บทที่ 637 ถูกบังคับให้ลงมือ
บทที่ 637 ถูกบังคับให้ลงมือ
ชายหนุ่มผอมแห้งจากเกาะปีศาจฉลามมังกร ร่างกายถูกปกคลุมด้วยปราณอสูรและเจตนาฆ่าที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แผ่แรงกดดันที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งออกมา ซึ่งแม้แต่ห้องโถงก็ยังเริ่มสั่นไหว
โชคดีที่เป็นชั้นสูงสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง เนื่องจากมันสามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองเหมันต์บรรพกาลมานานแสนนาน อีกทั้งยังได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี จึงไม่ใช่สถานที่ที่อื่นทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้
และด้วยสภาพแวดล้อมของห้องโถงนี้ ที่ถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยค่ายกลนับไม่ถ้วน มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมที่แห่งนี้จึงสามารถต้านทานเจตนาฆ่าที่รุนแรงของชายหนุ่มผอมแห้งได้โดยไม่ถูกทำลาย
ซึ่งทุกคนล้วนสังเกตเห็น ว่าความแข็งแกร่งของชายหนุ่มผอมแห้งคนนี้ เหนือล้ำยิ่งกว่าสี่พี่น้องฉลามมังกรเสียอีก! จึงทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยในใจ เพราะไม่เคยคิดมาก่อน ว่าคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้มีตัวตนอยู่ในเกาะปีศาจฉลามมังกร!!
เฉินซียืนขึ้นและมองไปที่ชายหนุ่มผอมแห้ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้าต้องการต่อสู้กับข้าหรือไม่?”
“เจ้าทำให้ศิษย์น้องทั้งสี่ของข้าต้องอับอาย ดังนั้นเจ้าจะต้องถูกลงโทษ!” ชายหนุ่มที่ผอมแห้งกล่าวพร้อมกับเผยเจตนาฆ่าอันน่าสยดสยองที่เล็ดลอดออกมา เขายกมือขึ้นเพื่อโจมตีด้วย ศาสตร์เต๋าที่ทรงพลังขณะที่กล่าว และการโจมตีที่ว่ามันก็กลายเป็นเมฆสีดำที่ขดตัวด้วยสายฟ้าที่พร่างพราว ก่อนจะห่อหุ้มลงไปที่เฉินซี
ในทันทีที่เขาลงมือ ห้องโถงที่ถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน เพราะพลังนี้รุนแรงเกินไป!
“สวรรค์! แท้จริงแล้วมันคือศาสตร์เต๋าระดับสูง ผู้เยี่ยมยุทธ์ของเกาะปีศาจฉลามมังกรคนนี้น่าทึ่งจริง ๆ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากขุมพลังต่าง ๆ ที่อยู่ที่นี่ต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะการลงมือของบุคคลนี้ มีพลังมากมายจนสามารถมองลงมายังโลกเบื้องล่างราวกับเป็นราชา และเขาก็นับได้ว่าเป็นตัวตนชั้นนำในรุ่นก็ว่าได้!!
เฉินซีคำรามอย่างเย็นชา ในขณะที่กลิ่นอายของเขาก็พวยพุ่งอย่างฉับพลัน ทำให้เต๋ารู้แจ้งในร่างของชายหนุ่มส่งเสียงคำรามก้อง ก่อนที่อักขระยันต์จะทยานขึ้นราวกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสงระยิบระยับมากมายซึ่งหมุนวนอยู่รอบกายของเขา ในขณะที่ชายหนุ่มก็พลันก้มมองลงมายังโลกเบื้องล่างราวกับเป็นราชา แผ่คลื่นพลังผันผวนที่ทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่สั่นสะท้าน!
“มีวิธีควบคุมเต๋ารู้แจ้งเช่นนี้ด้วยหรือ??”
พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดจากขุมพลังต่าง ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถแยกแยะได้อย่างรวดเร็ว ว่าความสามารถที่เฉินซีเผยออกมานั้น น่าตกตะลึงถึงเพียงใด และดวงตาของพวกเขาก็พลันหรี่ลง เพราะคนเช่นนี้จะเป็นศิษย์ทั่วไปได้อย่างไร เขาน่าจะเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอีกคนหนึ่งจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นแน่!
เหลิงฉานเอ๋อร์จ้องมองที่เฉินซี ในขณะที่ดวงตาที่ใสกระจ่างของนางก็ทอประกายด้วยแสงแห่งสวรรค์ที่มีชีวิตชีวา
ตูม!
เฉินซีก้าวไปข้างหน้า ทำให้เกิดพลังงานที่บริสุทธิ์ เย็นเยียบ อีกทั้งยังอาฆาตพยาบาทจนสุดขีด ถาโถมออกมาอย่างดุเดือด และเขาก็เป็นเหมือนยมทูตที่ก้าวออกมาจากขุมนรก ในขณะที่ชายหนุ่มทำการบดขยี้และสลายการโจมตีของคู่ต่อสู้โดยตรง!
ศาสตร์เต๋าระดับสูงสุด… เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล!
ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายที่ทรงพลังของชายหนุ่มผอมแห้งก็จางลง ซึ่งเลือดในกายของเขาดูเหมือนจะถูกแช่แข็งโดยเจตนาฆ่าของเฉินซี ทำให้ร่างกายของเจ้าตัวเจ็บปวดอย่างรุนแรง ราวกับว่าถูกหั่นเป็นชิ้นทั้งเป็น
“นี่มันศาสตร์เต๋าอันใดกัน!?”
ชายหนุ่มผอมแห้งตกตะลึง และเขาก็ตระหนักได้ทันที ว่าเหตุใดศิษย์น้องทั้งสี่ของตนจึงพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเฉินซี เพราะเพียงแค่เสียงฝีเท้าเหล่านี้ มันก็แสดงถึงเจตนาฆ่าอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ และไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจได้!!
ตุบ ตุบ ตุบ….
หลังจากก้าวแรก เฉินซีไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อย และเสียงฝีเท้าของเขาก็เหมือนกับเสียงกลองของเหล่าทวยเทพขณะที่ก้าวออกไปซ้ำ ๆ โดยทุกย่างก้าวของชายหนุ่ม มันก็ทำให้กลิ่นอายทะยานขึ้นสูงอย่างท่วมท้น และเขาก็เสมือนกับบุตรของทวยเทพที่ทำให้ดอกบัวเติบโตขึ้นในทุกย่างก้าวขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในขณะนี้ ทุกคนดูราวกับได้ยินเสียงคำรามของมังกรและเสียงสวดมนต์ของเหล่าทวยเทพที่ดังก้องไปทั่วโลกา
ในทางกลับกัน แสงเรืองรองอันไร้ขอบเขตก็ปะทุออกมาจากใต้เท้าของเขาและโปรยปรายลงมาราวกับสายฝน จากนั้นมันก็แปรสภาพเป็นอักขระยันต์อันไร้ขอบเขต ซึ่งควบแน่นเป็นรูปดอกบัวจำนวนมากที่เป็นผลึกเหมือนหยกดำ ก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ
มันเป็นเหมือนนรกแห่งการเข่นฆ่า และมันสั่นคลอนจิตวิญญาณของทุกคนจนถึงจุดที่พวกเขาไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้ อีกทั้งยังสั่นสะเทือนมิติจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะกลายเป็นคลื่นทำลายล้างที่แผ่ซ่านออกไปโดยรอบ
แม้แต่สีหน้าของนักพรตเต๋าสุริยันชาด ฉิวจวิ้น และคนอื่น ๆ ก็ยังตกตะลึง ย่างก้าวเช่นนี้น่าสะพรึงเสียเหลือเกิน และเห็นได้ชัดว่ามันคือศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดที่ปลดปล่อยเจตนาฆ่าอย่างดุเดือด ซึ่งทุกย่างก้าวก็ดูเหมือนจะสามารถบดขยี้ท้องฟ้า ทำลายทุกสิ่งในโลก และทำให้ทั้งโลกหล้าตกอยู่ในความโกลาหล!
แน่นอน เฉินซีไม่ได้รั้งรอเลยแม้แต่น้อย เขาพลันใช้เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหลอย่างราบรื่นในคราวเดียว ส่งเจตนาฆ่าที่พวยพุ่งราวกับคลื่นพายุ ทำให้ชายหนุ่มผอมแห้งสั่นสะท้านจนเลือดไหลออกจากมุมปาก และเดินโซเซกลับไป
ในท้ายที่สุด เขาก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปและกระอักเลือดคำใหญ่ออกมา จนเสื้อผ้าของเจ้าตัวอาบไปด้วยเลือดสีแดง ในขณะที่ลำตัวก็แทบจะปลิวว่อนไป
ทุกคนล้วนประหลาดใจ
“นี่มันอาถรรพ์อันใดกัน??”
ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งเกาะปีศาจฉลามมังกรกลับไม่สามารถต้านทานก้าวย่างของเฉินซีได้ อีกทั้งยังถูกกระแสจิตสังหารพุ่งเข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บและกระอักเลือด นี่มัน… น่าประหลาดใจยิ่งนัก!!!
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! เจ้ากำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!” ในท้ายที่สุด แสงสีดำสนิทได้ปะทุบนร่างของชายหนุ่มผอมแห้งและสลายพลังโจมตีของเฉินซี ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปที่เฉินซีเสมือนกระบี่คู่หนึ่ง พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวว่า “ข้ายอมรับว่าย่างก้าวเหล่านี้น่าเกรงขามจริง ๆ และทำให้ข้าไม่ทันตั้งตัว แต่ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสกับพลังที่แท้จริงของข้าเดี๋ยวนี้แหละ!”
ครืนนน!
เช่นเดียวกับสัตว์ร้ายโบราณที่ตื่นขึ้น กลิ่นอายอันทรงพลังของชายหนุ่มผอมแห้งพลันทะยานขึ้นอย่างดุเดือด และเขาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมถึงสองสามเท่าในทันที!
“เอ๊ะ แท้จริงแล้ว พลังต่อสู้ได้ของคนผู้นี้กลับทะยานขึ้นถึงสี่เท่า!” นักพรตเต๋าสุริยันชาดอุทานด้วยความประหลาดใจ และเขาก็เข้าใจถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในกลิ่นอายของชายหนุ่มที่ผอมแห้งผู้นี้
ท่าทางของคนอื่น ๆ ในห้องโถงดูเคร่งขรึมมากขึ้น เพราะพวกเขาทุกคนรู้อย่างชัดเจนว่าบุคคลที่มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้สี่เท่าเช่นนี้ สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นตัวตนชั้นนำในห้องโถงได้เลย!
ภายใต้ภาวะเช่นนี้ เฉินซีจะต่อต้านเขาได้อย่างไร?
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เขารู้สึกว่าตึงมือเล็กน้อย หากแต่สายตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นรอยยิ้มซึ่งปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลงเจิ้นเป่ยที่อยู่ไกลออกไป คล้ายกำลังเพลิดเพลินไปกับการแสดงตรงหน้า
ชั่วขณะนั้น ในใจของเฉินซีพลันฉุกประกายแผนการบางอย่าง และทันใดนั้น เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “พี่หลง กับอีกแค่คนจากเกาะปีศาจฉลามมังกร แต่ดันกล้าล่วงเกินศักดิ์ศรีของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา เห็นได้ชัด ว่าพวกเขาคิดว่านิกายของเราไม่มีใครมีความสามารถ!”
ท่ามกลางการเผชิญหน้าและการต่อสู้ที่ดุเดือด เสียงนี้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด และทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึง
ใช่แล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เฉินซีที่มาจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แต่ยังมีตัวตนที่น่าเกรงขามซึ่งมีชื่อเสียงเลืองลื่อไปทั่วโลกมาเนิ่นนาน อีกทั้งยังครอบครองเนตรวิญญาณมังกรอสรพิษอยู่ผู้หนึ่ง!
ชู่ว!
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงส่วนใหญ่ ต่างจับจ้องไปที่หลงเจิ้นเป่ยที่อยู่ใกล้เคียง
แม้แต่ชายหนุ่มที่ผอมแห้งก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลงเจิ้นเป่ย
เมื่อตอนที่เฉินซีเรียกชื่อเขาอย่างกระทันหัน มันก็ทำให้สีหน้าของหลงเจิ้นเป่ยพลันกลายเป็นแข็งทื่อ และมุมปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกอย่างรุนแรง ‘ไอ้เด็กบัดซบ แม่งกำลังคิดที่จะกำลังลากข้าเข้าไปพัวพัน!’
เขากัดฟันด้วยความเกลียดชังในใจ เพราะเดิมทีตนเองตั้งใจจะดูการแสดง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าเฉินซีจะลากเขาเข้าไปพัวพันในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้!
“มารดามันเถอะ!”
“ไอเด็กนี่ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!”
ในขณะที่เขามองไปยังรอยยิ้มจาง ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของเฉินซีที่อยู่ห่างออกไป แม้แต่เจตนาฆ่าก็ยังผุดขึ้นในใจของหลงเจิ้นเป่ย แต่ในช่วงเวลาต่อมา เขากลับหายใจเข้าลึก ๆ และยับยั้งความคิดต่าง ๆ ในใจ ก่อนที่สีหน้าของหลงเจิ้นเป่ยจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง จากนั้นเจ้าตัวก็พลันลุกขึ้นยืนอย่างภาคภูมิ
“สามหาวยิ่งนัก! นับตั้งแต่เมื่อใดกันที่คนของเกาะปีศาจฉลามมังกรกล้ายโสโอหังต่อหน้าศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง? ศิษย์น้องเฉิน เจ้าถอนตัวไปก่อน ให้ข้าจัดการกับเรื่องนี้เอง!”
เมื่อเขาตัดสินใจที่จะลงมือ หลงเจิ้นเป่ยก็เผยให้เห็นด้านที่หยิ่งยโสในตัวทันที และเสียงของหลงเจิ้นเป่ยก็ดังเหมือนกับเสียงคำรามของมังกรจนแทบหูหนวก ในขณะที่เจ้าตัวเปิดเผยถึงรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามและสง่าผ่าเผยออกมา
ในพริบตาต่อมา หลงเจิ้นเป่ยพลันทยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนกับมังกรที่กำลังเวียนว่าย แล้วกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มผอมแห้งด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลังและดุร้ายอย่างเต็มที่
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีพลันยิ้มอย่างไร้เหตุผล และเขาคิดในใจ ว่าอันที่จริง ชื่อเสียงอันเลื่องลือของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนี้ ไม่เพียงมีผลกระทบต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อผู้คนจากนิกายอีกด้วย!
ตัวอย่างเช่น แม้ว่าหลงเจิ้นเป่ยกำลังจะระเบิดด้วยความโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้านิ่งเฉยและไม่แย่แส กระทั่งถึงขนาดไม่มีทางเลือกอื่น เพราะพวกเขาต่างมาจากนิกายเดียวกัน ดังนั้นเมื่อชื่อนิกายกระบี่เก้าเรืองรองถูกใช้ขึ้นมา หลงเจิ้นเป่ยจึงไม่กล้าดูการต่อสู้โดยไม่แยแสจากข้างสนามอีกต่อไป!