บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 583 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 583 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ

บทที่ 583 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ

กลิ่นหอมอันเย้ายวนจากเนื้อสัตว์ได้ลอยมาจากบ้านไม้ที่ริมทะเลสาบ ทำให้สัตว์ร้ายที่อยู่ใกล้เคียงน้ำลายไหลและกระสันที่จะกลืนกิน

โต๊ะไม้ในบ้านถูกวางไปด้วยจานอาหารต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดใจและกลิ่นหอม เช่น ซุปไก่กระดูกดำตุ๋นกับโป่งรากสน ผัดตีนไก่ หม้อไฟดอกโบตั๋นสีม่วงเก้าปม ผัดปลาหางคราม…

อาหารอันโอชะมากมายที่ปรุงจากวัตถุดิบวิญญาณและสัตว์วิญญาณหลายชนิด ต่างส่งกลิ่นหอมอันร้อนแรงออกมา พวกมันมีปราณวิญญาณมากมาย มีรสสัมผัสที่หลากหลายและมีรสชาติที่วิเศษเป็นอย่างมาก

หลิงไป๋กับไป๋คุยรออยู่ที่โต๊ะนานแล้ว และพวกเขาก็กินจนหมดอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวน้อยทั้งสองดูเหมือนจะหิวโหยเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาต่างก็ทุ่มเทเต็มที่ให้กับบรรดาอาหารอันโอชะบนโต๊ะและกินอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายิ้มขณะที่ถือขวดสุราเก่าที่บรรจุวารีวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณหลายสิบชนิด จากนั้นเขาก็ดื่มกับมู่ขุยด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย ซึ่งหัวใจของตัวคนอิ่มเอมไปด้วยความสุข

หลังจากที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน เฉินซีจึงพบว่าการบ่มเพาะของมู่ขุยได้บรรลุถึงขอบเขตจุติขั้นสูงแล้ว และมันยังแสดงสัญญาณของการทะลวงไปสู่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ด้วย

การค้นพบนี้ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มเคยผ่านความยากลำบากมาทุกรูปแบบและประสบกับเหตุบังเอิญมามากมาย จึงจะสามารถบรรลุขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ได้ในเวลาไม่กี่ปี แต่มู่ขุยเพิ่งบ่มเพาะในเคหาทว่ากลับอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว แล้วจะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร?

“ตอนนี้เจ้าเข้าใจเต๋ารู้แจ้งกี่ชนิดแล้ว” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม

“แปดมหาเต๋าทั้งหมดได้บรรลุขอบเขตเริ่มต้นแล้วขอรับ ข้าเชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งปฐพีและมหาเต๋าแห่งวายุมาก” มู่ขุยเกาศีรษะของเขาด้วยรอยยิ้มโง่ ๆ เขามักจะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู เขาจะเผยธรรมชาติของอสูรหมาป่าที่ดุร้าย เย็นชา และไร้ความปรานีเป็นอย่างยิ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สามารถทำให้เขายับยั้งความดุร้ายและกลายเป็นคนอ่อนโยนเหมือนลูกแกะที่เชื่อฟังได้

นี่เป็นกฎที่เผ่าอสูรสืบทอดกันมา เมื่อใดที่ได้พบกับผู้เป็นนาย พวกเขาจะต้องอุทิศตน ซื่อสัตย์ภักดี และไม่มีทางที่พวกเขาจะทำสิ่งที่เป็นการทรยศอย่างแน่นอน

“แปดมหาเต๋าเลยหรือ!!” แม้ว่าเฉินซีจะมีความสงบ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและประหลาดใจเป็นอย่างมาก แม้ว่ามู่ขุยจะมีร่องรอยสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลอย่างหมาป่าจันทรคราส แต่ความสามารถในการรู้แจ้งเช่นนี้จะไม่มากเกินไปหรือ? ถือได้ว่าโดดเด่นและไม่ธรรมดาเลยทีเดียว!

“โอ้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าได้บ่มเพาะเคล็ดวิชาต่อสู้บ้างหรือไม่?” เฉินซีกล่าวต่อ เขาสงสัยจริง ๆ เพราะในอดีตอันไกลโพ้น มู่ขุยเป็นเพียงอสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลที่มีพลังอ่อนแออย่างน่าสมเพช อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่ปีผ่านไป เขากลับเติบโตขึ้นถึงระดับดังกล่าวแล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของคนคนนี้จึงสามารถอธิบายได้อย่างง่ายดายว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

“ไม่เลยขอรับ หลิงไป๋บอกว่าข้าไม่เหมาะที่จะบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ ดังนั้นเขาจึงให้ข้าบ่มเพาะและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋ารู้แจ้ง เพื่อเตรียมการบ่มเพาะศาสตร์เต๋าในภายภาคหน้า” มู่ขุยตอบตามจริง

“หลิงไป๋กล่าวเช่นนั้นหรือ?” เฉินซีตกตะลึง “หรือว่าความสำเร็จทั้งหมดที่เจ้าได้รับในปีนี้ เป็นเพราะได้รับการชี้แนะจากเจ้าตัวน้อยคนนั้น”

“ใช่แล้วขอรับ” อสูรหนุ่มพยักหน้า และสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม “นายท่าน หลิงไป๋เป็นคนที่น่าเกรงขามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา เขาเชี่ยวชาญในมหาเต๋าอันลึกล้ำมากมายและมันน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าข้าไม่ได้คำชี้แนะจากเขา ข้าก็คงไม่สามารถบ่มเพาะจนถึงขั้นนี้ได้เลย”

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจและเขาชี้ไปทางหลิงไป๋ซึ่งกำลังกินอย่างมูมมาม

“หึ เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ?!” เมื่อเจ้าตัวได้ยินเช่นนี้ หลิงไป๋เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ และเขาก็บ่นพึมพำด้วยปากที่เต็มไปด้วยอาหาร “เฉินซี เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว ข้าเป็นถึงวิญญาณกระบี่ของเซียน การชี้แนะอสูรหมาป่าตัวน้อยจะไปยากอะไร?”

เฉินซีลูบจมูกและหัวเราะไม่หยุด

แต่เมื่อเขาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ต้นกำเนิดของหลิงไป๋นั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เขายังจำได้ว่าตอนที่ตนเองพาหลิงไป๋เข้ามาในเคหาเป็นครั้งแรก จี้อวี๋เคยกล่าวว่า อาจารย์ของหลิงไป๋น่าจะเป็นเซียนสวรรค์จากนิกายกระบี่แดนนิพพานในยุคบรรพกาล และหลิงไป๋ในฐานะวิญญาณกระบี่ของกระบี่อมตะ ก็ได้รับมรดกเป็นเต๋าแห่งกระบี่ของอาจารย์เขาทั้งหมด

นอกจากนี้ชายชรายังกล่าวอีกว่า แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ยังต้องต่อสู้จนตัวตาย เพื่อให้ได้ครอบครองสมบัติอย่างหลิงไป๋

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินซีก็เข้าใจทุกสิ่ง การที่หลิงไป๋สามารถชี้แนะการบ่มเพาะให้แก่มู่ขุยนั้น มันไม่มีอะไรยากและง่ายดายเป็นอย่างมาก

“แล้วตอนนี้เจ้าบ่มเพาะถึงขั้นไหนแล้ว?” ชายหนุ่มถามคนตัวเล็ก เขาสามารถมองเห็นผ่านการบ่มเพาะของมู่ขุยได้ในพริบตาเดียว แต่กลับมองความสามารถหลิงไป๋ไม่ออก นี่เป็นเพราะร่างกายของเจ้าตัวน้อยนั้นพิเศษมาก เขาไม่ใช่คนหรืออสูร แต่ถือกำเนิดขึ้นจากจิตวิญญาณกระบี่ ดังนั้นจึงไม่สามารถตัดสินเขาได้ด้วยตรรกะทั่วไป

“ข้าสามารถบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาได้ทุกเมื่อ ยิ่งกว่านั้น ข้าได้เชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งทองจนถ่องแท้แล้ว ส่วนมหาเต๋าอีกเก้าชนิดก็บรรลุถึงขอบเขตขั้นสูงแล้ว และข้ากำลังบ่มเพาะศาสตร์เต๋า กระบี่ดับนิพพาน! เมื่อใดที่ข้าบรรลุไปสู่ขอบเขตสถิตกายา พลังต่อสู้ของข้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และหลังจากที่เต๋ารู้แจ้งชนิดอื่นของข้าบรรลุถึงขอบเขตสมบูรณ์ พลังต่อสู้ของข้าก็จะทวีคูณครั้งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ ข้ายังไม่ร้ายกาจพออีกหรือ?”

หลิงไป๋กัดกระดูกไว้ในปากขณะที่กล่าวอย่างอิ่มเอมใจ ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของเขาพลันกลายเป็นจันทร์เสี้ยวสองดวง เมื่อรวมกับใบหน้าเล็กที่หล่อเหลาอย่างไม่มีใครเทียบได้ เขาจึงดูน่ารักเป็นอย่างมาก

เฉินซีกล่าวอะไรไม่ออกในทันที เขาจ้องมองที่อีกฝ่ายราวกับว่ากำลังมองดูสัตว์ประหลาดตัวเล็ก ๆ และหัวใจของเขาก็เจ็บปวดเป็นอย่างมาก ‘ความเร็วในการบ่มเพาะของเจ้าตัวน้อยนี้ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง มันไม่เพียงแค่ร้ายกาจ แต่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว!’

แต่หลังจากนั้น เขาก็เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังทั้งหมดนี้ราง ๆ

เมื่อหลายปีก่อน จี้อวี๋เคยใช้วิชาสลายวิญญาณเพื่อหลอมรวมหลิงไป๋ให้กลายเป็นกระบี่ไผ่ทองคำนิล ทำให้หลิงไป๋มีร่างกายของตัวเองและสามารถบ่มเพาะได้เหมือนผู้บ่มเพาะ

ทว่าหลังจากที่เฉินซีถูกหวงฝู่ฉงหมิง เซียวหลิงเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ ไล่ล่า หลิงไป๋ได้ใช้พลังชีวิตของตนเองเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามเพื่อปกป้องตระกูลเฉินทั้งหมด ทำให้เขาหลับใหลไปชั่วนิรันดร์ แต่จี้อวี๋ได้ใช้ผลดอกบัวดวงจิตทองคำเพื่อสร้างร่างกายของเขาขึ้นใหม่และทำให้เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ตอนนี้ หลิงไป๋อยู่ในเคหาบ่มเพาะมาหลายปีแล้ว และเมื่อรวมกับมรดกเต๋าแห่งกระบี่ที่เขาได้รับมาจากอาจารย์ ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ของเขาจึงเป็นที่สมเหตุสมผล

“น่าทึ่ง น่าทึ่งจริง ๆ” เฉินซีชมเชยอีกฝ่ายพร้อมกับถอนหายใจที่มากไปด้วยอารมณ์ จากนั้นเขาก็มองไปยังไป๋คุยที่ยังคงกินอย่างมูมมาม และชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง “มีเพียงเจ้าที่เอาแต่กินทั้งวันและมันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง มันน่านักจริง ๆ…”

“โฮ่ง!” ไป๋คุยเงยหน้าขึ้นและแยกเขี้ยวขณะที่คำรามใส่เฉินซี ดูเหมือนมันจะไม่พอใจกับท่าทีของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก

มันเจ็บปวดจากคำพูดของเฉินซีมาก เพราะในฐานะที่เป็นสัตว์มงคลสูงสุดในใต้หล้า ปี่เซียะเช่นมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของภพทั้งสามมากมายไม่สามารถครอบครองได้ แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้จนตัวตายแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้มันกลับถูกมองว่าเป็นตัวตะกละที่ไร้ประโยชน์ จึงทำให้มันไม่อาจทนได้

“แล้วไง? เจ้าตัวตะกละ” เฉินซีกล่าวด้วยความโกรธ หลิงไป๋กล้าพูดจาเสียงดังใส่เขา เพราะหลิงไป๋มีความสามารถและสามารถช่วยเหลือเขาได้ หากเขาเผชิญกับปัญหาในอนาคต ในขณะที่ไป๋คุยเอาแต่นอนกับกิน และถ้าคนอื่นไม่รู้ว่าไป๋คุยคือตัวอะไร พวกเขาก็คงคิดว่าไป๋คุยคือหมูเลี้ยง!

ไป๋คุยโกรธมาก ขนสีขาวราวหิมะบนตัวของมันพองฟูขึ้น และจ้องมองเฉินซีอย่างขุ่นเคือง

แต่ไม่ว่าจะโกรธสักแค่ไหน มันก็ไม่ลืมที่จะกัดและกลืนกระดูกในปากของมันก่อน หลังจากนั้นมันก็ส่ายศีรษะและคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า

ทันทีที่เสียงคำรามดังขึ้น เฉินซีก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าทั้งห้องนั้นเปลี่ยนไป ดอกบัวสีฟ้าจำนวนมากโผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้า ในขณะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง และระลอกเสียงสวดมนต์ก็ดังก้องออกมา มันเหมือนกับเสียงสวดมนต์เบา ๆ ของมหาเต๋า บรรยากาศที่แปลกประหลาดและเป็นมงคลในบ้าน ดูคล้ายกับว่าสามารถช่วยให้เข้าใจเต๋าและเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำได้อย่างรวดเร็ว!

ฟึ่บ!

ในเวลาเดียวกัน ปราณวิญญาณที่มีความหนาแน่นเหมือนคลื่นยักษ์ก็ไหลทะลักเข้ามาในบ้านไม้จากรอบด้าน ยิ่งกว่านั้น กระแสปราณเซียนยังอัดแน่นอยู่ภายในนั้น จึงส่งผลให้บ้านไม้ทั้งหลังถูกเติมเต็มในทันที จากนั้นมันก็ม้วนตัวเป็นหมอกราวกับว่าเขาอยู่ในมหาสมุทรแห่งปราณวิญญาณ

ทุกลมหายใจที่เขาสูดเข้าไป ทำให้ทุกอณูบนร่างกายของเขารู้สึกราวกับกำลังแช่อยู่ในน้ำพุร้อนแห่งปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์ และมันก็สบายเสียจนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครางออกมา

ในขณะนี้ กลิ่นอายของมหาเต๋ากำลังพลุ่งพล่าน ในขณะที่โชคของฟ้าดินได้มาบรรจบกันที่นี่ ปรากฏการณ์และบรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้เฉินซีตกตะลึงจนเป็นใบ้ และเขารู้สึกว่า หากตนได้บ่มเพาะอยู่ที่นี่เพียงวันเดียว มันก็เพียงพอที่จะเทียบได้กับหนึ่งร้อยวันในโลกภายนอก!

ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจว่า เหตุใดผู้ยิ่งใหญ่ของทั้งสามภพ ถึงโปรดปรานสัตว์มงคลเป็นพิเศษ เพราะหากพวกมันอาศัยอยู่ในสถานที่บ่มเพาะของพวกเขา แม้ว่ามันจะเป็นดินแดนที่แห้งแล้ง มันก็สามารถเปลี่ยนเป็นสรวงสวรรค์ที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณและพรั่งพรูไปด้วยมหาเต๋าได้อย่างรวดเร็ว

นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของโชคที่หลอมรวมพลังแห่งฟ้าดิน เพื่อดึงปราณวิญญาณจากทุกหนทุกแห่ง มีเพียงสัตว์มงคลชั้นยอดอย่างไป๋คุยเท่านั้นที่สามารถครอบครองความสามารถที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ได้

ไป๋คุยผงกศีรษะเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ หลังจากที่เห็นเฉินซีตกตะลึงจนกล่าวอะไรไม่ออก และมันก็ฝังหัวลงไปในอาหารรสเลิศบนโต๊ะอีกครั้ง

“โอ้ ไป๋คุย บอกข้าได้เสมอเลยนะ หากเจ้าอยากกินอะไรในอนาคต ข้ารับประกันได้เลยว่า เจ้าจะต้องพอใจอย่างแน่นอน” หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ไอแห้ง ๆ ออกมา ก่อนจะแสยะยิ้มและเดินไปที่ด้านข้างของไป๋คุย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อลูบขนนุ่ม ๆ สีขาวราวหิมะของเจ้าตัวน้อยพร้อมกับกล่าวอย่างร่าเริง

หลิงไป๋อดไม่ได้ที่จะกลอกตา และนึกดูถูกท่าทางของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก

มู่ขุยเกาศีรษะของเขาแทน ก่อนจะหัวเราะออกมา

รุ่งสางของวันถัดไป หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ได้รู้เรื่องการมีอยู่ของหลิงไป๋ ไป๋คุย และมู่ขุย นอกจากความประหลาดใจเล็กน้อยที่รู้สึกในตอนแรก พวกเขายังยินดีรับสหายใหม่ทั้งสามคนนี้เข้าสู่ยอดเขาจรัสตะวันตก

โดยมู่ขุยริเริ่มที่จะรับผิดชอบในการปกป้องยอดเขาจรัสตะวันตก และมักจะนั่งบ่มเพาะอยู่บนยอดเขา

ในทางกลับกัน เฉินซีส่งหลิงไป๋ไปจัดทำรายการทรัพย์สินของยอดเขาจรัสตะวันตก

ยอดเขาจรัสตะวันตกนั้นครอบครองพื้นที่หลายหมื่นลี้ มันมีทั้งพื้นที่บ่มเพาะวิญญาณ สวนสมุนไพร ที่พำนักและสัตว์ร้ายอยู่นับไม่ถ้วน

อีกทั้งยังไม่ได้ขาดแคลนแร่วิญญาณและเส้นชีพจรวิญญาณที่มีอยู่ในภูเขาเช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินของยอดเขาจรัสตะวันตก เนื่องจากเฉินซีได้ตัดสินใจที่จะรับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดของยอดเขาจรัสตะวันตก เขาจึงต้องตรวจสอบทรัพย์สินที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนทั้งหมดที่อยู่ในยอดเขาจรัสตะวันตก

สรุปแล้ว เขามีแผนการคร่าว ๆ อยู่ในใจแล้ว ชายหนุ่มต้องการให้ยอดเขาจรัสตะวันตกพลิกกลับจากสภาพที่เสื่อมโทรมโดยสิ้นเชิง แล้วกลายเป็นผู้ทรงพลังและมั่งคั่งแทน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไม่ด้อยไปกว่ายอดเขาจรัสตะวันออก!

ภายในห้องไม้ที่ทำจากพฤกษาดาราม่วงอายุพันปี มีกลิ่นหอมสดชื่นจาง ๆ ที่ทำให้หัวใจรู้สึกสดชื่น และเงียบสงบ

เฉินซียืดร่างกายของเขาและรู้สึกสดชื่น ยอดเขาจรัสตะวันตกอ่อนแอมาเป็นเวลานานและการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน

ตอนนี้สิ่งที่ชายหนุ่มต้องทำก็คือ ขัดเกลาการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งของตน

โดยไม่รอช้าอีกต่อไป เขาพลิกมือเพื่อดึงแผ่นหยกและกลีบดอกไม้สีทองที่มีลวดลายแห่งเต๋านับไม่ถ้วนออกมา

ภายในแผ่นหยกนี้ได้บันทึกมรดกศาสตร์เต๋ากว่าสี่สิบเก้าเคล็ด ซึ่งได้รับมาจากยอดแท่นดอกบัว ในขณะที่กลีบดอกไม้สีทองคือ สัจธรรมสวรรค์ที่เต๋าบงกชมอบให้กับเขาด้วยตัวเอง และมันบันทึกความลึกล้ำทั้งหมดของคัมภีร์เก้าเรืองรองเอาไว้!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท