บทที่ 611 กลิ่นอายผ่าเผยอันไร้ที่เปรียบ
บทที่ 611 กลิ่นอายผ่าเผยอันไร้ที่เปรียบ
ทุกคนต่างตกตะลึงที่การโจมตีผสานของเหลิ่งชิวกับผางโจวทำให้เฉินซีได้รับบาดเจ็บ!
“นั่นคือพลังต่อสู้สองเท่า! ศิษย์พี่เหลิ่งชิวได้บรรลุมหาเต๋าวายุไปสู่ขอบเขตสมบูรณ์แล้ว!”
“ศิษย์พี่ผางโจวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน อานุภาพของการฟันเมื่อครู่ได้หลอมรวมมหาเต๋าแห่งหยินและมหาเต๋าแห่งอัคคี ทำให้เกิดพลังรุนแรงและน่าอัศจรรย์เช่นเดียวกัน!”
“ใช่แล้ว ข้าไม่อาจจินตนาการได้ว่า จะมีใครที่มีฐานการบ่มเพาะในระดับเดียวกัน ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีผสานของศิษย์พี่เหลิ่งชิวและศิษย์พี่ผางโจวได้”
บางทีนี่อาจเป็นคำอธิบายที่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ทุกคนกังวล ไม่ว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีจะท้าทายสวรรค์เพียงใด แต่เขาก็มีเพียงคนเดียว นอกจากนี้ ชายหนุ่มเพิ่งบ่มเพาะศาสตร์เต๋าได้ไม่ถึงสามเดือน ดังนั้นเขาจึงด้อยกว่าผางโจวและเหลิ่งชิวไปโดยปริยาย
ครืนนน!
บนสนามประลอง หลังจากประสบความสำเร็จในการโจมตี ผางโจวกับเหลิ่งชิวก็ไม่ลังเลที่จะโจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างดุเดือดอีกครา
เหลิ่งชิวเป็นเหมือนราชาพายุที่เกรี้ยวกราด เย็นชาและโหมกระแสลมอย่างไร้ขอบเขต เขาเป็นดั่งพายุที่เขย่ามหาสมุทรและพัดพาไปทั่วโลกด้วยพลังอันไร้เทียมทาน
ส่วนร่างของผางโจวกลับเป็นสีแดงเพลิง กลิ่นอายของเขาน่าสะพรึงกลัวราวกับว่าเขากลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงเข้ม มือของเขาดูราวกับว่ากำลังถือเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเผาผลาญมิติและหลอมละลายทุกสิ่งอย่างรอบกาย!
การโจมตีของพวกเขาครั้งนี้เหมือนกับเหยี่ยวที่โฉบลงมาจากเวหาและอินทรีที่พุ่งลงมาจากนภา ทั้งคู่ต่างคว้าโอกาสเอาไว้อย่างเหนียวแน่นและโจมตีอย่างดุเดือดในชั่วพริบตา อีกทั้งยังไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาต้องการที่จะบดขยี้เฉินซีให้สิ้นซาก นอกจากนี้ กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาก็น่าสะพรึงกลัวและดุดัน ทำให้หัวใจและความคิดของทุกคนสั่นไหว
ตึง!
เลือดไหลออกจากมุมปากของเฉินซี แต่เขาก็ไม่ได้ถอย ร่างของชายหนุ่มกลับเป็นดั่งภูผาที่ไม่ขยับเขยื้อน และเขาได้ก้าวเท้าก้าวที่เก้าตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น!
ในตอนนี้ ทุกคนดูจะได้ยินเสียงคำรามของมังกรและเสียงร้องของวิหคอมตะ มันเหมือนกับเสียงสวดของเทพเจ้าที่ดังก้องอยู่ในสวรรค์ทั้งเก้า ในขณะที่แสงอันไร้ขอบเขตก็ปะทุออกมาจากใต้เท้าของชายหนุ่ม และสาดส่องออกไปเหมือนสายฝน ก่อนจะกลายเป็นอักขระยันต์ที่ไร้ขอบเขต ซึ่งควบแน่นเป็นรูปดอกบัวจำนวนมากที่เป็นผลึกเหมือนหยกสีดำและกระจายออกไปโดยรอบ
เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล… ก้าวที่เก้า พิภพโกลาหล!
ดอกบัวที่ใสเป็นผลึกเหมือนหยกดำจำนวนมาก ถูกควบแน่นจากเจตนาฆ่าที่ทรงพลัง เมื่อดอกบัวทั้งหมดผลิบานในเวลานี้ พวกมันทำให้เฉินซีดูเหมือนดั่งจักรพรรดิที่ทำให้ดอกบัวผลิบานในทุกย่างก้าวที่เดิน และเขาก็มีกลิ่นอายที่ดุดันอย่างไร้ที่เปรียบ!
ตู้ม!
ทันทีที่ก้าวออกไป เจตนาฆ่าก็พุ่งออก ในขณะที่ดอกบัวสีดำเป็นเหมือนนรกที่ปิดผนึกบริเวณโดยรอบ โดยตั้งใจทำให้ท้องฟ้าตกอยู่ในความโกลาหลและแตกเป็นเสี่ยง!
เพียงแค่การโจมตีครั้งนี้ก็ทำลายการโจมตีทั้งหมด อีกทั้งยังระเบิดใส่เหลิ่งชิวกับผางโจวที่กำลังบินอยู่ พวกเขาเป็นประหนึ่งว่าวที่สายป่านขาด และแทบจะกระเด็นออกจากสนามประลองไป
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทำให้ทุกคนตกใจสุดขีดอีกครั้ง เพราะเฉินซีได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ และทุกคนต่างคิดว่าเขาย่อมพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไหนเลยพวกเขาจะคาดคิดได้ว่า เพียงแค่กระบวนท่าเดียว เหลิ่งชิวกับผางโจวผู้ครอบครองกลิ่นอายอหังการที่ทะยานสู่ท้องฟ้าดุจสายรุ้งพาดผ่านโลก กลับได้รับบาดเจ็บเช่นนี้!
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มันก็ทำให้ดวงตาของพวกเขาพร่ามัว ผู้ชมบางคนถึงกับมองไม่ออกด้วยซ้ำว่า ใครเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ในขณะนี้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจโต้แย้งได้ เพราะความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นน่าสะพรึงอย่างแท้จริง และมันได้เกินความคาดหมายของทุกคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้พวกเขาไม่กล้ายืนยันว่า ความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายยังไม่เปิดเผยออกมานั้นยังมีอยู่อีกเท่าใดกัน!
“เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล นี่เขาใช้มันได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ…?” เลี่ยเผิงที่อยู่ห่างออกไปพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา
ถึงแม้เขาจะไม่ได้บ่มเพาะเคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล แต่ก็เคยเห็นมันมาก่อนในอดีต มันเป็นศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดที่มีความสามารถในการสังหารที่สูงมาก อีกทั้งยังบ่มเพาะได้ยากยิ่ง ทว่าเฉินซีกลับบ่มเพาะมันจนถึงระดับดังกล่าวได้ภายในสามเดือน ดันนั้นเลี่ยเผิงจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เลือดไหลออกจากมุมปากของผางโจวและเหลิ่งชิว แต่มันก็หายวับไปในชั่วพริบตา ในขณะที่ความตกใจและความจริงจังก็ฉายบนใบหน้าของพวกเขา จากนั้นแววตาของคนทั้งคู่ก็กลับมาเฉยเมย และพวกเขาพากันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโจมตีเฉินซีอีกครั้ง
ปัง!
เสียงของเต๋าดังกึกก้องออกไป ทันใดนั้น เงาร่างของจักรพรรดิสวมมงกุฎได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเหลิ่งชิว มันมีกลิ่นอายศักดิ์ศรีอันสูงส่งราวกับผู้เกิดใหม่ และสามารถดูถูกดูแคลนทุกสรรพสิ่งในโลกา
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ร่างกายของผางโจวกลับดูจะลุกเป็นไฟ จากนั้นเปลวไฟที่สว่างไสวก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลิ่นอายที่ผ่าเผยของเขามาถึงจุดสูงสุด อีกทั้งยังเกรี้ยวกราดและดุร้าย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ทั้งคู่ต่างตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่อาจปกปิดพลังได้อีกต่อไปและมีเพียงทุ่มพลังออกไปทั้งหมดเท่านั้น จึงจะสามารถบดขยี้ศัตรูที่แข็งแกร่ง ซึ่งอยู่ตรงหน้าของพวกเขาได้!
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีก็ทุ่มพลังออกไปอย่างเต็มที่เช่นกัน ร่างของเขาสว่างวาบและปกคลุมด้วยวงแหวนแสงศักดิ์สิทธิ์ อักขระยันต์กระบี่มากมายที่โบราณเก่าแก่และดุร้ายพากันปรากฏขึ้นรอบตัว ทำให้กลิ่นอายผ่าเผยของชายหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
แม้แต่ท้องฟ้าที่อยู่เหนือเขาก็ยังสลัวลงเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเขากำลังสะสมพลังด้วยความตั้งใจที่จะฟันออกไปด้วยเคล็ดกระบี่ที่สั่นสะท้านโลก เคล็ดกระบี่ที่ทำลายล้างทั้งอดีต อนาคตและฝังโลกทั้งใบ!
หากกล่าวว่าเฉินซีนั้นยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเหมือนราชาผู้ปกครองโลก เพียงแค่แกว่งมือก็ทำให้เลือดหลั่งไหลเป็นลำธาร
เขาในเวลานี้เป็นเหมือนราชาเต๋ากระบี่ที่อยู่ยงคงกระพันและดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังเผยให้เห็นแก่นแท้ของมหาเต๋าแห่งกระบี่อย่างชัดเจน
“นี่มัน…” ทุกคนต่างหน้าซีดด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า กลิ่นอายอันผ่าเผยของชายหนุ่มจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้ว่ามันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่ความรู้สึกฆ่าฟันและความรู้สึกดุร้ายที่เล็ดลอดออกมายังคงทำให้ผู้คนตื่นตกใจกลัว
“ฆ่า!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในกลิ่นอายของเฉินซี เหลิ่งชิวกับผางโจวก็หรี่ตาลง ก่อนที่พวกเขาจะตะโกนออกมาอย่างดุดัน และเปิดฉากโจมตีด้วยพลังทำลายล้างอย่างมั่นใจ ทำให้เกิดพายุพัดโหมออกไป ในขณะที่คลื่นเปลวเพลิงก็พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า และมันก็น่ากลัวยิ่ง!
ในเวลาเดียวกัน มือของเฉินซีก็สะบัดไปมาซ้ำ ๆ ทำให้เกิดปราณกระบี่ดุร้ายจำนวนมากที่มีความยาวสิบสองจั้ง ซึ่งไขว้ตัดกันเป็นรูปกากบาทไปทั่วท้องฟ้า ด้วยความตั้งใจที่จะทำลายล้างทุกสิ่งและฝังทุกสิ่งในโลกนี้ไว้
ครืนน!
เกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ที่สั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พายุส่งเสียงร้องคำราม ในขณะที่ทะเลเพลิงก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และปราณกระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ก็กวาดออกไปทุกทิศทุกทาง ทำให้สนามประลองสั่นไหวอย่างรุนแรงและดูเหมือนว่ามันกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ทุกคนในยอดเขาสัประยุทธ์ต่างประหลาดใจ สนามประลองต่อสู้ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นจากวัตถุพิเศษ อีกทั้งยังมีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ทรงพลัง ซึ่งผู้ทรงอำนาจในนิกายเป็นผู้วางเอาไว้ ทำให้พวกมันสามารถต้านทานการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีได้
แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมีรอยแตกเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนฐานหินของสนามประลอง และมันก็เหมือนกับใยแมงมุมที่แผ่กระจายออกมาอย่างน่าตกตะลึง!
“ตลอดการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสที่ผ่านมาหลายครั้งหลายหน การต่อสู้ที่น่ากลัวเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง!” มีคนอุทานด้วยความชื่นชมและทึ่งจากใจจริง
“ศิษย์น้องเฉินซี ช่างแข็งแกร่งจริง ๆ” เมื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาของเซี่ยอี้จากยอดเขาจรัสใต้ที่มักจะเงียบเหมือนก้อนหิน ก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งการต่อสู้
เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอันเวยที่อยู่อีกฟากหนึ่ง แต่เจ้าตัวก็สังเกตเห็นเพียงเรือนผมที่พลิ้วไปตามสายลมของนาง ส่วนใบหน้าที่สวยงามของหญิงสาวกลับสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการตกใจมากนัก ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาก็สงบสติอารมณ์และมองไปที่สนามประลองอีกครั้ง
“ฆ่า!”
เฉินซีต่อสู้กับเหลิ่งชิวและผางโจวอยู่บนสนามประลอง และพวกเขาก็พุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกเขาก็ประมือกันอย่างรุนแรงมากกว่าพันครั้ง และต่อสู้กันจนฟ้าดินสั่นสะเทือน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทอดตัวเป็นเงา มิติโดยรอบสั่นสะเทือน พวกเขาทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหลและพังทลาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังรวดเร็วจนทุกคนตามไม่ทัน!
“ช่างน่ากลัวเหลือเกิน! การต่อสู้เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และน่าตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!”
ท่ามกลางเสียงพูดคุยที่แผ่วเบาจากทุกคนที่อยู่ที่นี่ พวกเขาต่างรู้สึกว่า การมาชมการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสนั้นคุ้มค่า เพราะการได้สังเกตการต่อสู้ในระดับนี้จะมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของพวกเขาอย่างมาก
“เมื่อการต่อสู้นี้สิ้นสุดลง ข้าสงสัยนักว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะและใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”
“ข้าว่าศิษย์พี่เหลิ่งชิวกับศิษย์พี่ผางโจวเป็นฝ่ายที่มีโอกาสได้รับชัยชนะมากกว่า เพราะพวกเขากำลังต่อสู้กับศัตรูเพียงคนเดียว และถ้าพวกเขาต่อสู้จนถึงที่สุด เฉินซีอาจพ่ายแพ้เนื่องจากพลังหมดลง”
“มันก็พูดได้ยาก เพราะศึกยังไม่จบ! แม้ว่าศิษย์พี่เฉินซีจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ชื่อเสียงของเขาจะไม่เสียหายแม้แต่น้อย อีกทั้งชื่อเสียงของเขาจะยังพุ่งทะยานเป็นประวัติการณ์และเป็นดั่งพระอาทิตย์บนท้องฟ้ายามเที่ยงในบรรดาศิษย์ชั้นสูง เพราะเขาได้เผชิญหน้ากับเหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกทั้งหมดเพียงลำพัง ดังนั้นจะมีสักกี่คนที่มีฝีมืออหังการเช่นนี้ได้?
การต่อสู้ได้ดำเนินมาถึงจุดนี้ แต่ทุกคนก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า ฝ่ายใดจะมีโอกาสชนะมากกว่ากัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความแข็งแกร่งอันร้ายกาจที่เฉินซีได้เผยออกมาในวันนี้ จะต้องตราตรึงอยู่ในใจของทุกคน และมันจะไม่เลือนหายไปอีกนานแสนนาน
“เคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภา… นี่มันศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดอีกเคล็ดหนึ่ง…” สิ่งที่ชายหนุ่มเผยออกมามากมายนั้น ได้เกินความคาดหมายของทุกคน ทำให้เลี่ยเผิงตกตะลึงจนใบหน้าของเขารู้สึกชาเล็กน้อย เพราะตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ตั้งแต่ม่านเงาทองปทุมม่วง เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล และเคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภาในปัจจุบัน…
ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดที่มีพลังสั่นสะเทือนฟ้าดิน แม้ว่าจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สูงมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยากเช่นเดียวกับการเชี่ยวชาญในศาสตร์เต๋าเหล่านี้ภายในเวลาไม่กี่ปี
แต่เฉินซีกลับเชี่ยวชาญศาสตร์เต๋าทั้งสามเคล็ดได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แค่สามเดือน!
แล้วจะไม่ทำให้เลี่ยเผิงตกใจได้อย่างไร?
ซึ่งนี่เป็นเพียงศาสตร์เต๋าที่เขาเห็น และเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า อีกฝ่ายจะเชี่ยวชาญศาสตร์เต๋ามากกว่านี้หรือไม่…
ปัง!
เฉินซีใช้เคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภาที่น่าสะพรึงกลัวอย่างสงบและไม่เร่งรีบ โดยขณะเดียวกันเขาก็โคจรแดนฮุ่นตุ้นที่อยู่ภายในร่างกายจนถึงขีดสุดไปด้วย
พรวด! พรวด!
เหลิ่งชิวและผางโจวพากันกระอักเลือดออกมาเต็มปาก เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บจากปราณกระบี่ที่ดุร้ายนี้
“หรือว่าใกล้จะตัดสินผู้ชนะแล้ว?” มีคนอุทานด้วยความตกใจ
“เป็นไปไม่ได้! ศิษย์พี่เหลิ่งชิวกับศิษย์พี่ผางโจวจะไม่พ่ายแพ้เช่นนี้อย่างแน่นอน”
“ถูกต้องแล้ว จนกว่าจะถึงที่สิ้นสุด ย่อมไม่มีใครสามารถตัดสินผลโดยพลการได้ เพราะหากศิษย์พี่เหลิ่งชิวกับศิษย์พี่ผางโจวสามารถปรับตัวเข้ากับจังหวะการต่อสู้ของเฉินซีได้ บางทีอาจถึงเวลาที่พลิกสถานการณ์แล้ว”
หลังจากเห็นทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ คนส่วนใหญ่ต่างแสดงสีหน้าไม่เชื่อ เพราะพวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่า เหลิ่งชิวและผางโจวที่เป็นหนึ่งในยอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้ากลับได้รับบาดเจ็บภายใต้การต่อสู้กับศัตรูแบบสองต่อหนึ่ง!
“เฉินซี ศาสตร์เต๋าของเจ้านั้นแข็งแกร่งจริง ๆ แต่ถ้าเจ้ามีความสามารถเพียงน้อยนิดอย่างที่แสดงออกมา วันนี้เจ้าจะต้องพ่ายแพ้แน่!” เหลิ่งชิวเช็ดเลือดที่มุมปากของเขา ในขณะที่เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เขากำลังพูดความจริง การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของศาสตร์เต๋าของเฉินซี และการใช้เคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภาอย่างฉับพลันทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว แต่ตอนนี้เหลิ่งชิวปรับตัวเข้ากับสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว และนี่คือจังหวะโต้กลับในครั้งต่อไป!
ครืนนน!
ทันทีที่พูดจบ พายุก็พัดโหมกระหน่ำรอบตัวของเหลิ่งชิว ก่อนที่มันจะรวมตัวกันเป็นใบมีดโปร่งแสงนับไม่ถ้วน ซึ่งแฝงไปด้วยปราณวิญญาณ จากนั้นเขาก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะก่อกระแสวังวนสั่นสะเทือนระหว่างฝ่ามือและนิ้วมือของเขา ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ปล่อยพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวออกมาเพื่อทำลายล้างทุกสิ่ง
นี่เป็นกระบวนท่าทำลายล้างกระบวนท่าหนึ่งและเป็นกระบวนท่าต้องห้ามในเคล็ดจักรพรรดิวิญญาณวายุ ว่ากันว่า หากสามารถบ่มเพาะจนเชี่ยวชาญอย่างถ่องแท้แล้ว พลังของมันก็เพียงพอที่จะบดขยี้เทพอสูรที่แท้จริงให้ตายได้!
อีกด้านหนึ่ง ผางโจวก็เคลื่อนไหวเช่นกัน ทั่วทั้งร่างของเขาเปล่งประกายไฟที่เหมือนพระอาทิตย์แผดเผา และเขาดูเหมือนกับเทพเจ้าที่ถือกำเนิดจากทะเลหินหลอมเหลว จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าหาเฉินซีราวกับลำแสงสุริยันที่ลุกโชน
“ร่วงลงไปซะ!” แต่ทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหว เฉินซีก็พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงสุด และรอบ ๆ ตัวชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยคลื่นนับพันนับหมื่นราวกับมหาสมุทรกำลังถาโถม และเงาฝ่ามือก็ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ทำให้พลังพุ่งขึ้นสูงราวกับระเบิด!
อานุภาพซึ่งมีแรงกระตุ้นที่รุนแรงอย่างไม่มีใครเทียบได้ของมันแตกต่างเมื่อเทียบกับเคล็ดเต๋าแห่งกระบี่ก่อนหน้านี้ มันเป็นอานุภาพที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับมหาสมุทรหรือก้นบึ้งที่ไร้ขอบเขต ชนิดที่ว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่สามารถต้านทานมันได้!!
“ฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพ!” เลี่ยเผิงเกือบอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา “นี่เขาได้เชี่ยวชาญศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดไปกี่เคล็ดกันแน่?”
นี่สหายน้อยผู้นี้มีศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดกี่ตัวกันแน่?