บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 578 คุกเข่าลง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 578 คุกเข่าลง

บทที่ 578 คุกเข่าลง

“ในฐานะผู้อาวุโส ท่านไม่มีความเคารพกฎเลยสักนิด ถึงกับกล้าละเมิดกฎของนิกายและอนุญาตให้ศิษย์ของตัวเองนำพาหายนะมาให้แก่นิกายเช่นนี้! แล้วตอนนี้เจ้ายังไร้มารยาทถึงขนาดคิดรังแกผู้อื่นอีก! ผู้อาวุโสเยว่ เจ้านั่นแหละที่เป็นฝ่ายไร้ขื่อแป!” เสียงตะโกนดังสนั่นของเฉินซีฟังดูราวกับระฆังลั่นที่กึกก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ยิ่งไปกว่านั้น ความน่าเกรงขามยังแผ่กระจายออกมาจากคำพูดเหล่านั้นจนทุกคนต้องอ้าปากค้าง

เขาน่าเกรงขามเกินไปจริง ๆ!

ศิษย์หน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาในนิกายกล้ากล่าววาจาโจมตีผู้อาวุโสจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังพูดจาโผงผางและทุกคำพูดเป็นเหมือนกับใบมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงจิตใจ!

ใครจะไปคาดคิดว่าเฉินซีจะกล้าหาญถึงเพียงนี้?

หากเป็นศิษย์คนอื่น ๆ ไม่ว่าจะรู้สึกอยุติธรรมเพียงใด พวกเขาก็คงไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น เพราะใครจะกล้าท้าทายผู้มีอำนาจของนิกายกันล่ะ?

ห่างไกลออกไป สีหน้าของเยว่ฉือบึ้งตึงขณะที่จ้องเขม็งไปยังเฉินซีอย่างเยือกเย็นราวกับว่ากำลังตั้งใจจะปลิดชีวิต

ตอนนี้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในฐานะผู้อาวุโสแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองและปรมาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันออก แม้แต่ในอาณาเขตทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ สถานะและตัวตนของเขาก็ถือว่าสูงส่งและเป็นที่เคารพที่สุด

แต่ตอนนี้กลับถูกยั่วยุโดยศิษย์หน้าใหม่ที่เป็นราวกับมดตัวหนึ่ง ถ้าไม่สำแดงพลังออกมาให้เห็น แล้วเขาจะสามารถอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่อไปได้อย่างไรกัน?

“กล้าดีนักนะ!”

“อยากตายงั้นรึ!”

ระหว่างที่เยว่ฉือกำลังคิดอยู่นั้น เหลิ่งชิวกับผางโจวก็แผดเสียงร้องดังลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว ทั้งสองต่างเป็นศิษย์แห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองและเป็นศิษย์ของเยว่ฉือ ในเมื่ออาจารย์ถูกทำให้อับอายเช่นนี้ แล้วลูกศิษย์อย่างพวกเขาจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร?

“เฉินซี เจ้ากล้าเสียมารยาทและทำพฤติกรรมก้าวร้าวกับผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ? รีบคุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้!”

“คุกเข่า!”

“คุกเข่า!”

เหล่าศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกต่างตะโกนเสียงดังลั่นตาม ๆ กัน เสียงของพวกเขาเป็นราวกับกระแสน้ำที่โหมกระหน่ำเข้าไปหาเฉินซี คนเหล่านั้นล้วนมองมาด้วยแววตาแฝงจิตสังหารราวกับว่าชายหนุ่มกระทำความผิดมาตลอดชั่วชีวิตและจำต้องคุกเข่าลงเพื่อรับการลงโทษที่สาสม

หากพูดถึงกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดภายในยอดเขาจรัสตะวันออก ยอดเขาจรัสตะวันตก ยอดเขาจรัสเหนือ และยอดเขาจรัสใต้ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง คงต้องยกตำแหน่งนั้นให้กับยอดเขาจรัสตะวันออก เพราะนอกจากจะมีศิษย์ชั้นสูงมากกว่าพันคนแล้ว พวกเขายังมีผู้โดดเด่นอย่างเหลิ่งชิว ผางโจว และตู้เซวียนผู้เป็นสามในห้าศิษย์ชั้นสูงอีกด้วย เรียกได้ว่ายอดเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นและก่อเกิดเป็นกองกำลังขนาดมหึมา

ศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกทุกคนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ต่างตะโกนด่าทอเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน มันกระทั่งทำให้ศิษย์จากยอดเขาอื่น ๆ ต้องตกตะลึงจนหน้าซีดเผือดและไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรทั้งสิ้น

แม้ว่าสถานะของพวกเขาจะสูงกว่าศิษย์สายในและศิษย์สายนอกมาก พวกเขาก็ยังต้องระมัดระวังตัวให้ดีเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นฝ่ายที่ถูกจับจ้องแทน

สีหน้าของเยว่ฉือผู้กำลังจะระเบิดเป็นไฟเพราะความโกรธแค้นเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนี้ หลังจากนั้น เขาก็หัวเราะร่วนออกมา แน่นอนว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นเพียงแค่มดตัวจ้อย เหตุใดเขาจึงต้องลงมือจัดการเองกัน? ผู้มีตำแหน่งเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเอง และหากฉุนเฉียวขึ้นมาก็จะอับอายขายหน้าแทน

ทว่าสีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากที่ถูกผู้คนมากมายก่นด่า เขาไม่สนใจคนเหล่านั้นแต่กลับหันไปมองยังเวินหัวถิงก่อนจะประสานมือพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ขออนุญาตเรียนถามประมุขนิกาย สมาชิกของยอดเขาจรัสตะวันออกสามารถเป็นตัวแทนของทั่วทั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้หรือไม่?”

“แน่นอนว่าไม่ได้” เวินหัวถิงตะลึงงัน แล้วจึงตอบพร้อมส่ายหน้า

“ขอบคุณขอรับท่านประมุขนิกาย” เฉินซีประสานมือทำความเคารพอีกครั้งก่อนจะหันหลังกลับมา แล้วเขาก็กวาดสายตามองศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกด้วยสายตาอันเยือกเย็นขณะที่กล่าว “ดูเหมือนว่ายอดเขาจรัสตะวันออกจะมีผู้มีพรสวรรค์มากมายจริง ๆ นอกจากจะเข้ามายุ่มย่ามเรื่องภายในของยอดเขาจรัสตะวันตกแล้ว พวกเจ้ายังออกคำสั่งให้ข้าคุกเข่าลงต่อหน้าประมุขนิกายและเหล่าผู้อาวุโสโดยที่ตัวเองไม่มีอำนาจ ข้าขอถามหน่อยว่าใครเป็นคนมอบอำนาจให้พวกเจ้ากัน?!”

สีหน้าของเหลิ่งชิวกับศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันออกต่างก็ตกตะลึง และรัศมีของทุกคนอ่อนแอลงมหาศาล

ในฐานะหนึ่งในสิบนิกายเซียนแห่งแดนภวังค์ทมิฬ นิกายแห่งนี้ก็มีจำนวนศิษย์นับไม่ถ้วน รวมไปถึงปรมาจารย์จำนวนมหาศาลราวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น กฎเกณฑ์และระบบอาวุโสยังเข้มงวดอย่างมาก ผู้ใดที่กล้าละเมิดกฎแม้แต่น้อยจะต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถอย่างแน่นอน

คำพูดของเฉินซีถูกต้องตามกฎบัญญัติของนิกาย และเขากระทั่งได้รับคำตอบจากท่านประมุขนิกายเอง หากพวกเขายังกล้าดึงดันต่อไป มันก็อาจนับว่าละเมิดกฎของนิกายได้!

“หรือว่าพวกเจ้าทุกคนถือตัวเป็นผู้ปกครองนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเองเสียแล้ว?” เมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงเงียบสนิท เฉินซีก็ไม่คิดที่จะปล่อยพวกเขาไปง่ายดายนัก ชายหนุ่มพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ข้าแค่อยากจะรู้ว่ากฎของนิกายยังอยู่ในสายตาของพวกเจ้าบ้างหรือไม่?! แล้วประมุขนิกายกับผู้อาวุโสเล่า?! แล้วศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ที่นี่เล่า?”

เหลิ่งชิวกับศิษย์คนอื่น ๆ จากยอดเขาจรัสตะวันออกต่างพูดไม่ออก พวกเขาอยากจะตะโกนกลับไป แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลได้จนความโกรธทำให้สีหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวและส่งสายตาชั่วร้ายออกมา

ในขณะเดียวกัน ศิษย์คนอื่น ๆ โดยรอบล้วนอึ้งงัน พวกเขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่านอกจากเฉินซีจะครอบครองพละกำลังเหนือมนุษย์แล้ว แม้แต่ความสามารถในการโต้เถียงของเขาก็ไร้เทียมทานด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มสั่งสอนศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกทุกคนอย่างง่ายดายราวกับฝึกสุนัข…

“พอได้แล้ว!” เยว่ฉือแผดเสียงร้องลั่น เขารู้ว่าหากปล่อยให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์มีแต่จะทำให้ตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นและมากขึ้น หากกลั้นใจแก้ไขเรื่องนี้ให้ผ่านพ้นไปคงจะดีกว่า

“ข้ายอมรับว่าข้าผลีผลามเกินไปจริง ๆ” สีหน้าของเยว่ฉือยังคงไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่กล่าวอย่างเชื่องช้า “แต่ทุกคนที่นี่ควรจะรู้และเข้าใจว่าในฐานะผู้อาวุโสแห่งนิกาย ข้ารู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเห็นศิษย์ขัดแย้งและต่อสู้กันเอง ทำให้ข้าเสียการควบคุมอารมณ์ไปชั่วขณะอย่างควบคุมไม่ได้…”

ข้อแก้ตัวเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นคำขอโทษ แต่แท้จริงแล้วมันแค่แก้ต่างสิ่งที่เฉินซีกล่าว คำพูดของเขาดูมากประสบการณ์และชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด ทำให้เฉินซีแทบกลั้นใจไว้ไม่ไหว

แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อเยว่ฉือกล่าวขอโทษ แล้วเขาจะดื้อดึงต่อไปได้อย่างไรกัน? หากทำเช่นนั้น ประมุขนิกายและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ คงจะไม่พอใจเป็นแน่

อย่างไรแล้ว เหตุผลที่เฉินซีกล้าตั้งคำถามต่อเยว่ฉือและกระทั่งก่นด่าศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกจนต้องอับอายนั้นก็เป็นเพราะตัวเขาพึ่งพา ‘อำนาจ’ ของประมุขนิกายและเหล่าผู้อาวุโส หากไม่มีพวกเขาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าพูดถึงกฎของนิกายอีกมากเท่าไรก็คงจะไร้ประโยชน์

อย่างไรแล้ว พวกเขาก็เป็นผู้ตั้งกฎ และในฐานะผู้มีอำนาจของนิกาย พวกเขาจึงยืนอยู่เหนือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แล้วพวกเขาจำเป็นต้องสนใจกฎต่าง ๆ หากต้องการจัดการศิษย์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างเขาด้วยหรือ?

เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสเยว่ฉือกล่าวขอโทษเฉินซี เหล่าศิษย์ก็พากันตกตะลึงสุดขีด ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้อย่างนั้นหรือ?

ในขณะเดียวกัน เวินหัวถิงกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นดังนั้น เยว่ฉือเป็นปรมาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันออก และครอบครองอำนาจมหาศาลในหมู่ผู้อาวุโส ในขณะที่เฉินซีเป็นศิษย์คนแรกที่ก้าวเข้าสู่แท่นดอกบัวได้ในรอบหลายพันปี นอกจากนี้เขายังครอบครองพรสวรรค์ที่ไร้เทียมทานและศักยภาพไร้ที่สิ้นสุดอีกด้วย!

พวกเขาต้องปวดหัวอย่างหนักเมื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะเข้าข้างฝ่ายใด แต่ในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเยว่ฉือเป็นฝ่ายคลี่คลายสถานการณ์ลง พวกเขาจึงรู้สึกโล่งอกเป็นธรรมดา

“เอาล่ะ เรื่องในวันนี้…” เวินหัวถิงก้าวออกมาข้างหน้าและค่อย ๆ กล่าว เขากำลังจะกล่าวคำชี้ขาดและแก้ไขปัญหานี้ให้เรียบร้อย

แต่ก็เป็นตอนนั้นเองที่เฉินซีเอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า “ท่านประมุขนิกาย โปรดรอเดี๋ยวก่อน ในเมื่อผู้อาวุโสเยว่ฉือขอโทษแล้ว ข้าก็รู้สึกชื่นชมและไม่กล้าเคียดแค้นอะไร แต่…”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ชี้ไปยังตู้เซวียนและศิษย์คนอื่น ๆ แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกที่จี้ปล้นศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันตกก่อนหน้านี้ แล้วจึงกล่าวช้า ๆ “ความขัดแย้งระหว่างข้ากับคนเหล่านั้นจะจบลงเช่นนี้ไม่ได้”

ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนก็ลุกฮือขึ้นมาทันที

ไม่ใช่แค่เพียงศิษย์โดยรอบ แม้แต่เวินหัวถิงกับเหล่าผู้อาวุโสก็ยังขมวดคิ้วและรู้สึกว่าชายหนุ่มเริ่มจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว

“เฉินซี อย่าอวดดีนักเลย! นี่คือนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และมันก็ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะทำอะไรตามใจชอบได้!” เหลิ่งชิวขมวดคิ้วแน่นและกล่าวอย่างเยือกเย็น

“เฉินซี จิตใจของเจ้าเข้าสู่เส้นทางปีศาจไปเสียแล้ว มันไม่ใช่เส้นทางแห่งความเป็นอมตะอีกต่อไป เจ้าคิดที่จะแก้แค้นเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้หรือ?” ผางโจวเองก็กล่าววิจารณ์เฉินซีเสียงดังลั่น

“ข้าว่าเด็กคนนี้คงจะเป็นสายสืบที่เข้ามาเพื่อสร้างความขัดแย้งในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้า และเขาจะไม่หยุดจนกว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรอย่างแน่นอน!” ตู้เซวียนตะโกนขัดในทันใด

“ตู้เซวียน เจ้ายังกล้าใส่ร้ายป้ายสีข้าในเวลาแบบนี้อีกหรือ? เจ้าคิดว่าจะหนีความรับผิดชอบไปได้อย่างนั้นหรือ?” เมื่อกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ร่างของเฉินซีก็วูบไหวหายไป หลังจากนั้นจึงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตู้เซวียน แล้วเนตรเทวะแห่งความจริงก็แทรกตัวออกมาระหว่างคิ้วของเขาก่อนจะยิงลำแสงแห่งการทำลายล้างออกมา

ตู้เซวียนตกตะลึง และเคล็ดสังหารฉับพลันที่เขาเพิ่งเชี่ยวชาญก็ถูกลำแสงนี้ทำลาย ในขณะที่ลำคอของเขาก็ถูกอีกฝ่ายคว้าไว้และยกขึ้นมาราวกับลูกไก่ตัวน้อยในทันที

นอกจากนี้ เหล่าศิษย์โดยรอบเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน แม้แต่ประมุขนิกายและเหล่าผู้อาวุโสก็ต้องตะลึงงันเพราะการโจมตีกะทันหันนี้ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเฉินซีจะกล้าทำเช่นนี้ต่อหน้าพวกตนจริง ๆ!

นี่มันกลิ่นอายแบบใดกัน? มันทั้งน่าเกรงขามและทรงพลังอย่างถึงที่สุด!

“คุกเข่าลง!” เสียงตะโกนดังกึกก้องขณะที่เฉินซียกมือขึ้นและฟาดลงไป แล้วปราณแท้ในฝ่ามือของเขาก็กดลงมาราวกับภูผา

ทันใดนั้น เสื้อผ้าและชุดเกราะของตู้เซวียนก็ฉีกขาดขณะที่เขาได้แต่ส่งเสียงคำรามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เข่าของเขาก็ไม่อาจต้านทานแรงกดดันไหวจนต้องคุกเข่าลงต่อหน้าเฉินซี

“เขา…เขาบังคับให้ตู้เซวียนคุกเข่าลงจริง ๆ!”

“ตู้เซวียน หนึ่งในห้าศิษย์ชั้นสูงที่คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ไร้ที่ติและทรงพลังมาตลอด กลับถูกศิษย์ใหม่อย่างเฉินซีบังคับให้คุกเข่าลงต่อหน้าทุกคนเสียอย่างนั้น เขาคงไม่กล้าสู้หน้าใครอีกต่อไปแล้ว!”

“สวรรค์! เฉินซีแข็งแกร่งเกินไปแล้ว เขาทำให้ผู้แข็งแกร่งอย่างตู้เซวียนคุกเข่าลงได้จริง ๆ นั่นคือการโจมตีไร้เทียมทานที่รับมือยากยิ่งกว่าการยอมรับความตาย!”

ภาพนี้ทำให้เกิดเสียงลุกฮืกขึ้น เพราะทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเฉินซียกมือขึ้นและทำให้ตู้เซวียนต้องคุกเข่าลง

“ไอ้บัดซบ…” ใบหน้าของตู้เซวียนกลายเป็นสีแดงขณะที่ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอับอายขายหน้า ดวงตาของเขาแทบจะแยกออกกันขณะที่เริ่มบ้าคลั่ง “เฉินซี ข้อขัดแย้งของพวกเราไม่มีทางไกล่เกลี่ยกันได้! เมื่อเวลามาถึง ข้าจะฟันเจ้าเป็นชิ้น ๆ แยกวิญญาณออกมา และสกัดกระดูกของเจ้า เจ้าไม่มีทางได้ตายดีแน่!”

ขณะที่พูด เขาก็ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาเพื่อต้านทานแรงกดดัน แต่เฉินซีก็ก้าวมาข้างหน้าและฟาดฝ่ามือลงไปเพื่อผนึกปราณแท้ในร่างกายของอีกฝ่ายเอาไว้ ทำให้ร่างกายของตู้เซวียนเริ่มโซเซ และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนอีกแม้แต่น้อย เขาโกรธแค้นกระทั่งส่งเสียงร้องออกมาก่อนที่จะกระอักเลือดมหาศาลอย่างรุนแรง

“ผู้อาวุโสเยว่ฉือ ถ้าท่านเคลื่อนไหว ข้าจะสังหารเขาทันที!” ตอนนั้นเอง เฉินซีก็หันไปมองเยว่ฉือที่ยืนอยู่ไกลออกไป อารมณ์ของอีกฝ่ายขณะนี้เดือดพล่าน และไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยเหลือตู้เซวียน!

หัวใจของทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกเขาต้องตกตะลึงสุดขีด หรือว่าชายคนนี้จะไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วจริง ๆ!?

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท