บทที่ 671 การลอบทำร้ายจากเซียนปฐพี
บทที่ 671 การลอบทำร้ายจากเซียนปฐพี
การลงมือของเฉินซีที่สามารถบีบบังคับให้ผู้บ่มเพาะอัจฉริยะที่ไร้เทียมทั้งสองคนอย่างเหวินเต้าหรานกับนักพรตเต๋าสุริยันชาดต้องล่าถอย ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และยึดวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนโต๊ะศิลาไป ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกใจจนอ้าปากค้าง
แม้เหลิ่งฉานเอ๋อร์จะมาช้าไปก้าวหนึ่ง แต่ถ้อยคำที่เปล่งออกมาโดยไม่ตั้งใจนั้นก็เหมือนกับการเติมเชื้อไฟ และทำให้ทุกคนได้ตระหนักอีกครั้งว่า เฉินซีนั้นแข็งแกร่งเพียงใด!
เพราะคงไม่มีผู้ใดคาดคิดได้ว่า คนคลั่งการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีฝืมือร้ายกาจอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดากลับต้องพ่ายแพ้ให้แก่เฉินซี!
บรรยากาศพลันเงียบลงทันที มันเงียบสนิทจนแม้แต่เสียงเข็มหล่นยังได้ยิน
ทุกคนต่างมองไปที่ชายหนุ่มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ขณะที่ทางฝั่งเฉินซีเองก็ชำเลืองมองมาเช่นกัน เขาได้เห็นการมาถึงของเหลิ่งฉานเอ๋อร์แล้ว แต่ความสนใจเขากลับจดจ้องไปที่ชายชรารูปร่างผอมสูง ผู้มีผมขาวราวกับหิมะและสวมเสื้อคลุมสีขาวที่ยืนอยู่เคียงข้างของเหลิ่งฉานเอ๋อร์มากกว่า
ชายชรายืนเอามือไพล่หลังและจ้องมองอย่างเฉยเมย ทว่าร่างกายของเขากลับเปี่ยมไปด้วยปราณเซียน ตัวคนราวกับเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้ง ดลบันดาลให้ผู้คนรู้สึกใจสั่นและมิอาจหยั่งถึงได้
ที่แท้คนผู้นี้ก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!
ดวงตาของเฉินซีพลันหรี่ลงจนแทบมองไม่เห็น และเขาก็คิดในใจว่า ‘ทั้งนิกายเซียน นิกายอสูร และเผ่าบรรพกาลเหล่านี้ล้วนมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเป็นผู้นำอย่างที่ข้าคิดไว้ และชราชราในชุดคลุมสีขาวตรงหน้า ย่อมเป็นบุคคลสำคัญจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์!’
เมื่อเฉินซีเหลือบมองไปทางชายชราผู้นั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองมาที่มาชายหนุ่มเช่นกัน ดวงตาของชายชรานั้นลึกล้ำและเยือกเย็น จากนั้นเขาก็ระเบิดพลังที่คมดุจมีดดาบไปทางเฉินซีอย่างรวดเร็ว มันคมกริบเสียจนดูจะสามารถฟันวิญญาณของเฉินซีให้ขาดออกจากกันได้!
“ไม่ได้การ! ตาเฒ่านี้ดูเหมือนจะมีเจตนาฆ่าข้า!”
เฉินซีรู้สึกหวาดสะพรึงอยู่ในใจ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่มองไม่เห็น ซึ่งแฝงมากับสายตาของชายชรา
แม้ว่ามันจะหายวับไปในพริบตา แต่จิตสังหารที่แฝงอยู่ในสายตาของคนผู้นี้กลับชัดเจนมาก มันทั้งเยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าหากชายชราจ้องมองไปที่ใครแล้ว คนคนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน
ฟู่ว!
เฉินซีโคจรปีกกำราบผกผันโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพียงชั่วพริบตาต่อมา เขาก็พุ่งทะยานออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว ร่างของชายหนุ่มดูคล้ายกับลำแสงที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ
มีทางเดินหลายสายที่มุ่งสู่ห้องโถงนี้ แต่ส่วนลึกที่สุดของมัน มีประตูใหญ่ทองสัมฤทธิ์ปิดสนิทอยู่ มันเต็มไปด้วยรอยด่างดำของสนิม พื้นผิวของมันถูกประทับด้วยลวดลายโบราณที่ไม่ชัดเจน ทำให้มันดูเก่าแก่ราวกับผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน
ก่อนจะมาถึงห้องโถงนี้ เฉินซีเคยได้รับคำเตือนจากหม้อใบจิ๋วว่า พื้นที่หลักของพระราชวังแห่งการรังสรรค์อยู่ที่ด้านหลังของประตูนี้ และไกลออกไปก็มีด่านแห่งความลึกล้ำที่ลี้ลับและมิอาจหยั่งได้คอยอยู่
แต่ในขณะนี้ ประตูนี้ถือเป็นทางหนีของเขา!
เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น จิตสังหารที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเผยออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้เฉินซีสัมผัสถึงภัยคุกคามร้ายแรง และถ้าเขาไม่รีบหนีออกไปในตอนนี้ ชายหนุ่มอาจจะต้องทอดร่างทิ้งไว้ตลอดกาล!
ถึงอย่างไร ชายชราคนนั้นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี !
คำว่า ‘เซียนปฐพี’ ก็มีอักษร ‘เซียน’ อยู่ในคำอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบได้กับเซียนสวรรค์ แต่สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทุกคน ย่อมสามารถดูถูกดูแคลนผู้บ่มเพาะทุกคนในโลกได้ ด้วยพวกเขาครอบครองพลังที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ซึ่งนับเป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุดที่อยู่ต่ำกว่าเพียงตัวตนในภพเซียน
เมื่อเผชิญกับตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ แล้วเฉินซีจะกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงได้อย่างไร?
การจากไปอย่างกะทันหันของเฉินซี ทำให้ทุกคนตกตะลึง เพราะต่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงจากไปเช่นนั้น แต่ชายชราในชุดคลุมสีขาวยังคงจ้องมองที่เฉินซี และดูจะไม่แปลกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายหนีไป
“ไอ้หนู ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็ทิ้งชีวิตไว้ซะ!” ชั่วพริบตาต่อมา ชายชราในชุดคลุมสีขาวพลันสะบัดแขนเสื้อของเขา และทันใดนั้น เจ้าตัวก็ปล่อยสายฟ้าที่เปล่งประกายสีม่วงออกมาอย่างรุนแรง
วูบ~ วูบ~ วูบ~
หลังจากสายฟ้าสีม่วงหมุนวนไปชั่วขณะ หลุมดำนับไม่ถ้วนก็ก่อตัวขึ้น และทำให้เกิดแรงดูดอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้พื้นที่รอบกายเฉินซีเริ่มแปรปรวนและส่งเสียงอึกทึกครึกโครม
“ไม่ได้การ!”
ชั่วพริบตาเดียว เฉินซีก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งกาย ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจ และโดยสัญชาตญาณ ชายหนุ่มพลันใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันขึ้นเป็นชั้น ๆ รอบตัว อีกทั้งยังใช้เคล็ดวิชาล้ำลึกมากมาย เพื่อปกคลุมร่างกายเอาไว้
แต่ถึงกระนั้นเฉินซีก็ยังไม่สบายใจ เขาจึงโคจรแดนฮุ่นตุ้นอีกครั้ง และทำให้มันสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังเรียกปีกกำราบผกผันให้กางออก ก่อนจะโคจรพลังทั้งหมดที่มีไปยังมัน
ครืนน!
สายฟ้าสีม่วงระเบิดอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งร่างกาย ในขณะที่ทุกสิ่งรอบตัวเขากำลังถูกทำลาย ราวกับประสบกับภัยพิบัติใหญ่วันสิ้นโลก สภาพแวดล้อมปั่นป่วนวุ่นวายราวเป็นทะเลเพลิงในนรก และม่านพลังป้องกันของชายหนุ่มก็พังทลายลงทีละชั้น
เพียงแค่ชั่วพริบตา ร่างกายของเฉินซีก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันร้ายแรงถึงขั้นที่สายฟ้าสีม่วงได้ทะลวงไปถึงแดนฮุ่นตุ้นในกายของเขา!
“ต้นอ่อนเงาทมิฬ พันหมื่นแสนความลึกล้ำ เก็บหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว จงลุกโชนและฟื้นฟู!”
ในช่วงเวลาวิกฤต จู่ ๆ แดนฮุ่นตุ้นของเฉินซีก็ปล่อยคลื่นเสียงดังกัมปนาท ในขณะที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก่อตัวขึ้นจากต้นอ่อนเงาทมิฬ ก็พ่นปราณเซียนออกมา และหมุนวนไปมาเพื่อกำจัดสายฟ้าสีม่วงที่รุกรานเข้ามาในแดนฮุ่นตุ้น แต่เส้นลมปราณและอวัยวะภายในร่างกายของชายหนุ่มก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกทำลายไปแล้ว
พรวด!
เฉินซีไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ใบหน้าของเขาซีดเผือดจนแทบโปร่งแสงในทันที
“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
“นี่คือพลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี?”
เมื่อเทียบกับบาดแผลฉกรรจ์ทั่วทั้งร่างกาย เฉินซีกลับรู้สึกแปลกพิกล ทันใดนั้น ความรู้สึกอันตรายสุดขั้วได้พุ่งเข้าสู่หัวใจของเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงทะยานหลบไปทางด้านข้างโดยสัญชาตญาณ
ตู้ม!
ประกายกระบี่สายฟ้าได้ฟันลงมายังตำแหน่งที่เขาเคยยืนอยู่ และไถพื้นดินเสียจนเกิดเป็นร่องลึกอันน่าสะพรึงกลัว
แน่นอนว่า เฉินซีในเวลานี้ย่อมไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มกลายเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกต้อนให้จนตรอก ดวงตาของเขาแดงก่ำและกัดฟันแน่น ขณะใช้พลังในร่างกายทั้งหมด ทำให้เลือดและพลังชีวิตในร่างกาย… คล้ายถูกเผาไหม้อย่างบ้าคลั่ง!
ชั่วพริบตาต่อมา เขากลายเป็นลำแสงกระแทกเข้ากับประตูที่อยู่ภายในห้องโถงให้เปิดออกและพุ่งเข้าไปข้างในนั้น
ครืน!
“เจ้าหมาแก่! ข้าจะจดจำความแค้นครั้งนี้เอาไว้! ข้าจะเอาชีวิตสุนัขของเจ้าให้จงได้!” ประตูทองสัมฤทธิ์ปิดลงอย่างแน่นหนาอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงเสียงที่เต็มไปด้วยความแค้นและเจตนาฆ่าของเฉินซีที่ดังออกมา
“ฮึ่ม!” ชายชราในชุดคลุมสีขาวส่งเสียงต่ำในลำคอ แต่ไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่าย เพียงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าถมึงทึงแทน เจ้าตัวดูจะประหลาดใจเล็กน้อยที่เฉินซีสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของเขาได้
ส่วนคนอื่น ๆ ในห้องโถงต่างก็ตกตะลึงจนเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง
เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเกินไป นับตั้งแต่ที่เฉินซีทะยานออกไป หรือตอนที่ชายชราในชุดคลุมสีขาวโจมตี ตลอดจนถึงตอนที่ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา รวดเร็วจนทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว และกว่าจะตอบสนองได้ทัน ร่างของเฉินซีก็หายวับเข้าไปหลังประตูทองสัมฤทธิ์แล้ว!
การต่อสู้ครั้งนี้อาจถือได้ว่าเกิดขึ้นในชั่วพริบตา!
โดยเฉพาะการต่อสู้ในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีและผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ซึ่งแค่คิดถึงฉากการต่อสู้ดังกล่าว ทุกคนก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว และแม้แต่หายใจก็ลำบาก
ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
ชายหนุ่มสามารถหลบหลีกการลอบทำร้ายของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้สำเร็จ!
ทุกคนต่างถามตัวเองว่า ถ้าพวกเขาเป็นเฉินซีในตอนนี้ คงจะถูกบดขยี้จนตายไปนานแล้ว และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจมากที่สุดเช่นกัน
แต่ไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาอันไร้ขอบเขตของแดนภวังค์ทมิฬ แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้นั้น …ก็หาได้ยากเฉกเช่นเขากิเลนและขนวิหคอมตะ
พวกเขาต่างตระหนักได้ว่า หากเรื่องราวของเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้แพร่กระจายออกไป มันจะทำให้ชื่อของเฉินซีเป็นที่เลื่องลือไปทั่วอย่างแน่นอน!
“ท่านอาจารย์ลุงฉู่จิ่ง การกระทำของท่านดูจะ…” หลังจากนั้นไม่นาน เหลิ่งฉานเอ๋อร์จ้องมองไกลออกไปด้วยความว่างเปล่า และเอ่ยปากถาม
“ไม่คำนึงถึงสถานะของตัวข้าเลยสักนิดสินะ?” ชายชราในชุดขาวที่มีนามว่าฉู่จิ่งยิ้มบาง ๆ แต่ดวงตาของเขากลับเย็นชามาก “ครั้งนี้ เจ้าเด็กเฉินซีจะต้องถูกฆ่าที่นี่! ไม่ใช่แค่ข้า แม้จะเป็นผู้อาวุโสคนอื่นของนิกายที่มาที่นี่ พวกเขาก็จะทำเช่นเดียวกัน และเจ้าน่าจะรู้เหตุผลดีกว่าข้า”
หญิงสาวตกตะลึงราวกับสายฟ้าฟาด ความขมขื่นพลันผุดขึ้นที่มุมปากของนาง นางรู้ดีว่ามันเป็นเพราะปรมาจารย์ชิงซิวอี้ นิกายวิถีกระแสสวรรค์จึงมองว่าเฉินซีเป็นดั่งหนามยอกอก และพวกเขาไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากเลาะเส้นเอ็นกระชากกระดูกของอีกฝ่ายออกมา และเผาร่างของเฉินซีให้เป็นจุณ ก่อนจะโปรยเถ้ากระดูกทิ้ง
แต่ตัวนางไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผู้อาวุโสของนางจะลอบทำร้ายผู้เยาว์ต่อหน้าต่อตาทุกคน และสิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในใจ
เท่าที่นางกังวล การต่อสู้ของเฉินซีกับใต้เท้าปิงซื่อเทียนก็เหมือนกับปาไข่ใส่หิน และชายหนุ่มก็ประเมินความสามารถของเขาสูงเกินไป แม้ว่าต้องการจะจัดการชายหนุ่ม แต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกระทำอย่างไร้อายขนาดนี้มิใช่หรือ?
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป มันอาจจะไม่ใช่แค่การเย้ยหยันจากกองกำลังต่าง ๆ เท่านั้น แต่อาจเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ …ถ้าข่าวนี้ลอยไปเข้าหูของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!
“ฮ่า ๆ เจ้าเด็กนั่นบาดเจ็บสาหัสแล้ว ข้าจะไปฆ่ามันและยึดสมบัติคืน!” ศิษย์ของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ระเบิดเสียงหัวเราะแลดูค่อนข้างพึงพอใจ เจ้าตัวตื่นเต้นแล้วตั้งใจจะพุ่งเข้าไปในประตูทองสัมฤทธิ์และไล่ตามเฉินซีไป
“ไม่จำเป็นต้องไล่ตามมัน” จู่ ๆ ฉู่จิ่งก็โพล่งขึ้นและสั่งการอย่างไม่แยแส “อีกด้านหนึ่งของประตูนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีของกองกำลังอื่น ๆ ได้เข้าไปก่อนหน้านี้แล้วและได้ติดอยู่ภายในนั้น เจ้าเด็กนั่นบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของข้าก่อนหน้านี้ และชีวิตของมันจะถึงคราวจบสิ้นหลังจากที่เข้าไปที่นั่น”
ในเวลานี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ของกองกำลังอื่น ๆ ต่างสูญเสียความสงบ และสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจากกองกำลังอื่น ๆ? นั่นพวกของเราไม่ใช่หรือ”
เมื่อคนทั้งหมดนึกตามว่า ปรมาจารย์จากกองกำลังของพวกเขาติดอยู่เบื้องหลังของประตูทองสัมฤทธิ์บานนั้น และไม่รู้ว่าชะตากรรมว่าเป็นหรือตาย พวกเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่งหัวใจ …ที่ด้านหลังของประตูมีภัยอันตรายแบบใดกัน ถึงทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีไม่สามารถหลบหนีออกมาได้?
“ไปกันเถอะ นอกจากประตูทองสัมฤทธิ์นั่นแล้ว พระราชวังแห่งการรังสรรค์นี้น่าจะมีความลึกลับมากมายเหลืออยู่ จงค้นหาอย่างระมัดระวัง การพบกับโชคลาภก้อนโตจึงไม่น่าจะใช่เรื่องยากนัก” ฉู่จิ่งกวาดสายตามองคนอื่น ๆ ในห้องโถง และแค่นเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะพาเหลิ่งฉานเอ๋อร์และคนอื่น ๆ จากไป
ด้วยสถานะของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี เขาจะไม่ลงมือกับผู้เยาว์เหล่านี้เป็นอย่างแน่นอน เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่คำนึงถึงสถานะ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้เยาว์เหล่านี้ที่ล้วนมาจากกองกำลังที่แข็งแกร่ง ทำให้ตัวเขาไม่กล้าฆ่าคนเพื่อปิดปาก
แต่การลงมือกับเฉินซีก่อนหน้านี้… เป็นกรณีที่พิเศษและมิอาจเอามารวมกันได้
“ไปกันเถิด พวกเราไปค้นหาที่อื่นกัน” นักพรตเต๋าสุริยันชาดถอนหายใจและรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย เขาส่ายศีรษะและนำผู้เยี่ยมยุทธ์ของนิกายฟ้ากำเนิดจากไปเช่นกัน
“ไปกันเถอะ แม้แต่ปรมาจารย์ก็ยังติดอยู่ข้างใน หากเราเข้าไป มันจะเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความตาย ดังนั้นกังวลไปก็เปล่าประโยชน์!” เหวินเต้าหรานนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะตัดสินใจในที่สุด
ในเวลาไม่นาน เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั้งนิกายเซียน นิกายอสูร และเผ่าบรรพกาลก็ทยอยจากไปอย่างต่อเนื่อง และไม่มีใครกล้าเดินเฉียดประตูทองสัมฤทธิ์บานนั้นเลย
ราวกับมันเป็นนรกอเวจีที่กว้างใหญ่หรือทางตันที่อยู่อีกฟากของประตูทองสัมฤทธิ์ ซึ่งความตายจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!