บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 610 ล้อมรอบด้วยวงแหวนเทวะ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 610 ล้อมรอบด้วยวงแหวนเทวะ

บทที่ 610 ล้อมรอบด้วยวงแหวนเทวะ

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

บนสนามประลอง เฉินซีก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับสร้างคลื่นสะเทือนแผ่ออกไป ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะปัดการโจมตีของอีกฝ่าย ทว่ายังผลักดันศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกจำนวนหลายสิบจนกระเด็นออกไปอีกด้วย

พวกเขาตกลงจากสนามประลองโดยตรง!

ศิษย์ทั้งหลายกระอักเลือดออกมาไม่หยุดเมื่อตกลงสู่พื้น สายตาที่จ้องมองเฉินซีเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แทบไม่อยากเชื่อว่าจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเฉินซีได้แม้แต่ครั้งเดียว

อิทธิฤทธิ์จากย่างก้าวในครั้งนี้ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และไม่เพียงแต่ไม่อาจปิดล้อมเฉินซีได้ เขายังทำลายทุกอย่างด้วยเพียงก้าวเท้าเดียว ทำให้บรรดาผู้คนต่างตะลึงงันเมื่อพบเห็น

ครืน! ครืน! ครืน!

เฉินซีก้าวออกไปในท้องนภา และทุกฝีเท้าที่เขาก้าวก็ได้สร้างเสียงกึกก้องดั่งกลองสงครามที่เทพอสูรทุบตี ทำให้ทุกคนตัวสั่นเทาจนวิญญาณของพวกเขาใกล้จะแตกเป็นเสี่ยง

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ตามเสียงฝีเท้าที่ก้าวลงมาคือกลิ่นอายน่าเกรงขามซึ่งกำลังเพิ่มทวีคูณ เมื่อเขาก้าวไปครั้งที่ห้า จู่ ๆ อักขระยันต์ก็ปรากฏขึ้นรอบกาย พวกมันประทับไปทั่วสวรรค์และปฐพี ทั้งยังสะท้อนไปกับกลิ่นอายของเขาที่แผ่ออก!

หากตั้งใจสังเกต อักขระยันต์เหล่านี้ต่างเผยให้เห็นรูปร่างความล้ำลึก ซึ่งควบแน่นเป็นรูปยันต์อักขระของมหาเต๋า

ตัวอย่างเช่น มหาเต๋าอัคคีที่แฝงด้วยแสงเปลวเพลิงซึ่งได้เปลี่ยนเป็นอักขระยันต์แห่งความเกรี้ยวกราดที่แผ่ความล้ำลึกของมหาเต๋าอัคคีจำนวนมหาศาล

อีกตัวอย่างคือ มหาเต๋าแห่งกระบี่ที่เปลี่ยนเป็นอักขระยันต์รูปทรงกระบี่ ซึ่งแผ่กลิ่นอายอันดุเดือดเลือดพล่านออกมา

นอกจากนี้ยังมีความล้ำลึกของมหาเต๋าหลากหลายอย่างเช่นหยิน หยาง อัสนี วายุ ดารา การกลืนกิน การทำลายล้าง และอีกมากมายที่ถูกสั่งการภายใต้มหาเต๋าแห่งยันต์อักขระ ซึ่งเป็นดั่งดวงตะวันที่เจิดจรัสนับพันดวง ซึ่งโคจรรอบกายของเขา

เมื่อมองจากไกล ๆ ดูเหมือนสนามประลองแห่งนี้ได้อาบไปด้วยประกายแสงของเฉินซี!

นี่คือพลังที่ก่อตัวขึ้นจากการที่เขาสั่งการเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ โดยอาศัยเต๋าแห่งยันต์อักขระหลังจากบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายา! มีเพียงความสามารถในการควบคุมเต๋ารู้แจ้งนี้เท่านั้นที่สามารถดึงพละกำลังทั้งหมดของเขาออกมาได้

แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่รูปร่าง แต่กลิ่นอายและปรากฏการณ์อันน่าสะพรึงกลัวของมันยังคงทำให้ผู้คนหวาดผวาจนม่านตาของพวกเขาหดตัว ต่างประหลาดใจสุดขีด!

“เด็กคนนี้ไม่ใช่ย่อยเลย! เขามาถึงจุดที่สามารถสั่งการเต๋ารู้แจ้งของตนได้! ซ้ำยังใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระเป็นเต๋าชี้นำ พรสวรรค์เยี่ยงนี้ช่างพิเศษยิ่งนัก!” ในระยะไกล ดวงตาของผู้อาวุโสเลี่ยเผิงผู้สูงส่งและทรงพลังก็ปะทุขึ้นพร้อมกับอัสนีพร่างพราว จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความยกย่องอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ใครก็ตามที่ได้รับการบ่มเพาะเช่นเขา คนผู้นั้นย่อมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพลังการสั่งการเต๋ารู้แจ้งนั้นเป็นตัวบ่งชี้ศักยภาพของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา และยังใช้ตัดสินความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะอีกด้วย

แม้ว่าเฉินซีจะเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายา แต่ด้วยความสามารถในการควบคุมเต๋ารู้แจ้งของเขาผนวกกับความช่วยเหลือจากศาสตร์เต๋าอันน่าเกรงขาม จึงสามารถกำจัดบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้อย่างง่ายดาย!

มันถึงขนาดที่ว่าหากต้องสู้กับผู้บ่มเพาะที่มีขอบเขตเหนือกว่าก็ยังมีโอกาสชนะได้!

ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของเยว่ฉือกลับหม่นหมองลง เขาเข้าใจแล้วว่าพลังที่เฉินซีเผยออกมาในตอนนี้นั้นน่าตกตะลึงเพียงใด และมันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ

ครืน! ครืน! ครืน!

บนสนามประลอง ก้าวของเฉินซีเป็นเหมือนฟ้าร้องที่ทำให้เกิดเสียงกระหึ่มดั่งคลื่นซัด มันกระจายออกไปทำให้พื้นที่โดยรอบถูกบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดี ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นคลื่นโหมกระหน่ำ

ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา ศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกอีกสิบกว่าคนไม่ทันได้ตั้งตัวและถูกระเบิดปลิวออกไปจากสนามประลอง พวกเขากระอักเลือดไม่หยุด อีกทั้งจิตวิญญาณของพวกเขายังได้รับบาดเจ็บ ทำให้ต้องนอนนิ่งกับพื้นด้วยท่าทางที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง

แม้ว่าจะเป็นเหลิ่งชิวกับผางโจวก็ตาม สีหน้าของพวกเขาก็ยังเคร่งเครียดเมื่อเห็นฉากนี้ พลังฝีเท้านี้น่ากลัวเกินคาด เห็นได้ชัดว่าเป็นเคล็ดวิชาที่น่ายำเกรงและทรงพลัง ดูเหมือนว่าทุกย่างก้าวของอีกฝ่ายจะสามารถทลายท้องนภา บดขยี้ห้วงมิติ และทำลายทุกสิ่งบนโลกได้

ทั้งสองคนไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้อีกต่อไปจึงเริ่มโจมตีแบบซึ่ง ๆ หน้า

“เคล็ดจักรพรรดิวิญญาณวายุ!” เหลิ่งชิวชกหมัดออกไป ทำให้เกิดพายุไร้ลักษณ์ที่โหมกระหน่ำก่อนจะกลายร่างเป็นวิญญาณจักรพรรดิสวมมงกุฎซึ่งพุ่งขึ้นไปสู่ท้องนภา ฉีกทะลุห้วงมิติพลางจู่โจมไปยังเฉินซี!

หมัดนี้เย็นเยียบ ร้ายกาจ และแผ่ซ่านไปทั่วทั้งพื้นที่ มันส่งเสียงคำรามราวกับพายุหิมะเย็นยะเยือกที่สั่นสะเทือนสวรรค์และปฐพี กระทั่งปกคลุมไปทั่วพื้นที่ แม้แต่คนที่อยู่โดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นพร้อมกับหวาดกลัว

“สะบั้นเปลวเพลิงสวรรค์!” ส่วนอีกด้านหนึ่ง ร่างของผางโจวฉายแสงสาดส่องบนท้องนภา พลางเปลี่ยนมือคล้ายดั่งกระบี่แหลมคมและฟันลงมา ส่งลำแสงเพลิงให้ปรากฏขึ้นในพื้นที่และแยกมิติออกจากกัน กระแสลมในอากาศถูกผลาญขณะที่มันลุกโชน เผยอำนาจอันน่าตกตะลึง

ทั้งสองคนใช้ศาสตร์เต๋าที่พวกเขาชำนาญมากที่สุดในขณะโจมตีใส่เฉินซีพร้อมกัน เพียงแค่แรงกระตุ้นจากการโจมตีของทั้งสอง ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้าราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง

ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ก้าวออกไปสองก้าว ซึ่งเป็นก้าวที่หกและเจ็ด ทำให้เสียงกัมปนาทพลันระเบิดออกมา มันฟังราวกับเสียงร้องของทหารนับไม่ถ้วนในสมรภูมิ และเสียงเข่นฆ่าที่มาจากห้วงนรก ทำให้ผู้คนสั่นเทาจนจิตใจเต็มไปด้วยความหวาดผวา

โครม!

การโจมตีต่าง ๆ เข้าปะทะกันและปะทุขึ้นด้วยประกายแสงเจิดจ้า พลังทำลายล้างที่ดูจะถล่มหุบเขาและแยกแผ่นดินท่วมท้นไปทั่วทั้งสนามประลองในทันที

ชั่วขณะนั้น กำแพงแสงที่มีขนาดมหึมาพลันปรากฏขึ้นบนสนามประลองและปกคลุมทุกสิ่ง ซึ่งหากไม่เป็นเช่นนี้ เห็นทีศิษย์ที่อยู่นอกสนามประลองคงจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้และบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว

ครืน! ครืน! ครืน!

ในชั่วพริบตาเดียว ร่างกว่าสิบร่างได้กระเด็นออกจากสนามประลองเหมือนว่าวที่ถูกตัดสายและร่วงหล่นไปไกลถึงพันจั้ง เลือดอาบไปทั้งร่างของพวกเขา ซ้ำยังร้องด้วยความเจ็บปวดไม่รู้จบ เนื่องจากกำลังทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บสาหัส

ทั้งหมดล้วนแต่เป็นศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออก และบางคนถึงขั้นสังเกตเห็นว่า นอกจากบรรดาศิษย์ที่ถูกระเบิดกระเด็นออกไป ก็มีเพียงแค่เหลิ่งชิวกับผางโจวที่ยังคงอยู่!

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวาและตกตะลึงจนพูดไม่ออก

มีเพียงเหลิ่งชิวกับผางโจวเท่านั้นที่ยังคงเหลือในบรรดาศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออก ในขณะที่ศิษย์คนอื่นซึ่งเข้าร่วมบททดสอบในครั้งนี้ถูกกำจัดไปหมดแล้ว! ซ้ำยังเกิดจากฝีมือของคนคนเดียว!

ใครจะคาดคิดได้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น?

“ไอ้สารเลว!” คิ้วของเยว่ฉือที่อยู่ในระยะไกลกระตุกอย่างรุนแรงในขณะที่มองไปยังบรรดาศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกที่ล้มลงกับพื้นและร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เขาไม่อาจหยุดสบถคำได้ ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าตัวกำลังสาปแช่งเฉินซีที่โหดร้ายทารุณ หรือสาปแช่งเหล่าลูกศิษย์ที่ไร้ประโยชน์กันแน่

“ศาสตร์เต๋าขั้นสูงสุด… เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล!” ข้างสนามประลอง เลี่ยเผิงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติของเยว่ฉือ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่สนามประลองในขณะที่พึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาอันแฝงไปด้วยความตกตะลึง

ควันฝุ่นฟุ้งกระจาย ก่อนที่ฉากบนสนามประลองจะถูกเปิดเผยต่อสายตาผู้คนอย่างชัดเจนอีกครั้ง

เหลิ่งชิวและผางโจวยืนเคียงข้างกันพร้อมแสดงสีหน้าเคร่งขรึมในขณะที่พลังชีวิตภายในร่างกายทวีคูณ พวกเขากำลังจะสะสมพละกำลัง และดูเหมือนแรงปะทะก่อนหน้านี้จะไม่ทำให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ตรงข้ามกับพวกเขา เสื้อของเฉินซีปลิวไสวไปกับสายลม ดวงตาจ้องเขม็งดั่งสายฟ้าฟาด หลังตั้งตรงดั่งหอกที่พร้อมจะทะลวงท้องนภา กลิ่นอายโออ่าและดุดันราวกับราชาที่ปกครองโลกา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ก็สร้างความกดดันมหาศาลให้แก่อีกฝ่าย

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากไม่ได้พบเจ้ามาสามเดือน พละกำลังของเจ้าก็มาถึงระดับนี้แล้ว เยี่ยมมาก ยิ่งคู่ต่อสู้ของข้าแข็งแกร่งเท่าใด ข้าก็จะยิ่งรู้สึกพึงพอใจมากเท่านั้น” ดวงตาของเหลิ่งชิวเย็นชาราวกับใบมีดในขณะที่จับจ้องไปยังเฉินซี ผู้คนที่รู้จักเหลิ่งชิวดีย่อมทราบว่าตอนนี้ เขาอยู่ในจุดที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดแล้ว เพราะการกระทำขณะนี้บ่งชี้แน่ชัดว่าเจ้าตัวต้องการจะสู้อย่างสุดกำลัง!

“ฮ่า ๆ ศิษย์น้องเฉินซี หลังจากนี้ข้าจะไม่อ่อนข้อให้แล้ว!” ผางโจวยิ้มบาง ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็ง ซึ่งเผยให้เห็นกลิ่นอายแห่งการสังหาร

ครืน!

เฉินซีไม่ได้กล่าวอะไรอีก อักขระยันต์รอบตัวของเขาโคจรราวกับวงแหวนเทวะที่ห่อหุ้มเขาไว้ ในชั่วอึดใจต่อมา ก่อนการต่อสู้เริ่มขึ้น… เขาก็ได้ย่างเท้าก้าวที่แปดแล้ว!

ทันทีที่ย่างเท้านี้ จิตสังหารลูกใหญ่พลันพวยพุ่งออกมา เต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารได้เปลี่ยนเป็นอักษร ‘乂’ ซึ่งปะทุขึ้นด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขต มันสะท้อนคู่กับจิตสังหารของชายหนุ่มจนก่อเป็นความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งมันก็มากพอที่จะกระตุ้นความสิ้นหวังในใจผู้คน ราวกับกระบี่จำนวนมหาศาลถาโถมลงมาจากเบื้องบน

ตัวอักษร ‘乂’ นี้ประกอบด้วยหนึ่งตวัดไปทางซ้ายและอีกหนึ่งตวัดไปทางขวา ซึ่งมาพร้อมกับเจตนาสังหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะนี่คือแก่นแท้แห่งการสังหาร ซึ่งเป็นแหล่งรวมทุกชีวิตที่ถูกเก็บเกี่ยว ในขณะนี้เมื่ออยู่ภายใต้คำสั่งเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซี มันจึงระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมา

สีหน้าของเหลิ่งชิวกับผางโจวในเวลานี้พลันกลับมาเคร่งขรึม พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ มันให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับภูผานับไม่ถ้วนที่กำลังกดทับพวกเขาจนหายใจแทบไม่ออกและสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลยิ่ง

“จักรพรรดิแยกวายุ สายลมแห่งโลกา!” ทันใดนั้น เหลิ่งชิวก็เริ่มตอบโต้ ทั่วทั้งร่างกายของเขากลายเป็นวิญญาณวายุในยุคโบราณ ซึ่งเป็นแกนกลางพายุที่ควบคุมแก่นแท้ของลม! …เพียงยกมือขึ้น พายุมากมายก็โหมกระหน่ำเข้ามาดั่งปีศาจสามพันตัวพร้อมกับส่งเสียงที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลการาวกับกำลังจะทำลายล้างโลก

ครานี้เขาใช้พลังต่อสู้เป็นสองเท่าด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมขอบเขตสมบูรณ์ที่เขาครอบครองอยู่! กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการโจมตีครั้งนี้เหมือนกับมีเหลิ่งชิวสองคนเคลื่อนไหวพร้อมกัน

“ฝ่ามือแยกนภามหาหยิน!” ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผางโจวก็ถูกบังคับให้ใช้ไพ่ตายเช่นกัน ร่างของเขาสว่างวาบ เปลวเพลิงทมิฬอันหายากและเดือดดาลพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือเรียวขาวก่อนจะถูกขว้างลงมา

โคร้ม!

คนทั้งสามปะทะกันอย่างจัง ทำให้ลำแสงยิงขึ้นไปสู่ท้องนภา ในขณะที่กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันแผ่กระจายไปพร้อมกับพายุที่ดุดัน ทั้งสนามประลองดูราวกับว่ากำลังจะถูกลบล้าง ฉากอันน่าสะพรึงกลัวแห่งความโกลาหลและความพังพินาศเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง

การปะทะกันในครั้งนี้ทำให้สวรรค์และปฐพีสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง เคล็ดวิชาที่มีอิทธิฤทธิ์น่าสะพรึงกลัวและปรากฏการณ์ที่ไร้ที่สิ้นสุดนี้กำลังบ่งชี้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสามคนนี้น่าเกรงขามเพียงใด

พลังเช่นนี้ทำให้ศิษย์หลายคนตกใจและรู้สึกด้อยค่าว่า ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากเพียงใด มันก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะไปถึงขั้นนี้ได้

ทั้งอันเวยและเซี่ยอี้ต่างตกตะลึงอยู่หลายครั้ง พวกเขาคิดในใจว่าควรจะรับมือกับการโจมตีของทั้งสามคนนี้อย่างไรดี หากต้องเข้าร่วมการต่อสู้?

แม้แต่เลี่ยเผิงเองก็ยังหรี่ตาลงเมื่อเห็นฉากนี้ เพราะเขาทราบอย่างชัดเจนอย่างยิ่งว่า หากเป็นตัวเองเมื่อหลายปีก่อน อานุภาพคงจะไม่น่าสะพรึงกลัวเท่ากับเด็กหนุ่มเหล่านี้อย่างแน่นอน

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือในบรรดาผู้ที่มีอายุเท่ากัน พลังที่แสดงออกมาของเฉินซีและอีกสองคนนั้นเพียงพอที่จะสยบผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาส่วนมากได้!

เฉินซีซึ่งอยู่บนสนามประลองในเวลานี้ก็ส่งเสียงอู้อี้ เขาถูกกดด้วยพลังมหาศาลและต้องต้านทานกับแรงกดดันอยู่ตลอดเวลา ทว่าสุดท้ายก็ยังมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

“อันใดกัน! ผู้ที่น่าเกรงขามอย่างเฉินซีได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีนี้อย่างนั้นหรือ?” ทุกคนที่อยู่นอกสนามประลองต่างตกตะลึง บางคนไม่อาจหยุดที่จะร้องออกมาด้วยความตกใจ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท