บทที่ 623 ธนูเบญจธาตุ
บทที่ 623 ธนูเบญจธาตุ
ในตอนนี้ เฉินพลันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า บนยอดเขาจรัสเทวะแห่งนี้ ยิ่งใครแข็งแกร่ง คนอื่นก็จะยิ่งเกรงกลัว ในขณะที่พวกคนซึ่งอ่อนแอกว่าก็จะยิ่งถูกรังแกและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
การแข่งขันระหว่างศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นโหดร้ายมาก และมันก็เหมือนกับเปลวไฟแห่งการชำระล้าง ผู้แข็งแกร่งจะอยู่รอด ส่วนผู้อ่อนแอจะถูกลดขั้นจนกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น หากใครไม่สามารถทนได้ ก็สามารถเลือกที่จะจากไป แล้วมุ่งหน้าไปยังลานชั้นในหรือลานชั้นนอกเพื่อเป็นผู้อาวุโส ซึ่งสามารถบ่มเพาะและเข้าใจเต๋าได้ตามปกติ แต่ความสำเร็จของคนผู้นั้นจะหยุดลงอยู่เพียงแค่นี้ และสูญเสียวาสนาที่จะกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริง
ท้ายที่สุด การเติบโตของผู้เยี่ยมยุทธ์นั้นไม่อาจทำได้ หากปราศจากเลือดและไฟ เพราะหากคนผู้นั้นไม่สามารถอดทนต่อการแข่งขันในระดับนี้ได้ แล้วจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงสุดยอดอำนาจกับฟ้าดินหรือต่อสู้กับมหาเต๋าได้อย่างไร?
เช่นเดียวกับหั่วโม่เลยของยอดเขาจรัสตะวันตกและคนอื่น ๆ ถึงแม้การบ่มเพาะของพวกเขาจะสูงมาก แต่พวกเขากลับไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับการปกป้องจากวิปลาสหลิ่วและการช่วยเหลือของเฉินซี พวกเขาคงถูกกำจัดออกจากสนามแข่งขันนี้ไปนานแล้ว
หลังจากไตร่ตรองทุกอย่างแล้ว หากใครต้องการเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ การบ่มเพาะก็คือรากฐาน และมันไม่สามารถทำได้หากปราศจากการแข่งขันและการขัดเกลา
เหตุผลที่การแข่งขันระหว่างศิษย์ชั้นยอดของยอดเขาจรัสเทวะนั้นโหดร้ายเป็นอย่างมาก ก็เพราะตัวตนระดับสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เพื่อชำระทรายและขัดเกลาให้ได้อัจฉริยะที่แท้จริง เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถเป็นเสาหลักที่สามารถแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ได้
“ศิษย์พี่ใหญ่หวังจ้งฮ่วน! โปรดช่วยพวกเราด้วยเถิดขอรับ!” ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกที่ถูกเฉินซีกักขังด้วยแสงที่เหมือนกับโซ่นั้น ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่และพวกเขาก็ร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้
ครืนนน!
ในเวลานี้ เสมือนกับมีคนได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ บรรยากาศเหนือท้องฟ้าต่างสั่นสะเทือนเป็นเสียงโครมคราม คล้ายดั่งเสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้อง จากนั้นกลุ่มภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงกับเส้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดสีชาดก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของเขาสั่นสะท้าน พร้อมสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่เหมือนกับเหวลึก ซึ่งถาโถมลงมาด้วยความตั้งใจที่จะบดขยี้ตนเองให้พินาศสิ้น และมันก็อหังการถึงขีดสุด!
ชายหนุ่มกวาดสายตามองขึ้นไปบนท้องนภา
เขาสังเกตเห็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองกำลังยืนอย่างภาคภูมิท่ามกลางท้องฟ้าอันไกลโพ้น รูปร่างของอีกฝ่ายผอมบาง มีใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ผมสีทองหนาดกของเจ้าตัวก็พลิ้วไหวตามสายลม ทำให้ตัวคนดูเหมือนกับบุตรแห่งอีกาทองคำที่หยิ่งยโสและกดขี่ มีลักษณะที่ดูแคลนสรรพสิ่งบนโลกใบนี้!
“คนผู้นี้คือหวังจ้งฮ่วนหรือ?”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เขารำลึกถึงคำพูดของลั่วเชี่ยนหรงก่อนหน้านี้
คนผู้นี้มีวาสนาชั้นยอด มีโชคลาภที่มหาศาล มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม และยังได้รับความเมตตาจากผู้อาวุโสอีกด้วย
อารมณ์ของเขาดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบได้ แม้ว่าจะเพิ่งเข้าสู่ยอดเขาจรัสเทวะเมื่อสิบสามปีก่อน แต่คนคนนี้ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในหมู่ศิษย์ชั้นยอด และมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือ หวังจ้งฮ่วนนั้นครอบครองสมบัติอมตะที่แท้จริง!
ตามตรรกะแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถดึงพลังที่แท้จริงของสมบัติอมตะออกมาได้ด้วยพลังบ่มเพาะในปัจจุบัน แต่ถ้าเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน มันก็นับเป็นอาวุธทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
เดิมที เฉินซีคิดว่า ‘ศิษย์พี่เนี่ย’ และคนอื่น ๆ มายั่วยุเขาเพราะการยุยงของอวิ๋นเยี่ย แต่การปรากฏตัวของหวังจ้งฮ่วน ทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่า ตนประเมินศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกเหล่านี้ต่ำเกินไป!
ก่อนหน้านี้ ลั่วเชี่ยนหรงตั้งใจจะจัดที่พำนักของเขาให้อยู่บนเส้นชีพจรวิญญาณจรัสทมิฬ แต่มันก็จบลงด้วยความล้มเหลว เหตุผลก็คือที่พำนักว่างเปล่าทั้งสามแห่งบนเส้นชีพจรวิญญาณจรัสทมิฬถูกหวังจ้งฮ่วนยึดครองเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังได้กระจายข่าวออกไปว่าเขาจะสงวนมันไว้ให้แก่เหลิ่งชิว ผางโจว และตู้เซวียน
ทว่าตอนนี้เหลิ่งชิวและคนอื่น ๆ ได้พ่ายแพ้ให้กับเฉินซีในระหว่างการทดสอบแห่งยอดเขาจรัส ทำให้พวกเขาหมดสิ้นวาสนาต่อการเป็นศิษย์ชั้นยอด หากว่ากันตามเหตุผล เรื่องนี้ก็ควรจะปล่อยผ่านไปเช่นนั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหวังจ้งฮ่วนจะรู้สึกว่าเฉินซีทำให้แผนการของเขาเสียไป และไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไป แม้ว่าชายหนุ่มจะย้ายไปที่เส้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดสีชาดแล้วก็ตาม ถึงขนาดที่ว่าเขายังคงไล่ตามเฉินซีต่อไป และการกระทำที่ว่านี้มันก็เกินไปจริง ๆ!
“เฉินซี! ศิษย์ใหม่อย่างเจ้ากลับกล้าขัดความประสงค์ของข้าและฉีกหน้าศิษย์น้องที่ข้าส่งมาเช่นนี้หรือ? นี่เจ้ารู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังท้าทายศักดิ์ศรีของข้าด้วยการกระทำเช่นนี้!?” เสียงของหวังจ้งฮ่วนที่สวมชุดคลุมสีทองดังขึ้นจากฟากฟ้า แม้เสียงของเขาจะยังดังไม่พอที่จะกระจายไปทั่วบริเวณนี้ แต่มันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกถึงศักดิ์ศรี ความเย่อหยิ่ง และความจองหอง ราวกับผู้สืบทอดของเทพเจ้าที่จุติลงมายังโลก
“ความประสงค์ของเจ้า? หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเทพเซียนหรือไร?” เฉินซีกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แต่กลับกล้ากล่าวอย่างเย่อหยิ่งและบงการให้ทุกอย่างเป็นดั่งที่เจ้าต้องการ หรือว่าเจ้าคิดจะยึดสถานที่แห่งนี้ให้เป็นบ้านของตัวเอง?”
“บังอาจ! เจ้าทำให้ศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันออกของข้าต้องอับอายขายหน้า แต่กลับไม่รู้จักสำนึกและยังกล้ากล่าววาจายอกย้อน ดูเหมือนวันนี้ข้าจะต้องลงโทษเจ้าเสียแล้ว!” ถึงแม้เสียงของหวังจ้งฮ่วนจะไม่ดัง แต่กลับให้ความรู้สึกที่เย็นชาและน่าสะพรึงกลัว
“นี่เจ้ากำลังโยนความผิดให้ข้าหรือ? เจ้าควรรู้ว่าเป็นพวกเขาที่ยั่วยุข้าก่อน” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย แต่กลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย และท่าทีของชายหนุ่มก็ยังคงสงบนิ่ง
“หึ แล้วอย่างไร? ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลอะไร ศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกอย่างข้าเท่านั้นที่สามารถจัดการกับยอดเขาจรัสตะวันออกของข้าได้ แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?” หวังจ้งฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทุกคำพูดของเขากลับเผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งและการดูถูกเหยียดหยาม
“โอ้? เช่นนั้นหรือ?” เฉินซีเพียงยิ้มออกมา ก่อนที่จะเงื้อมือขึ้นและกดลงไป ทำให้ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกเหล่านั้นส่งเสียงร้องโหยหวนทันที ในขณะที่ร่างกายของพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างควบคุมไม่ได้ และท่าทางของคนกลุ่มนี้ก็น่าสังเวชยิ่ง
นี่เทียบเท่ากับการใช้การกระทำเพื่อบอกเป็นนัยแก่หวังจ้งฮ่วนว่า ‘ต่อให้พวกมันเป็นศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกของเจ้า แล้วจะทำไม? เพราะพวกมันกล้ารุกรานข้าเฉินซี พวกมันจึงต้องคุกเข่าลงกับพื้นและทนทุกข์กับการถูกลงโทษเช่นเดียวกัน!’
“นี่เจ้า… ช่างรนหาที่ตายนัก!” หวังจ้งฮ่วนตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ระเบิดความเดือดดาลและดึงคันธนูหลากสีขนาดใหญ่ออกมา ทันทีที่มันปรากฏขึ้น กลิ่นอายที่อธิบายไม่ได้พลันปรากฏขึ้นในฟ้าดิน จากนั้นวิญญาณของสัตว์ร้ายห้าตัวที่อาบไปด้วยสีของธาตุทั้งห้า ก็พากันส่งเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์!
“ฟู่!” เสียงหายใจดังก้องออกไปในระยะไกล โดยไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด ภายในบริเวณใกล้เคียงของเส้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดสีชาด จึงเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่กำลังเฝ้าดูอยู่ และพวกเขาต่างก็แสดงความตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหวังจ้งฮ่วนดึงคันธนูนี้ออกมา
“สมบัติกึ่งอมตะ… ธนูเบญจธาตุ!”
“จากข่าวลือ ธนูคันนี้หลอมขึ้นจากเส้นเอ็นของสัตว์ร้ายห้าชนิด ได้แก่ พยัคฆ์คำรณ อสรพิษทะยานฟ้า มดสัมฤทธิ์ วานรหางชาด และพังพอนวายุวารี ซึ่งล้วนมีธาตุทั้งห้า ทันทีที่มันถูกใช้งาน ธาตุเหล่านั้นจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้พลังของมันน่าสะพรึงกลัวสุดขีด”
โอม!
หวังจ้งฮ่วนวางมือลงบนคันธนู ก่อนจะน้าวสายเบา ๆ จนคันธนูมีรูปลักษณ์เหมือนกับพระจันทร์เต็มดวง มันเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่ส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน ยิ่งกว่านั้น เสียงคำรามของพยัคฆ์และมังกรก็ดังก้องออกมาจากมัน ซึ่งได้ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ภายในแสงที่เจิดจ้า ทำให้ตัวคนคล้ายมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าอัศจรรย์!
ใบหน้าของเฉินซีพลันกลายเป็นเคร่งขรึม ก่อนที่ปราณแท้จะพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายของเขาและเปล่งประกาย ชายหนุ่มจ้องมองไปยังหวังจ้งฮ่วนซึ่งอยู่บนอากาศอันไกลโพ้นและพร้อมที่จะต่อสู้ เนื่องจากคนผู้นี้สามารถเป็นอันดับต้น ๆ ของศิษย์ชั้นยอดได้ ความแข็งแกร่งของเขาจึงไม่ธรรมดา และอีกฝ่ายได้ดึงธนูที่เป็นสมบัติกึ่งอมตะที่มีพลังอันน่าทึ่งออกมาในขณะนี้ จึงทำให้เฉินซีไม่กล้าประมาท
ฟิ้ว!
เพียงชั่วพริบต่อมา ลูกธนูแสงห้าสีซึ่งแฝงด้วยพลังอันดุดันพลันถูกยิงออกมาด้วยความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่าการเคลื่อนย้ายมิติ ซึ่งสามารถทะลวงผ่านสิ่งกีดขวางทั้งหมดและทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เขาไม่ได้รีบเข้าปะทะกับลูกธนูโดยตรง ร่างของชายหนุ่มทะยานหลบไปด้านข้าง หากแต่ลูกธนูนี้ทรงพลังเกินไป และเห็นได้ชัดว่าหวังจ้งฮ่วนบรรลุเต๋าแห่งคันศรในระดับสูงอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงไม่สามารถมองข้ามมันไปได้
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวที่สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดินได้ดังก้องออกไป ทุกที่ที่ลูกธนูแสงห้าสีเคลื่อนผ่าน สายลมจะพัดโหมกระหน่ำจนก้อนหินแตกเป็นเสี่ยง ๆ และแม้แต่บรรยากาศก็ยังมีรอยแยกแคบ ๆ ที่น่าสะพรึงกลัวหรือแม้กระทั่งแยกออกจากกัน
พลังของลูกธนูนี้สามารถเจาะทะลุดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์และทำให้โลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ว่าธนูเบญจธาตุนี้เป็นสมบัติกึ่งอมตะที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
สายธนูสั่น หวังจ้งฮ่วนเป็นดั่งเทพเจ้าที่ง้างคันธนูใหญ่ด้วยพละกำลังมหาศาล จากนั้นเขาก็ยิงลูกธนูแสงห้าสีที่แพรวพราวและเจิดจรัสออกมาอีกครั้ง ทำให้พวกมันฉีกผ่านท้องฟ้าและพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างดุเดือด
ร่างของเฉินซีสั่นสะท้าน ในขณะที่เขาใช้ม่านเงาทองปทุมม่วง ก่อตัวเป็นโล่แสงรูปทรงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่ขวางหน้าเอาไว้ ต่อต้านลูกธนูเหล่านี้อย่างแข็งขัน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ลูกธนูพุ่งทะลวงผ่านท้องฟ้า ซึ่งดูเหมือนว่าพลังของธาตุทั้งห้าจะหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ พวกมันทำลายม่านเงาทองปทุมม่วงของเฉินซีทันที และจ่อประชิดอยู่ที่หน้าของเขา!
ทว่าเฉินซีกลับสงบนิ่งในขณะที่เผชิญกับอันตราย มือของเขาขยับต่อเนื่อง สัญลักษณ์โบราณที่ขดด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ และเข้าปะทะกับการโจมตีที่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง!
ทุกคนที่อยู่ห่างออกไปไกลต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากพลังของธนูเบญจธาตุนี้ทรงพลังเกินไป! เพราะแม้แต่การยิงธรรมดาก็สามารถเทียบได้กับศาสตร์เต๋าที่ทรงพลัง!
“คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งคันศร หากข้าต้องการเอาชนะเขา บางทีอาจจะต้องต่อสู้ในระยะประชิดเท่านั้น…”
เขาตระหนักได้อย่างชัดเจน หากเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งคันศร การต่อสู้จากระยะไกลจะทำให้ตนเองได้แต่ตั้งรับ และย่อมเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
สายตาของเฉินซีจับจ้องไปยังชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองที่อยู่ห่างออกไป และรู้ว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าเหลิ่งชิวและคนอื่น ๆ
แต่เฉินซีก็มิได้หวาดกลัว เพราะจนถึงตอนนี้ เขายังไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริงเลยสักนิด
“น่าสนใจ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ากล้าหยิ่งผยอง แต่มันยังไม่เพียงพอ เพราะข้าใช้พลังไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลยด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่าจะสามารถยืนหยัดได้อีกนานสักแค่ไหนกัน?” มุมปากของหวังจ้งฮ่วนยกยิ้มที่ให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งและดูถูก
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป ผู้ชมที่อยู่ห่างออกไปก็ตกตะลึง
“การโจมตีเมื่อครู่ใช้พลังออกไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนหรอกหรือ! ถ้าอย่างนั้นเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน หากเขาใช้พลังออกไปทั้งหมด!?”
“หรือว่าศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกเช่นเจ้า จะรู้เพียงแค่วิธีโอ้อวดคุยโว?” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น
“ธาตุทั้งห้าหลอมรวมเป็นหนึ่ง หมุนเวียนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ถล่มโลกา บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง!” หวังจ้งฮ่วนคำรามออกมาและไม่ลังเลที่จะใช้พลังทั้งหมดของเขา จากนั้นเจ้าตัวก็ง้างคันธนูอีกครั้ง ทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์ของมันระเบิดขึ้น และธาตุทั้งห้าก็ปะทุขึ้นพร้อมกับเสียงที่ดูเหมือนระฆังดังก้อง
พรึ่บ!
ลูกธนูแสงแพรวพราวที่แฝงไปด้วยพลังฟ้าดิน ลากลำแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีออกไปเป็นทางยาว มันส่งเสียงหวีดหวิวเหมือนกับดาวตก และทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในเงามืด
“พลังของลูกธนูนี้แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด!”
ใบหน้าของทุกคนที่อยู่ในระยะไกลพลันปรากฏความตกใจ เนื่องจากพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวของมันจากระยะไกล และทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นสะท้าน คนทั้งหมดต่างตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า หากผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาทั่วไปต้องเผชิญกับการโจมตีนี้ ผู้บ่มเพาะคนนั้นจะต้องถูกทำลายล้างด้วยลูกธนูนี้อย่างแน่นอนและไม่มีโอกาสแม้แต่จะต่อสู้
ท้ายที่สุด เต๋าแห่งคันศรได้หลอมรวมแก่นแท้ จิตวิญญาณ และพลังของผู้ใช้เข้ากับลูกธนู ดังนั้นมันจึงเป็นอันตรายถึงตายเมื่อถูกยิงออกไป ซึ่งผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนในยุคบรรพกาลที่มีความสามารถในการควบคุมเต๋าแห่งคันศรได้อย่างไร้ที่ติ จะกลายเป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สั่นสะเทือนไปทั้งสามภพ และพวกเขาสามารถยิงทะลุดวงดาว ดวงอาทิตย์ และจักรวาลด้วยพลังที่ไม่มีใครเทียบได้!
แม้ว่าลูกธนูที่หวังจ้งฮ่วนยิงออกไปจะไม่บรรลุถึงระดับสูงสุดของผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งยุคบรรพกาลเหล่านั้น แต่การบ่มเพาะเต๋าแห่งคันศรของเขาก็อยู่ในระดับสูงสุดและสามารถบดขยี้ทุกคนในรุ่นเดียวกันได้
“แล้วเฉินซีจะต่อต้านสิ่งนี้ได้อย่างไร?”
ในตอนนี้ หัวใจของทุกคนอดไม่ได้ที่จะพองโต และพากันกลั้นหายใจอย่างจดจ่อ ในขณะที่จ้องมองไปที่เฉินซีอย่างแน่วแน่