บทที่ 554 ประโยชน์ของการถูกทุบตี
บทที่ 554 ประโยชน์ของการถูกทุบตี
ยอดเขาจรัสตะวันตก
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในยอดเขาของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แต่มันก็กว้างใหญ่มาก ไหล่เขาสูงต่ำทอดตัวยาวต่อเนื่อง และกินพื้นที่ยาวออกไปหลายหมื่นลี้
หากมองลงมาจากมุมสูง ยอดเขาจรัสตะวันตกจะดูราวกับดอกบัวที่บานสะพรั่งบนภูเขาอันกว้างใหญ่ ที่ชูกลีบของมันเอื้อมแตะท้องฟ้า และอาบไล้ด้วยแสงแห่งสวรรค์ จนกลายเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลำแสงสองสายฉีกผ่านทะเลเมฆขณะที่พวกมันพุ่งเข้าหายอดเขาจรัสตะวันตก เป็นเฉินซีกับชิงอวี่ที่เพิ่งกลับมาจากยอดเขาสัประยุทธ์
“ศิษย์น้องเฉิน เจ้าเป็นศิษย์ที่อาจารย์เพิ่งรับมา ดังนั้นเจ้าคงยังไม่รู้ว่ายอดเขาจรัสตะวันตกของเรานั้นแตกต่างจากยอดเขาอื่น ๆ และมีศิษย์ชั้นสูงเพียงหกคนเท่านั้น…” ชิงอวี่แนะนำสถานการณ์บนยอดเขาจรัสตะวันตกโดยละเอียด ขณะที่ทั้งคู่พุ่งผ่านท้องฟ้า
กลายเป็นว่าบนยอดเขาจรัสตะวันตกนี้ มีเพียงศิษย์ทั้งหกที่วิปลาสหลิ่วรับมาเท่านั้น เมื่อรวมกับเฉินซีแล้ว ก็มีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น ซึ่งน้อยอย่างน่าสมเพช และมิอาจเปรียบเทียบกับยอดเขาอื่น ๆ ได้
อาทิ ยอดเขาจรัสตะวันออกมีศิษย์ชั้นสูงที่เต็มไปด้วยความสามารถมากกว่าพันหกร้อยคน ยิ่งกว่านั้นยังมีสาวใช้และบริวารอีกนับไม่ถ้วนอยู่บนยอดเขาด้วย มันเป็นยอดเขาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่ยอดเขาแห่งศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าสี่ยอดเขาแห่งศิษย์ชั้นสูงนั้นหมายถึง ยอดเขาจรัสตะวันออก ยอดเขาจรัสตะวันตก ยอดเขาจรัสใต้ และยอดเขาจรัสเหนือ
นอกจากยอดเขาจรัสตะวันออกที่เต็มไปด้วยเหล่าผู้มีความสามารถและความแข็งแกร่งแล้ว ยอดเขาจรัสใต้เองก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน ศิษย์ที่อยู่ที่นั่นล้วนบ่มเพาะด้วยทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร พวกเขาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นพวกศิษย์ผู้องอาจและดุร้าย
และเหล่าศิษย์ที่ยึดครองยอดเขาจรัสเหนืออยู่ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่เป็นสตรีทั้งสิ้น ทำให้ยอดเขาแห่งนี้ค่อนข้างสันโดษ แต่ก็ไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งของพวกเขาต่ำเกินไปได้เช่นกัน ตามที่ชิงอวี่กล่าวมา อันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้น เป็นอัจฉริยะหญิงที่น่าภาคภูมิใจจากยอดเขาจรัสเหนือ!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มีเพียงยอดเขาจรัสตะวันตกเท่านั้นที่ดูค่อนข้างแปลกที่มีศิษย์ชั้นสูงเพียงหกคน หรือเจ็ดคนเมื่อรวมเฉินซี ทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมนั้นอ่อนแอมาก จนแทบจะไม่นับเป็นหนึ่งในยอดเขาของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองด้วยซ้ำ
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นหรือขอรับ?” เฉินซีถามด้วยความสงสัย
“นี่คือการตัดสินใจของอาจารย์ เขากล่าวไว้ว่าเรื่องการรับศิษย์ ไม่รับก็ไม่เป็นไร แต่หากรับเขาก็อยากจะรับพวกที่สุด ๆ และมีเอกลักษณ์ไปเลย มิฉะนั้น ก็เหมือนเขารับเอาขยะกองโตมาวางกองไว้ ถึงอาจจะทำให้ยอดเขาดูดี แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร” ชิงอวี่พูดด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง และเห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยอย่างมากกับมุมมองนี้ของวิปลาสหลิ่ว
“โอ้?” เฉินซีเข้าใจในทันที เขาถูจมูกขณะที่กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับเลือกเช่นนี้ ช่างน่ารู้สึกปลาบปลื้มนิด ๆ”
ชิงอวี่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยความลำบากใจออกมาทันที ด้วยไม่รู้จริง ๆ ว่าควรตอบบทสนทนาหรือไม่
“ฮ่า ๆ เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครอะไรกัน ศิษย์น้องชิงอวี่ ข้าไม่เคยสังเกตว่าคนซื่อตรงเช่นเจ้าก็มีมุมเย่อหยิ่งเมื่อโอ้อวดเช่นกัน มีใครในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่ไม่รู้จักชื่อของ ‘หกคนโง่แห่งยอดเขาจรัสตะวันตก’ บ้างกัน?”
“ไม่เอาน่า ศิษย์พี่ตู้ หยุดทำให้ศิษย์พี่ชิงอวี่หงุดหงิดได้แล้ว เท่านี้เขาก็น่าสงสารมากอยู่แล้ว ถ้าพี่ตีหรือด่าแล้วเขาสู้กลับไม่ได้ จะมีใครน่าสงสารกว่าเขาอีกกัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
คลื่นเสียงหัวเราะของผู้กล่าวดังก้องอยู่บนทะเลเมฆอันไกลโพ้น ทั้งเยาะเย้ยและเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
เฉินซีชำเลืองมองชิงอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ ตน ใบหน้าของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาและบริสุทธิ์คนนี้แดงก่ำไปหมด เขาโกรธจนร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน แต่กลับเม้มริมฝีปากแน่นและราวกับว่ากล้าที่จะรู้สึกขุ่นเคือง แต่ไม่กล้าพูดอะไร
“ศิษย์น้องเฉิน ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจพวกน่ารำคาญพวกนี้เลย” ชิงอวี่พูดอย่างรวดเร็วด้วยเสียงทุ้ม เสียงแผ่วเบาของเขาแฝงด้วยความหวาดกลัวและกังวล
“รอก่อนสิ ศิษย์น้องชิงอวี่ ถ้าเจ้ากล้าจะจากไป ก็อย่าตำหนิพวกศิษย์พี่ที่ไร้ความปรานี!” เสียงตะโกนดังขึ้น
เสียงกลุ่มอากาศระเบิดแหวกออกจากภายในทะเลเมฆดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกน จากนั้นรุ้งสีทองเจ็ดหรือแปดริ้วก็เจาะผ่านอากาศ พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่เร็วมากจนมาถึงในชั่วพริบตา
เป็นชายหนุ่มและหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง ทุกคนมีรูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์ พวกเขาสวมชุดขนนกที่งดงาม ชุดเกราะวาววับไม่ก็ชุดไหมชั้นดีที่พลิ้วไหว พวกเขาล้วนโดดเด่นมาก ผู้ชายก็หล่อหลา ส่วนผู้หญิงก็สวยสะดุดตายิ่ง
ทันทีที่ปรากฏตัว พวกเขาก็ล้อมเฉินซีกับชิงอวี่ด้วยท่าทางที่คุกคาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเช่นนี้มากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว การเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงดูจะชำนาญมาก
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!?” ชิงอวี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ขาดความมั่นใจเล็กน้อย มันไม่เหมือนน้ำเสียงตั้งคำถามเลยสักนิด แต่กลับเหมือนเสียงคร่ำครวญของสัตว์ร้ายตัวน้อยผู้ตกที่นั่งลำบากแทน จนทำให้เฉินซีลอบส่ายหัว
แต่เฉินซีไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เขาเพิ่งมาถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง จึงถือเป็นคนแปลกหน้าในสถานที่แปลก ๆ และความไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้อาจกล่าวได้ว่าเขากำลังคลำทางอยู่ในความมืดสนิท ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกใช้โอกาสนี้ในการวิเคราะห์สถานที่ที่เขาจะฝึกฝนในอนาคตนี้ว่าอยู่ในสถานการณ์เช่นไร…
“โอ้ ศิษย์น้องผู้ไม่คุ้นหน้า เขาคงไม่ใช่ศิษย์ใหม่ที่ลุงหลิ่วเพิ่งรับมาใช่หรือไม่?” หนึ่งในนั้นหัวเราะด้วยความเยาะเย้ย โดยไม่สนใจการคุกคามของชิงอวี่เลย ก่อนจะมองสำรวจเฉินซีตั้งแต่บนจรดล่าง
อีกฝ่ายสวมชุดคลุมสีดำ ใบหน้าขาวของเขานั้นเรียบเฉย ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น รูปร่างหน้าตาของเขาถือว่าค่อนข้างหล่อ แต่เสียงกลับเหมือนกลองแตก มันแหบแหลมเสียดหู ทำให้ไม่สบายหูยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินเมื่อสองสามวันก่อนผู้อาวุโสหลายคนที่ออกเดินทางไปทั่ว ได้นำผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์กลับมา และรับพวกเขาเป็นศิษย์ชั้นสูง น้องชายตรงหน้าเราคนนี้คงจะเป็นคนที่ลุงหลิ่วพากลับมาอย่างแน่นอน”
“โอ้ เช่นนั้นศิษย์น้องผู้นี้ก็เป็นอัจฉริยะที่ ‘ไม่เหมือนใคร’ ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ฮ่า ๆ! ไม่เหมือนใคร ใช่แล้ว ไม่เหมือนใคร!”
ชายหญิงกลุ่มหนึ่งมองไปที่เฉินซีอย่างเหยียดหยาม พวกเขาจ้องมองอย่างเยาะเย้ยขณะที่หัวเราะออกมาราวกับว่าพวกเขากำลังดูเรื่องตลกเรื่องใหญ่
“พวกเจ้า… อย่าให้มันมากไปนัก!” ชิงอวี่ตะโกนอย่างโกรธเคืองด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“มากไป? เราทำมากเกินไปหรือ?” ชายหนุ่มในชุดสีดำที่มีเสียงแหลมหัวเราะด้วยความเยาะเย้ย ขณะที่เขาพูดว่า “ศิษย์ทั้งหมดของยอดเขาจรัสตะวันตกของพวกเจ้าล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ใช่หรือ? ข้าพูดอะไรผิดไปกัน?”
ชิงอวี่โกรธจนอกสั่น พูดไม่ออก
แม้ในเวลาเช่นนี้ เขาก็ยังไม่มีความตั้งใจที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย เฉินซีที่เฝ้ามองจากด้านข้างถอนหายใจอีกครั้ง ศิษย์พี่ของเขาช่าง… เมตตาจริง ๆ!
“ศิษย์พี่ชิงอวี่ ไปกันเถิด” เฉินซีตบไหล่อีกฝ่ายก่อนจะหันกลับไปพร้อมกับตั้งใจจะจากไป
ชายหนุ่มไม่สามารถทนเห็นสิ่งนี้ได้อีกต่อไป แต่เมื่อเขาคิดว่าอย่างไรตนก็เพิ่งมาถึงนิกายหมาด ๆ มันคงไม่เหมาะที่จะสร้างปัญหาในทันที ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเสียก่อน
“ได้ ไปเถอะ” ชิงอวี่พยักหน้าซ้ำ ๆ
“เดี๋ยว! ใครอนุญาตให้เจ้าทั้งสองไปได้กัน” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำคนเดิมพูดอย่างเย็นชา “น้องชายคนนี้ยังใหม่และอาจไม่รู้กฎของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราชัดเจนมากนัก เหตุใดไม่อยู่ให้ศิษย์พี่ชี้แนะเสียหน่อยเล่า?”
“ตู้กวน! อย่ารังแกคนอื่นให้มากนัก!” ทันทีที่ได้ยินว่าพวกเขาต้องการให้เฉินซีอยู่ต่อ ใบหน้าของชิงอวี่ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังในทันที ราวกับนึกถึงความทรงจำที่ทนไม่ได้ขึ้นมา ทำให้เขาคำรามด้วยความโกรธออกมา น้ำเสียงจึงเริ่มสั่นเพราะอารมณ์ที่ปั่นป่วน
“เราเพียงจะช่วยชี้นำน้องชายคนนี้ด้วยเจตนาดี ศิษย์น้องชิงอวี่ เจ้าไม่หยาบคายเกินไปหรือ?” ตู้กวนหัวเราะออกมาดัง ๆ และพูดช้า ๆ
“ใช่ ๆ ศิษย์คนใหม่จากยอดเขาจรัสตะวันออกของเจ้า ก็นับเป็นศิษย์น้องของยอดเขาจรัสตะวันตกเราเช่นกัน เราทุกคนล้วนมาจากนิกายเดียวกัน แค่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มีอะไรให้กังวลใจหรือ?” คนอื่น ๆ พูดสนับสนุนจากด้านข้าง และแสดงท่าทางเยาะเย้ยขณะที่พวกเขาพูดประชดประชัน
“เจ้า…” ชิงอวี่จ้องอีกฝ่ายอย่างดุร้าย เสียงของเขาก็สั่นไม่หยุด
“ไม่เป็นไร ศิษย์พี่ชิงอวี่” เฉินซีก้าวไปข้างหน้า ขัดจังหวะอีกฝ่าย จากนั้นก็หันไปเผชิญหน้ากับตู้กวนและคนอื่น ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อสหายของศิษย์พี่ต้องการให้คำแนะนำแก่ข้าในฐานะผู้มาใหม่ มันคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว เราจะเริ่มจากตรงไหนกันดี?”
“ศิษย์น้องเฉิน…” ชิงอวี่กังวลอย่างมาก เขารู้ว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นไม่ได้เลวร้าย แต่ทว่าศิษย์เจ็ดถึงแปดคนที่อยู่ตรงหน้าเขาล้วนเป็นกลุ่มผู้รังแกที่มีชื่อเสียงของยอดเขาจรัสตะวันตก หากไปทำให้คนเหล่านี้ขุ่นเคืองใจพวกเขาจะไม่ถูกทุบตีจนตายเอาหรือ?
“ผ่อนคลาย” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมยผ่านกระแสปราณ
น้ำเสียงของเขาดูราวกับมีพลังวิเศษ ทำให้หัวใจที่กระวนกระวายและไม่สบายใจของชิงอวี่สงบลงอย่างมากโดยไม่มีสาเหตุ
เขาไม่พยายามห้ามปรามชายหนุ่มอีกต่อไป แต่อธิบายข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแทน
“ศิษย์น้องเฉินซี ตู้กวนที่เป็นผู้นำกลุ่มมาจากตระกูลอีกาวิญญาณ หนึ่งในบรรดาตระกูลนับไม่ถ้วนจากยุคบรรพกาล เขามีพละกำลังที่น่าเกรงขามทั้งยังไร้ความปรานีอย่างยิ่ง และกำลังจะบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาแล้ว ส่วนลูกน้องของเขาทุกคนเองก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ดังนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก หากเจ้าคิดว่าไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ก็หนีไปซะ ตอนนี้ยังพอมีเวลาหันหลังกลับและหนีไปที่ยอดเขาสัประยุทธ์อยู่”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะลอบหัวเราะอย่างขมขื่น นิสัยของศิษย์พี่ของเขาผู้นี้จะว่าใจดีเกินไปหรืออ่อนโยนเกินไปดี? แต่ความกังวลของอีกฝ่ายที่มีต่อเขานั้นมาจากใจจริง และนี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มสามารถรับรู้ได้
ตู้กวนตกตะลึงราวกับว่าเขาไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะตกลงอย่างง่ายดาย เขาดีดนิ้วทันทีก่อนจะพูดต่ออย่างเย็นชา “ศิษย์น้องผู้นี้ช่างกล้าหาญมาก! มันง่ายมาก กฎของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเรานั้นคือ… ”
“โดนทุบตี!” ศิษย์ชายที่อยู่ข้าง ๆ ตู้กวนรีบฉวยโอกาสตอบ และทันทีที่พูดจบ คนอื่น ๆ ก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะ
คนเหล่านั้นกอดอกของพวกเขา ประหนึ่งกำลังเฝ้าดูการแสดงดี ๆ อยู่
“ใช่แล้ว ก็แค่โดนทุบตี” ตู้กวนพูดอย่างจริงจัง “เมื่อถูกตบแล้วต้องเลิกหยิ่ง เลิกเกียจคร้าน เลิกผยอง และเลิกทำนิสัยเลวร้ายอย่างอื่นที่เจ้ามีอยู่ ด้วยวิธีนี้ สภาพจิตใจของเจ้าก็จะเอื้ออำนวยต่อการบ่มเพาะมากขึ้น”
เมื่อเห็นตู้กวนกล่าวเช่นนี้ ศิษย์หญิงในกลุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ พวกนางรู้สึกว่าศิษย์พี่ของพวกนาง ช่างเล่นตลกกับผู้คนเก่งเกินไปแล้ว ใครก็ตามที่ตกอยู่ในเงื้อมมือเขาจะต้องถูกเล่นงานเหมือนคนโง่อย่างแน่นอน
“ทุบตี?” เฉินซีพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ช่างเป็นวิธีที่วิเศษสุดจะพรรณนาได้จริง ๆ”
“นั่นไม่ใช่…” ตู้กวนเปิดปากของเขาด้วยสีหน้าที่พอใจโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าคนที่พูดคำเหล่านี้คือเฉินซี สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป และตะคอกออกมาอย่างเย็นชา “ไอ้หนู เจ้ากล้าดีอย่างไร…”
ทว่าก่อนจะพูดจบ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแวบผ่านไปตรงหน้า จากนั้นร่างของเฉินซีก็หายไปในจุดเดิมที่เคยอยู่
ผัวะ!
อึดใจต่อมา ก็มีเสียงตบดังก้องขึ้น ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายของตู้กวนถูกตบจนกระเด็นไป โดยไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดใช้งานสมบัติวิเศษประเภทป้องกันที่เขาครอบครองอยู่เลย!
พรวด!
ตู้กวนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก แก้มของเขาแดงและบวมราวกับหัวหมู ทั้งยังมีฟันซี่ใหญ่สองสามซี่ถูกพ่นออกมาพร้อมกับเลือดเหล่านั้นด้วย!
ปากของทุกคนอ้าค้าง เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตู้กวนจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสูเช่นนี้!
“สารเลว! เจ้ากำลังรนหาที่ตาย เจ้ากล้าดียังไง!” ตู้กวนถูกตบจนหัวสั่นด้วยความโกรธ เขาตะโกนก้องด้วยเสียงคำรามที่แหบแหลมของเขา
ผัวะ!
เสียงตบดังก้องขึ้นอีกครั้งและตู้กวนก็ถูกส่งกระเด็นออกไปไกลกว่าร้อยจั้ง เขาถูกตบจนจมูกเริ่มมีเลือดไหลออกมา ดวงดาวมากมายเต้นรำหมุนวนอยู่รอบหัวของเขา
“ไม่ใช่ว่าการทุบตีมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะหรอกหรือ? พูดถึงเรื่องนี้ ศิษย์พี่ตู้ควรจะรู้สึกขอบคุณข้านะ ที่ช่วยทำให้จิตใจของท่านปลอดโปร่งเหมาะแก่การฝึกฝน” เฉินซีก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม