายหนุ่มก็ดูเหมือนกับใบมีดที่แหลมคมขณะที่ทะลวงเข้าไปในกองทัพจากทางด้านหลังอย่างดุเดือด

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

พายุสายฟ้าได้สั่นสะเทือนและปกคลุมพื้นที่หลายร้อยจั้ง ทำให้ทหารช้างมรณะกว่าสิบตัวแตกสลายเป็นผงและกลายเป็นปราณชั่วร้าย ในขณะที่พลังเทวะที่อยู่ในร่างกายของพวกมันก็ถูกดูดเข้าสู่ร่างของหม้อใบจิ๋ว

“ช้าเกินไป! ถ้าเจ้ายังเข่นฆ่าด้วยความเร็วเช่นนี้ต่อไป ก็ล้างคอรอหายนะเสียเถอะ!” หม้อใบจิ๋วถอนหายใจเบา ๆ

“นี่ข้าช้าเกินไปหรือ?” คำพูดของหม้อใบจิ๋วทำให้เฉินซีเจ็บใจเป็นอย่างมาก เขาจึงฝืนกัดฟันแน่นและพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็อาละวาดฟาดฟันศัตรูและกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวราวกับเทพอสูรผู้บ้าคลั่ง

“ด้วยพลังที่น้อยนิดเช่นนี้ แล้วเจ้าจะทะลวงขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้าได้อย่างไร?”

“ฆ่า! จงฆ่าด้วยทุกสิ่งที่เจ้ามี!”

“สนามรบคือหินลับฝีมือที่ดีที่สุด สิ่งที่เจ้าต้องทำคือการระเบิดพลังแฝงของเจ้าออกมาให้หมด ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เจ้าจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจนกลายเป็นสุดยอดฝีมือได้!”

“ใช่แล้ว! จงลืมเลือนกระบวนท่า จงลืมเลือนตัวตน จงลืมเลือนความคิด จงลืมเลือนความตั้งใจและเป้าหมายของเจ้าซะ ทุกสิ่งจงทำเพื่อสิ่งเดียวนั้นคือ จงสู้ซะ!”

ถ้อยคำแล้วถ่อยคำเล่าที่หม้อใบนั้นได้กล่าวออกมา ยังคงดังก้องอยู่ในหูของเฉินซี ซึ่งมันได้กระตุ้นจนถึงจุดที่ดวงตาของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง เลือดอันร้อนระอุของชายหนุ่มเดือดพล่านขึ้นทีละนิด และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็พวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาตกสู่สภาวะฆ่าฟัน!

ชายหนุ่มเหมือนกับบุตรแห่งสัตว์ร้าย ที่ในที่สุดก็แยกเขี้ยวเล็บอันแหลมคม จากนั้นจึงเริ่มต้นชีวิตแห่งการต่อสู้และไล่ล่า

เขาเป็นดั่งนกอินทรีที่สยายปีกออกจากรัง เพื่อคว้าเอาท้องฟ้าอันกว้างใหญ่มาไว้ในอุ้มมือ

นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

จงอยู่เพื่อสู้ และสู้ไปจนกว่าโลกาพิภพนี้จะแหลกสลาย!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท