บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 691 ถ่ายทอดเต๋า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 691 ถ่ายทอดเต๋า

บทที่ 691 ถ่ายทอดเต๋า

คลื่นน้ำพลุ่งพล่านที่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเสี่ยวเฉิน ดูเหมือนรูปแกะสลักลึกลับที่ปล่อยกลิ่นอายอันน่าตกตะลึงของมหาเต๋าแห่งวารี ซึ่งดึดดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ในค่าย ด้วยมันเหมือนกับปาฏิหารย์จากสวรรค์ได้อุบัติขึ้น!

แต่ในไม่ช้า เสียงอุทานชื่นชมของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง!

เพราะในเวลานี้ ลวดลายที่งดงามได้เผยออกมาให้เห็นเกือบจะพร้อม ๆ กันเหนือร่างของเด็กน้อยคนอื่น ๆ มันเป็นรูปแบบของเปลวไฟที่ลุกโชน แสงสีทองริบหรี่ แสงสีเขียวที่เอ่อล้น ซึ่งล้วนงดงามยิ่งนัก และเผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา

นรกขุมที่เก้าถูกปกคลุมด้วยท้องฟ้าสีเทาขุ่นมัวตลอดทั้งปี และมันก็แห้งแล้งโดยสิ้นเชิง เต็มไปด้วยหินสีเทาและกรวดหิน ซึ่งจืดชืดจนไม่น่าพิสมัย

ถึงกระนั้น สภาพแวดล้อมของที่ตั้งค่ายกลับเต็มไปด้วยสีสันที่สวยงามและหลากสีสัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพลังชีวิตประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้พลุกพล่าน ซึ่งเหมือนกับฟ้าดินจะกลับกลายเป็นอุดมสมบูรณ์ มันถูกแต่งแต้มด้วยสีสันที่วิจิตรงดงาม

มันเป็นกลิ่นอายที่ก่อตัวขึ้นจากมหาเต๋าแห่งวารี มหาเต๋าแห่งอัคคี มหาเต๋าแห่งทอง และมหาเต๋าแห่งพฤกษา พลังแก่นแท้ที่บริสุทธิ์ของฟ้าดินนี้ ดูราวจะจุติลงมายังดินแดนรกร้างซึ่งถูกเต๋าแห่งสวรรค์ทอดทิ้ง และปรากฏการณ์ที่อุบัติขึ้นก็ยิ่งใหญ่อลังการ จนทำให้คนจากเผ่านรกขุมที่เก้าซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคนต่างจ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกโพลง พากันงงเป็นไก่ตาแตก!

ผลกระทบทางสายตาที่รุนแรงนั้นเหมือนกับพายุที่โหมกระหน่ำเข้าใส่หัวใจของพวกเขา จากนั้นคนทั้งหมดก็รู้สึกอึ้งตะลึงงันไป!

“นั่นคือเคล็ดวิชาบ่มเพาะอะไร? ทำไมมันถึงช่างงดงามยิ่งนัก!” เจ้าดำพึมพำ

“ข้ารู้สึกว่าถ้าสามารถควบคุมพลังนั้นได้ ข้าก็จะสามารถฆ่าสุนัขทมิฬเฝ้านรกได้ด้วยมือของข้าเอง!” เจ้าหน้าบากลูบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ดวงตาพลันกะพริบถี่ ก่อนจะส่องแสงเป็นประกายสดใสออกมา

“มันไม่ใช่เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ บางทีอาจเป็นพลังงานที่น่าอัศจรรย์และน่าเกรงขามอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง” เจ้าโล้นเลียริมฝีปากของตนพลางจ้องเขม็ง

“นั่น…น่าจะเป็นเต๋ารู้แจ้ง ข้าเคยได้ยินท่านนักบวชเคยกล่าวถึงสิ่งนี้ นานมาแล้วก่อนที่โลกของเราจะถูกภพทั้งสามทอดทิ้ง แทบทุกคนในเผ่าของเราสามารถเข้าใจและควบคุมเต๋ารู้แจ้งได้ ทำให้เราสามารถสั่งลมและเมฆได้”

เจ้าหินที่สงบเสงี่ยมและเป็นผู้ใหญ่เกินวัยกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เต๋ารู้แจ้งหรือ?”

ทุกคนต่างแสดงสีหน้าสับสนเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เพราะนับตั้งแต่พวกเขาเกิดมา ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในนรกขุมที่เก้าซึ่งถูกเต๋าแห่งสวรรค์ทอดทิ้ง ดังนั้นพวกเขาจะจินตนาการได้อย่างไรว่า พลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้จะมีอยู่ในโลก!

โดยไม่ได้ตั้งใจ ความร้อนรนกระสับกระส่ายพุ่งออกมาจากภายในหัวใจของพวกเขา และทุกคนก็ปรารถนาที่จะเข้าใจพลังงานที่เรียกว่าเต๋ารู้แจ้งเช่นกัน แต่ด้วยความคำนึงถึงหน้าตาของพวกเขา จึงไม่มีใครเต็มใจ ‘ยอม’ เลยสักคนเดียว

ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นคนเลือดร้อนและไม่ยอมใครของนรกขุมที่เก้า เนื่องจากพวกเขาตัดสินใจว่าจะต่อต้านเฉินซี แล้วพวกเขาจะยอมจำนนเช่นนี้ได้อย่างไร?

เด็กเหล่านั้นพากันขมวดคิ้วและนิ่งเงียบ ในขณะที่พวกเขายืนหยัดในศักดิ์ศรีอย่างดื้อรั้น ไม่คิดยอมสยบให้กับใคร

“เด็กน้อยเหล่านี้เริ่มหวั่นไหวแล้ว” โม่ย่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสน หญิงสาวรู้สึกว่าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเด็กน้อยเหล่านี้จะไม่หวั่นไหว แต่หัวใจของพวกเขาก็อาจถูกเฉินซีพิชิตได้

“ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่ข้าก็หวั่นไหวเล็กน้อย” เหมิงเหวยหัวเราะอย่างขมขื่น พลางถอนหายใจ “นั่นคือเต๋ารู้แจ้ง และนอกจากปราชญ์จากยุคบรรพกาลของเผ่านรมขุมที่เก้าของเรา จะมีผู้ใดที่เข้าใจมันหลังจากผ่านกาลเวลาอันยาวนานเช่นนี้?”

เขารู้สึกราง ๆ ว่า บางทีความสามารถเล็กน้อยที่เฉินซีแสดงออกมานั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรกับตัวชายหนุ่มเลย แต่สำหรับเผ่านรกขุมที่เก้าของพวกเขา มันไม่ได้ด้อยไปกว่าการเปิดประตูสู่โลกใหม่ อีกทั้งยังทำให้พวกเขารู้สึกตกใจและโหยหาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แม้แต่เหมิงเหวยเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมและเกิดความคาดหวัง เพราะเขาต้องการที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเผ่านรกขุมที่เก้าภายใต้การนำของคนนอกผู้นี้

“ถ้า…” โม่ย่าโพล่งขึ้นมาทันที ฟันที่ขาวราวกับหิมะของนาง พลันขบกับริมฝีปากเบา ๆ หญิงสาวแสดงสีหน้าซับซ้อนไม่แน่นอน หลังจากนั้นจึงกัดฟันแน่นและกล่าวว่า “ข้ากำลังบอกว่า หากคนผู้นี้ยอมถ่ายทอดวิธีทำการเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งให้กับคนของเผ่าเรา เช่นนั้นข้าจะยอมจำนนต่อเขา ยอมรับเขาในฐานะหัวหน้าเผ่า และจะไม่ขัดขืนคำสั่งของเขาเด็ดขาด!”

เหมิงเหวยหัวเราะอย่างขมขื่น พลางส่ายศีรษะและกล่าวว่า “แม้ว่าจะเป็นในยุคบรรพกาล แต่การจะหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งได้นั้น ต้องมีความสามารถในการเข้าใจและพรสวรรค์ เงื่อนไขของเจ้าไม่บุ่มบ่ามไปหรือ?”

“บุ่มบ่าม? ฮึ่ม! ข้าไม่คิดเช่นนั้น” โม่ย่าแค่นหายใจเบา ๆ ผ่านจมูกของนาง ทำให้รูปร่างของหญิงสาวดูงดงามเร่าร้อน เช่นเดียวกับผมหางม้าสีดำขลับที่สยายเป็นลอนอย่างสง่างามของนาง ท่ามกลางสายลมอ่อน มันก็ยิ่งขับเน้นให้นางดูสะคราญใจและมากด้วยเสน่หา

เหมิงเหวยตกตะลึงและกำลังจะกล่าว แต่จู่ ๆ เสียงการสอนของเฉินซีก็ลอยเข้าหูเขา ทำให้สีหน้าของเจ้าตัวเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที จากนั้นจึงเริ่มฟังอย่างตั้งใจ

เสี่ยวเฉิน เด็กขี้มูกโป่ง และเด็กเล็กคนอื่น ๆ ได้ตื่นจากสภาวะการรู้แจ้งถึงเต๋าแล้ว และดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความสับสน ราวกับพวกเขาได้ประสบกับความฝันที่แปลกประหลาดและเหนือจริง

เฉินซีที่เห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม และคิดที่จะตีเหล็กตอนยังร้อน เขาเริ่มอธิบายว่าเต๋ารู้แจ้งคืออะไร แล้วเราจะเข้าใจและใช้พลังงานประเภทนี้ได้อย่างไร…

ความสามารถในการทำความเข้าใจของเด็กเล็กเหล่านี้โดดเด่นเป็นอย่างมาก แต่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรู้แจ้งถึงเต๋าของพวกเขายังต้อยต่ำ และพวกเขาเป็นเหมือนกระดาษเปล่า ซึ่งสิ่งที่เด็กพวกนี้ขาดก็คือความรู้!

พวกเขาต้องได้รับความรู้เกี่ยวกับโลกนี้ และได้รับความรู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาพื้นฐานบางอย่างที่ผู้บ่มเพาะต้องเข้าใจเมื่อแสวงหามหาเต๋าแห่งสวรรค์ ตัวอย่างเช่น ความแตกต่างระหว่างลำดับขั้นของกระบวนยุทธ์ระดับเต๋ากับพลังอิทธิฤทธิ์ ความเข้าใจและการใช้เต๋ารู้แจ้ง ความแตกต่างระหว่างการขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย…

กล่าวง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาต้องได้รับความรู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างระบบการบ่มเพาะ รวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบการบ่มเพาะ

ภายในภพทั้งสาม ทั้งหมดนี้เป็นความรู้ทั่วไปที่เป็นความรู้พื้นฐานในทางปฏิบัติ ผู้บ่มเพาะทุกคนล้วนจำสิ่งนี้จนขึ้นใจ ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มบ่มเพาะ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ใครมาชี้แนะ

แต่สำหรับคนเหล่านี้ที่ถูกลืมอยู่ในนรกขุมที่เก้าแล้ว สิ่งเหล่านี้คือสิ่งจำเป็นที่พวกเขาจะต้องไขว่คว้า มิฉะนั้น แม้ว่าพวกเขาจะสามารถออกจากสถานที่นี้ได้สำเร็จและมาถึงโลกภายนอกได้ แต่ก็จะไม่สามารถปรับตัวได้ ซึ่งคงเป็นการยากที่พวกเขาจะอยู่รอด

จากการสังเกตในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เฉินซีได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่ทรงพลังใด ๆ โดยตรงเมื่อสอนเด็กเหล่านี้ แต่เริ่มจากระบบการบ่มเพาะพื้นฐานที่สุดก่อน

เสียงของเฉินซีทั้งอบอุ่นและชัดเจน อีกทั้งยังใช้คำที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และเต็มไปด้วยไหวพริบ เขาไม่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้เด็ก ๆ อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่ออธิบายความหมายของสิ่งที่กล่าวถึง

ดวงตาของเสี่ยวเฉินและเด็กน้อยคนอื่น ๆ เปิดกว้าง ใบหน้าของพวกเขาจริงจังและเอาใจใส่ พวกเขารู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวถึง

แม้แต่เหล่าเด็ก ๆ ที่นอนคว่ำอยู่นอกรั้ว ก็ยังกลั้นหายใจและจดจ่ออย่างมีสมาธิ ซึ่งไม่มีใครพูดเลยสักคน เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่เฉินซีกำลังกล่าวถึง และดูเหมือนกับหน้าต่างถูกเปิดต่อหน้าพวกเขา ทำให้เด็ก ๆ ได้เห็นอีกโลกหนึ่ง

กฎแห่งเต๋าสวรรค์มีอยู่ในระบบการบ่มเพาะที่สมบูรณ์แบบของโลกนี้ และระบบการบ่มเพาะเหล่านี้มีมากมายเหมือนดวงดาวในทางช้างเผือก ระบบการบ่มเพาะที่สมบูรณ์แบบและแม่นยำ ประกอบด้วยโอสถวิญญาณ การหลอมโอสถ การปรับแต่งอุปกรณ์ หุ่นเชิด และความรู้อื่น ๆ อีกมากมาย

ทั้งหมดนี้ช่างพิสดาร งดงาม และกว้างใหญ่ไพศาล จนทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นแรงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ความคิดของพวกเขาพากันโลดแล่นจนเกือบลืมการมีอยู่ของตนเองไปเสียสนิท

ในอีกด้านหนึ่ง เหมิงเหวยกับโม่ย่าก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน เสียงของเฉินซีเหมือนกับเสียงของธรรมชาติ และมันกระชากสายใจของพวกเขา จนทั้งสองรู้สึกล่องลอยไปไกลและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

ทั่วทั้งค่ายในเวลานี้เงียบสนิท มีเพียงเสียงไพเราะของเฉินซีเท่านั้นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ถ้อยคำที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายของชายหนุ่มเหมือนกับท่วงทำนองที่ลึกล้ำของมหาเต๋า และทำให้ทุกคนดูเหมือนมึนเมา

ภาพนี้ราวกับว่านักปราชญ์กำลังกล่าวถึงเต๋า และเหล่าทวยเทพกำลังอธิบายปัญหาที่ทำให้ทุกคนงงงวย พลอยทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรู้สึกสำรวมและศักดิ์สิทธิ์

เฉินซีไม่ได้สังเกตเลยว่า เขาดูจะกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจสำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่ ซึ่งในขณะที่เขาอธิบายความรู้อันเป็นพื้นฐานที่สุดอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย ความรู้สึกต่าง ๆ ก็พุ่งเข้ามาในหัวใจของชายหนุ่มเช่นกัน ทำให้เขาครุ่นคิดและดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

มหาเต๋าคือความเรียบง่าย และการละทิ้งความยุ่งยากทั้งหมดคือเส้นทางสู่มหาเต๋าที่แท้จริง สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดคือรากฐานของทุกสิ่ง และพวกมันเป็นเหมือนแหล่งกำเนิดของแม่น้ำ …เป็นแหล่งที่มาของมหาเต๋า!!!

ในขณะที่เขาอธิบายพื้นฐานเหล่านี้ มันเหมือนกับว่าตัวเขากำลังเดินผ่านเส้นทางแห่งการบ่มเพาะอีกครั้ง และปะทะกับสายลมบนถนนสายนี้ ทำให้ได้รับความเข้าใจที่แตกต่างออกไป

เฉินซีรู้สึกได้ว่า บางทีความเข้าใจเช่นนี้อาจไม่สามารถช่วยให้เขาฟื้นการบ่มเพาะได้ แต่ตราบใดที่ฟื้นการบ่มเพาะแล้ว มันจะสามารถทำให้ตัวเขาก้าวเดินบนเส้นทางนี้ได้อย่างมั่นคงและก้าวต่อไปได้อย่างแน่นอน!

หากกล่าวว่า ความทุกข์ยากในช่วงขอบเขตจุติเป็นการเปลี่ยนแปลงและการทำให้วิถีบ่มเพาะบริสุทธิ์ ทุกสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ก็เหมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังประสบกับวัฏจักรแห่งชีวิตและกำลังทะลวงผ่าน!

หลังจากคิดได้เช่นนี้ เฉินซีก็รู้สึกโล่งอกและมั่นใจมากขึ้น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อเส้นทางการบ่มเพาะของตนเองในอนาคต

ไม่นานนัก เฉินซีก็ยืนขึ้นและหยุดสอน

คนของนรกขุมที่เก้าเหล่านี้ซึ่งบ้านเรือนถูกทำลายและถูกไล่ล่า จนต้องใช้เวลาทั้งวันไปกับการเดินทางอันยาวนานในทุก ๆ วัน ก็ได้แต่หยุดเพียงช่วงสั้น ๆ และปล่อยให้เด็กเหล่านี้ได้บ่มเพาะยามพักผ่อน

…และบัดนี้ มันก็ได้เวลาออกเดินทางแล้ว

ตามกิจวัตรของพวกเขา เหมิงเหวยกับโม่ย่าจะนำองค์รักษ์และเด็ก ๆ เหล่านั้นไปเก็บข้าวของ รวมทั้งจัดการทุกอย่างเพื่อเตรียมออกเดินทาง

ทว่าในขณะนี้ พื้นที่ตั้งค่ายทั้งหมดกลับเงียบกริบ แม้ว่าเฉินซีจะหยุดสอน แต่ก็ไม่มีใครตื่นจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามที่จะแยกแยะความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาได้ยินจากชายหนุ่มอย่างเต็มที่

เมื่อเห็นเช่นนี้ รอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่ม เพราะเฉินซีรู้ว่าการสั่งสอนของเขาได้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และบางทีไม่นานหลังจากนั้น คนจากเผ่านรกขุมที่เก้าที่เรียบง่ายและเลือดร้อนจะยอมรับตัวเขาอย่างสมบูรณ์

ด้วยวิธีนี้ เฉินซีจะสามารถทำสิ่งที่นักบวชชรามอบหมายให้กับเขาได้สำเร็จ!

“สหายน้อย ขอบคุณเจ้ามาก!” กระโจมตรงกลางถูกเปิดออก นักบวชที่สูงวัยและผอมแห้งเดินออกมา อีกฝ่ายคุกเข่าลงบนพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง จากนั้นจึงโค้งคำนับด้วยความขอบคุณต่อเฉินซี

ท่าทางที่อุทิศตนและพิธีการโบราณที่ชายชราใช้ ทำให้ดูเหมือนพิธีการที่ใช้เมื่ออธิษฐานต่อเทพเจ้าในระหว่างการสังเวย มันทำให้เฉินซีตกตะลึงในใจและรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก อีกทั้งมันยังกระตุ้นความรู้สึกแปลก ๆ ในตัวเขา

เฉินซีเดินไปข้างหน้าและพยุงชายชราบนพื้นทันที ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ต้องกังวล ชีวิตของข้าได้รับการช่วยเหลือจากเผ่านรกขุมที่เก้า และตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ลืมทดแทนบุญคุณนี้อย่างแน่นอน”

นักบวชชราหัวเราะด้วยความพอใจ เขาแตะมือของเฉินซี และไม่กล่าวอะไรอีก

เพราะชายชรารู้ว่าเพียงเท่านี้มันก็มากพอแล้ว เมื่อได้รับคำสัญญาดังกล่าวจากเฉินซี …ชะตากรรมของเผ่านรกขุมที่เก้าก็อาจเปลี่ยนไปเพราะคำสัญญาที่ว่านี้!!!!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท