บทที่ 659 เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บทที่ 659 เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่ด้านข้างของภูเขายักษ์ลูกนั้นเต็มไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์จากกองกำลังต่าง ๆ นับพันคน แม้ว่าเฉินซีจะพุ่งเข้าใส่และสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็เข่นฆ่าศัตรูไปได้หลายร้อยคนเท่านั้น ถึงอย่างไร ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ล้วนมีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตสถิตกายา และมีความแข็งแกร่งที่คนธรรมดาไม่สามารถเปรียบเทียบได้!
ซึ่งหากข่าวของเฉินซีที่สามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้แพร่กระจายออกไป ก็เพียงพอที่จะทำให้ใต้หล้าตกตะลึงเป็นแน่!
การสังหารผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกันไปมากกว่าร้อยคนท่ามกลางวงล้อมของศัตรูนับพัน การกระทำที่อหังการเช่นนี้ ทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬมีเพียงน้อยคนนักที่ทำได้!
ครืนนน!
การต่อสู้ดำเนินต่อไป สีแดงฉานของเลือดชโลมไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่ลำแสงสาดส่องไปทั่วเหมือนคลื่นยักษ์ เสียงการต่อสู้และเสียงปะทะที่น่าสยดสยองก็เสมือนกับเสียงของแผ่นดินถล่มหรือภูเขาไฟปะทุที่น่าสะพรึงกลัว
เฉินซีอาละวาดไปทั่ว ในขณะที่กระบี่เปื้อนเลือดพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าฟาด การโจมตีแต่ละครั้งดูจะสามารถเคลื่อนย้ายทวยเทพได้ มันพรากชีวิตคนแล้วคนเล่า และมันก็ดุร้าย ทรงพลัง รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ อีกทั้งยังน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
เลือดมากมายได้ย้อมเสื้อผ้าและผมของเขาจนเป็นสีแดงเข้ม ทำให้ชายหนุ่มเป็นเหมือนเทพอสูรที่เหยียบย่ำโลกด้วยกลิ่นอายอันอหังการ และทุกที่ที่กระบี่ของเขาพุ่งไป อุปสรรคที่ขวางหน้าทั้งหมดจะถูกทำลายสิ้น!
สมบัติวิเศษชิ้นแล้วชิ้นเล่าต่างถูกเขาฟันจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ศาสตร์เต๋าต่าง ๆ ล้วนถูกเขาสยบจนสิ้นฤทธิ์ และศัตรูคนแล้วคนเล่าก็ถูกฆ่าตายอยู่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน ก่อนกลายเป็นชิ้นส่วนขาดวิ่นที่ตกลงมาจากท้องนภาและย้อมฟ้าดินให้กลายเป็นสีแดงฉาน
สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ดูราวกับโลกกำลังกลายเป็นนรกบนดิน!
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นอายของเฉินซีกลับไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งการต่อสู้ดำเนินต่อไป เขากลับยิ่งห้าวหาญและมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับชายหนุ่มเป็นเทพสงครามที่ไม่มีวันหมดแรง และทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!? ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้ มันไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาเลยแม้แต่น้อย สัตว์ประหลาดเช่นนี้จะมีอยู่ในโลกได้อย่างไรกัน?”
ดวงตาของเฟิงเจี้ยนไป๋เบิกโพลง หลังจากความพึงพอใจก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ปากของเขาก็สั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตัวเขาก็นึกไม่ออกว่าจะจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไรดี!
ในฐานะผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา เขาเองก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า เมื่อใช้พลังต่อสู้แบบทวีคูณ ปราณแท้จะถูกใช้ไปอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งไม่ว่าแดนฮุ่นตุ้นจะแข็งแกร่งและกว้างใหญ่เพียงใด ท้ายที่สุดมันก็จะเหือดแห้งลงอย่างแน่นอน
เว้นแต่ว่าจะกินโอสถวิญญาณเพื่อเติมเต็มปราณแท้ แต่เขาก็เห็นอย่างชัดเจนว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินซีไม่มีโอกาสได้กินโอสถวิญญาณเลยสักครั้ง แล้วอีกฝ่ายจะยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?
“เขา… เติบโตถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้แล้วหรือ?”
เฟิงเจี้ยนไป๋พึมพำ รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเศษขยะเมื่อเทียบกับเฉินซี และไม่สามารถไล่ตามฝีเท้าของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป
ในช่วงเวลาต่อมา ชายหนุ่มก็ได้สติจากความคิดที่ยุ่งเหยิง เพราะเขาเห็นเฉินซีพุ่งเข้ามาหาโดยไม่คาดคิด สายตาที่เยือกเย็นและไร้ความรู้สึกคู่นั้นทำให้เขาหวาดกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง แล้วเฟิงเจี้ยนไป๋จะกล้าจมอยู่ในห้วงความคิดต่อไปได้อย่างไร?
เขาหนีหัวซุกหัวซุนและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังฝูงชน กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะตกเป็นเป้าหมายของเฉินซี และเมื่อเผชิญหน้ากับเทพแห่งการสังหารที่โหดร้ายเช่นนี้ เฟิงเจี้ยนไป๋ก็ไม่เหลือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย!
“ทุกคน พวกเจ้าต้องยืนหยัด…” ชายหนุ่มร้องเสียงดังอีกครั้ง ทว่าก่อนที่จะกล่าวจบ เฟิงเจี้ยนไป๋ก็พบว่าเฉินซีได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาแล้ว!
เพียะ!
สีหน้าของเฉินซียังคงเย็นชา ในขณะที่มือของเขาก็รวบรวมพลังจนกลายเป็นฝ่ามือที่ไร้รูปลักษณ์ ซึ่งเต็มไปด้วยอักขระยันต์จนดูเหมือนกับเป็นวัตถุ มันเปล่งแสงเจิดจ้าเมื่อฟาดเฟิงเจี้ยนไป๋จนลอยละลิ่ว
ด้วยการฟาดเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มโจมตีอีกฝ่ายจนเลือดทะลักออกมาจากปากและจมูก ในขณะที่กระดูกทั่วทั้งร่างกายก็แตกหักนับไม่ถ้วน ตัวคนกระตุกอย่างต่อเนื่องและส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนกับสุนัขที่ใกล้ตาย
ถึงอย่างไร เขาก็เพิ่งมาถึงแดนภวังค์ทมิฬเมื่อครึ่งปีก่อนเช่นเดียวกับเฉินซี และได้เข้าร่วมนิกายฟ้ากำเนิด ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเพิ่งบรรลุขอบเขตสถิตกายาได้ไม่นาน จึงยังด้อยกว่าเหลิ่งชิว ตู้เซวียน และคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินซีได้อย่างไร?
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”
เฟิงเจี้ยนไป๋ถูกตบจนเห็นดวงดาวเริงระบำอยู่ตรงหน้า และเขายังคงไม่อยากเชื่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ ตัวเขาก็พลันคล้ายถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง!
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากกองกำลังต่าง ๆ ได้หลบหนีไปยังทุกทิศทุกทาง และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็ถูกบดขยี้โดยกลิ่นอายที่อหังการของเฉินซีอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีใครที่กล้าก้าวไปข้างหน้าและโจมตีใส่ชายหนุ่มอีก
แม้จะไม่ได้หนี แต่คนทั้งหมดก็หลบไปด้านข้างและไม่กล้าพุ่งไปข้างหน้าเหมือนครั้งก่อน เพราะพลังต่อสู้ที่เฉินซีเผยออกมานั้นน่าสะพรึงเกินไป ดังนั้นพวกเขาจะกล้าเสี่ยงชีวิตต่อไปได้อย่างไร?
“ไอ้สารเลวพวกนี้! ช่างเป็นกลุ่มขยะที่ไร้ประโยชน์จริง ๆ!”
เฟิงเจี้ยนไป๋โกรธแค้นจนดวงตาแทบถลนออกมา และเขาก็สิ้นหวังโดยสิ้นเชิง น่าเสียดายที่เจ้าตัวลืมไปว่า เขาไม่ใช่ผู้บัญชาการที่สามารถสั่งการกองทัพ หากแต่เป็นคนน่ารังเกียจที่คอยยุยงจากเงามืด!
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดที่มาจากกองกำลังต่าง ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬ พวกเขาทุกคนล้วนหยิ่งผยอง ดื้อรั้นและมีความคิดเป็นของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจะฟังคำสั่งของเฟิงเจี้ยนไป๋ได้อย่างไร?
อีกทั้งการกล่าวโทษคนอื่นในเวลานี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าขบขันยิ่ง
“เฉินซี เจ้าฆ่าข้าไม่ได้! ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์ชั้นยอดของนิกายฟ้ากำเนิด หรือว่าเจ้าต้องการเป็นศัตรูกับนิกายฟ้ากำเนิด? เจ้าต้องการให้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเจ้าทำสงครามกับนิกายฟ้ากำเนิดของข้าหรือไม่?
เมื่อเห็นเฉินซีก้าวเข้ามาอีกครั้ง เฟิงเจี้ยนไป๋ก็หวาดกลัวจนร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว และเขาก็ร้องโหยหวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ยิ่งไปกว่านั้น นักพรตเต๋าสุริยันชาดซึ่งเป็นศิษย์พี่ของข้า ก็อยู่ในเหวเงาทมิฬเช่นกัน หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแน่!”
“ทำสงคราม? เจ้าไม่คิดว่าตัวเองสูงส่งเกินไปหน่อยหรือ? ข้ากล้าฆ่าคนของเผ่าหยาจื้อ แล้วสวะเช่นเจ้าจะเทียบได้อย่างไร?” ชายหนุ่มย่างสามขุมเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะเงื้อมือขึ้นเพื่อตบเฟิงเจี้ยนไป๋อีกครั้ง มันกระแทกเข้าที่ใบหน้าจนฟันของเขาร่วงหลุดออกมา ในขณะที่เลือดก็ทะลักออกมาจากจุดชีพจรบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าของเขาแหลกเหลวและน่าสยดสยองเป็นอย่างมาก
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! ไม่มีใครในแดนภวังค์ทมิฬจะยอมปล่อยให้ปีศาจเช่นเจ้าอยู่ต่อไปแน่!” เฟิงเจี้ยนไป๋ร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช และรู้สึกหวาดกลัวจนร่างกายเริ่มสั่นระริก
“ช่างน่าขันเสียจริง! มีเพียงเจ้าที่สามารถฆ่าคนอื่น แต่คนอื่นไม่มีสิทธิ์ที่จะฆ่าเจ้าอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูก และเขาไม่อยากเสียเวลากล่าวเรื่องไร้สาระอีกต่อไป ดังนั้นชายหนุ่มจึงเงื้อกระบี่เปื้อนเลือดในมือขึ้นและฟันลงไป!
เมื่อเห็นฉากนี้ หัวใจของผู้เยี่ยมยุทธ์จากกองกำลังต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้หนีไปไหนก็ยังต้องสั่นสะท้าน!
เฉินซีคนนี้ทั้งเย็นชาและแข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งเขายังไม่สนใจคำข่มขู่ใด ๆ แล้วเช่นนี้เขาจะน่ากลัวเพียงไหนเมื่อก้าวหน้าจนยิ่งใหญ่กว่านี้?
ฟุ่บ!
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่เฉินซีลงมือ จิตสังหารอันเยือกเย็นและสยดสยองก็ระเบิดออกมาจากทางด้านหลัง!
เพียงชั่วพริบตา ทัศวิสัยของเฉินซีก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว ความรู้สึกอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งตรงสู่หัวใจ และรู้สึกราวกับว่ามีใบมีดกดอยู่บนแผ่นหลังของเขา!
การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวในครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่ามีไหวพริบและโหดเหี้ยมยิ่ง อีกทั้งยังเกิดขึ้นทันทีที่เขาเคลื่อนไหวเพื่อสังหารเฟิงเจี้ยนไป๋ ซึ่งหากเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงไม่สามารถหลบหลีกได้อย่างเต็มที่ และคงได้แต่รอให้ความตายคืบคลานเข้ามาอย่างหมดท่า
“นั่นมัน…” ทุกคนตกใจจนอ้าปากค้าง จากมุมมองของพวกเขา เห็นเพียงร่างที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาที่ด้านหลังของเฉินซี ก่อนจะแทงกระบี่ออกไป!
ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัว เพราะการลอบสังหารนี้น่าสะพรึงเสียเหลือเกิน มันปราศจากร่องรอยใด ๆ อีกทั้งดูเหมือนว่าคนคนนั้นได้ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ และปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ซึ่งหากเป็นพวกเขาคนใดคนหนึ่ง คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีนี้ได้อย่างเต็มที่
“ในที่สุด เจ้าก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไปแล้วหรือ? ข้ารอเจ้ามานานแล้ว!”
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจยิ่งกว่าก็คือ เฉินซีดูจะรู้ว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ในทันทีที่การลอบจู่โจมปรากฏขึ้น ชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว และฟันกระบี่ที่เปื้อนเลือดออกไปในแนวขวาง!
เคร้ง!
การโจมตีทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง บังเกิดประกายแสงวูบวาบและเสียงเคร้งคร้างที่ดังไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า และมันเสียดหูเสียจนแก้วหูของทุกคนแทบแตก
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ร่างที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันนั้นถูกกระบี่ของเฉินซีฟันจนร่นถอยกลับไป ทุก ๆ ก้าวที่ถอยกลับไป ทำให้พื้นดินที่ถูกเหยียบย่ำแตกสลาย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพลังที่มือสังหารเผชิญนั้นรุนแรงเพียงใด ร่างนั้นถอยหลังอย่างต่อเนื่องเป็นระยะทางกว่าสิบสามจั้ง ก่อนที่มันจะหยุดลง และในเวลานี้เอง ทุกคนก็ได้เห็นรูปลักษณ์ของร่างนั้นอย่างชัดเจน
ร่างนั้นผอมบาง สวมหน้ากากสีดำสนิท และมีดวงตาสีม่วงคู่หนึ่งซึ่งอาบไปด้วยประกายแห่งความชั่วร้าย
“รัตติกาล! เขาคือนักฆ่าอันดับต้น ๆ ในขอบเขตสถิตกายา!”
“เป็นเขาจริง ๆ เคล็ดวิชาลอบสังหารของเขาสามารถติดอันดับหนึ่งในสิบของแดนภวังค์ทมิฬ และเขาไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง เขาแข็งแกร่งและลึกลับเป็นอย่างมาก”
“สวรรค์! แม้แต่คนอย่างรัตติกาลก็ยังลอบสังหารล้มเหลว! เพียงเท่านี้ก็พอที่จะทำให้เฉินซีโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว!”
เมื่อจดจำตัวตนของมือสังหารคนนี้ได้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงและแสดงท่าทีที่ไม่เชื่อออกมา พวกเขาดูเหมือนจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าบุคคลลึกลับคนนี้จะมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังล้มเหลวในการลอบสังหารต่อหน้าต่อตาของพวกเขา!
ฟุ่บ!
เมื่อการลอบสังหารล้มเหลว รัตติกาลก็ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็วและปะทุด้วยแสงสีดำสนิท ก่อนจะหันหลังกลับและจากไปในทันที
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มได้เตรียมพร้อมมานานแล้ว ดวงตาแนวตั้งที่กลางหน้าผากพลันเบิกขึ้น และระเบิดพลังแสงแห่งการทำลายล้างออกมาโดยตรง ซึ่งได้ผนึกบริเวณที่อีกฝ่ายยืนอยู่
แสงแห่งการทำลายล้างนี้ไม่เพียงจะสามารถสลายเคล็ดวิชาทั้งหมด แต่มันสามารถทำลายโลกหรือกักขังศัตรูที่มองไม่เห็น และมันยังมีพลังทำลายล้างซึ่งไม่มีอยู่ในศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการ
เมื่อได้รับการบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด ลำแสงก็เพียงพอจะกวาดล้างศาสตร์เต๋าและพลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหลาย ก่อนที่จะกำจัดทุกสิ่งในโลกไปสู่ความว่างเปล่า!
ร่างที่ตั้งใจจะจากไปของรัตติกาลก็แข็งทื่อทันที ราวกับปลาที่ถูกแช่แข็งในน้ำแข็งหรือแมลงที่ติดอยู่บนใยแมงมุม แม้จะเขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรงก็ไม่อาจดิ้นหลุด
“เจ้าลอบจู่โจมข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเจ้าคิดว่าข้านั้นไร้ความสามารถ?” ดวงตาของเฉินซีนั้นเหมือนกับสายฟ้าฟาด และจดจ้องไปยังคนน่ารังเกียจซึ่งลอบจู่โจมเขาถึงสองครั้งอย่างเย็นชา ในขณะที่เปลวไฟแห่งโทสะที่อยู่ภายในใจของเขาก็คุกรุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ
ครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่ในทะเลเมฆ เขาไม่ทันตั้งตัวจนเกือบตายจากถูกลอบโจมตี ซึ่งชีวิตของเขาก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย และประสบการณ์ดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มไม่อยากประสบพบเจอเป็นครั้งที่สอง
ดังนั้น ตั้งแต่เขามาถึงที่นี่และตัดสินใจที่จะเปิดศึก ก็เฝ้าดูสภาพแวดล้อมด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมสังเกตเห็นไอ้สารเลวที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ผู้นี้!
ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างที่จะลงมือสังหารเฟิงเจี้ยนไป๋ก่อนหน้านี้ เขายังจงใจถ่วงเวลาเอาไว้นานเพียงเพื่อสร้างจุดอ่อนปลอม และใช้มันลากมือสังหารที่เชี่ยวชาญในการเคลื่อนไหวในความมืดออกมา
รัตติกาลเม้มปากแน่นและไม่กล่าวอะไรออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะถูกคุมขัง แต่เจ้าตัวก็ยังสงบสติอารมณ์ได้ดียิ่งและพยายามใช้พลังอย่างเต็มที่ เพื่อฝ่าพันธนาการและหลบหนีไป
“ระเบิด!” สีหน้าของเฉินซีนั้นเย็นชาและเปี่ยมด้วยจิตสังหาร ในขณะที่เขาเปล่งคำหนึ่งออกมา
ตู้ม!
พื้นที่ที่รัตติกาลยืนอยู่ก็พลันระเบิดจนเกิดเสียงดังโครมคราม และเกิดเป็นกระแสอากาศที่ปั่นป่วนวุ่นวาย มันเชือดเฉือนร่างของเขาจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์นับไม่ถ้วนในทันที ทำให้เลือดชโลมไปทั่วร่างกาย
แต่รัตติกาลก็น่าเกรงขามเช่นกัน แม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ แต่เจ้าตัวก็ยังคงนิ่งสงบและเด็ดเดี่ยวจนถึงที่สุด ในทันทีที่หลุดพ้นจากพันธนการได้ ชายหนุ่มก็ทะยานขึ้นทันที และเขาก็กลายร่างเป็นเงาที่มองไม่เห็นและตั้งใจจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
“คิดจะหนีหรือ? ทิ้งชีวิตไว้ซะ!” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เขาก็ยังต้องยอมรับว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เพราะถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป ก็คงจะตายจากการโจมตีของเขาไปตั้งนานแล้ว
ฟุ่บ!
แม้ว่าเขาจะคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มก็ไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย ปีกกำราบผกผันกระพือออกไปในทันที ซึ่งในชั่วพริบตาต่อมา เฉินซีก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของรัตติกาล และแสงแห่งการทำลายล้างก็พุ่งออกมาจากดวงตาแนวตั้ง และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็พลิกกระบี่เปื้อนเลือดในมือและฟันออกไป
ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง!
ฝ่ามือยักษ์พุ่งฉีกขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับทำลายสวรรค์และดวงอาทิตย์ นิ้วของมันใหญ่โตมโหฬารและกลายเป็นสีดำสนิท พวกมันดูเหมือนภูเขาสีดำที่มีรูปร่างเหมือนต้นปาล์ม เข้าขวางทางเฉินซี ก่อนจะคว้าจับมาทางเขา!