บทที่ 694 ปลาประหลาดที่ก้นแม่น้ำ
บทที่ 694 ปลาประหลาดที่ก้นแม่น้ำ
เหมิงเหวยมีท่าทีมั่งคง สงบ และสุขุม ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ความรู้สึกของเขาผันผวนมากนัก และเพราะแบบนี้ตัวเขาจึงได้รับการสนับสนุนจากทุกคน จนคว้าตำแหน่งหัวหน้าเผ่าไป
ทว่าบัดนี้ เจ้าตัวกลับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ และเห็นได้ชัดว่าความตกใจดังกล่าวนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
เหตุการณ์นี้ทำให้โม่ย่ายิ่งสงสัยเนื้อหาที่อยู่ในแผ่นหยกเข้าไปใหญ่ จนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปอ่าน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของนางก็พลันสว่างจ้าขณะที่ริมฝีปากแดงสั่นครือ ต้องการจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็ฝืนทนก่อนที่จะอ่านแผ่นหยกต่อไป
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ทั้งร่างกายของหญิงสาวพลันสั่นคลอน หน้าอกอวบอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว สร้างเส้นโค้งอันงดงามที่ทำให้ลูกตาขององค์รักษ์ที่อยู่ใกล้เคียงแทบจะถลนออกมา
แม้แต่พวกเด็ก ๆ ก็ยังตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ ความร้อนที่แผดเผาผุดขึ้นในดวงใจของพวกเขา จากนั้นใบหน้าก็แดงก่ำ พวกเขาก้มศีรษะลง ไม่กล้าที่จะมองไปยังร่างอันงดงามของโม่ย่าอีกต่อไป
โม่ย่าเริ่มหายใจเร็วถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของนางเปล่งประกายสว่างจ้า ทั่วทั้งร่างกำลังสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ด้วยสิ่งของในมือนี้เป็นราวกับสมบัติล้ำค่าที่หายาก ทำให้แทบจะควบคุมความรู้สึกไม่อยู่
ผมสีดำขลับที่งดงามของนางมัดเป็นหางม้าสลวย เช่นเดียวกับหน้าตาที่งดงามร้อนแรง เมื่อผนวกกับการหายใจถี่เร็ว มันจึงทำให้จิตใจของทุกคนรอบกายสั่นไหวแลร้อนรุ่ม
เหมิงเหวยที่ทนดูต่อไปไม่ไหว ไอแห้ง ๆ ก่อนจะกล่าว “เป็นอย่างไรบ้าง โม่ย่า?”
โม่ย่าพลันกลับมาตั้งสติ จากนั้นจึงหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะพูดอย่างจริงจังว่า “มันน่าเกรงขามยิ่ง ล้ำค่ากว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่พวกเราฝึกฝนในอดีตถึงสิบเท่า”
เด็ก ๆ และคนอื่น ๆ พากันถอนหายใจโล่งอก ท่าทางที่ท่านป้าโม่ย่าแสดงก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกเขินอาย ก่อนจะเป็นต้องชะงักงันไป… อันใดนะ? ‘แกร่งกว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ข้าฝึกฝนในอดีตถึงสิบเท่า?’ อย่างนั้นหรือ!!!
แม้พวกเขาทราบตั้งแต่ต้นแล้วว่าเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่ได้มาจากเฉินซีนั้นน่าเกรงขาม และแข็งแกร่งอย่างสุดจะหาคำบรรยาย ทว่าก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าสิ่งนี้จะทำให้แม้แต่ท่านป้าโม่ย่ายังให้คุณค่ากับมันสูงเช่นนี้!!
เหมิงเหวยถอนหายใจออกมา “แต่โชคร้ายนัก ที่เคล็ดวิชาบ่มเพาะเหล่านี้มีไว้สำหรับเด็ก ๆ เท่านั้น ซ้ำยังสมบูรณ์อย่างมาก ดังนั้นหากพวกเราบ่มเพาะเคล็ดวิชานี้ ผลที่ตามมาจะตรงกันข้าม”
โม่ย่าขมวดคิ้วเรียวของนาง ในใจรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง
ส่วนเหล่าองครักษ์ที่เงียบมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “อะไรจะยากขนาดนั้น? จะดีกว่าหรือไม่ถ้าพวกเราไปหาพี่เฉินซีและขอเคล็ดวิชาการบ่มเพาะมา?”
โม่ย่าตาเป็นประกายก่อนจะหรี่ลง “เขาจะ…ตกลงหรือ?”
เหมิงเหวยส่ายศีรษะพลางหัวเราะดังลั่น “ข้าว่านะ เจ้าคงกำลังเขินอยู่ล่ะสิ?”
โม่ย่าเบิกตากว้าง และเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างดุร้ายก่อนจะเม้มริมฝีปาก “เจ้าก็พูดไปเรื่อย แล้วเจ้าล่ะ? ไม่เขินเหมือนกันหรอกหรือ?”
เหมิงเหวยตกตะลึง แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็เห็นองครักษ์คนนั้นแอบเดินออกไป ทำให้เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังทำอะไร?”
“เอ่อ ข้ากำลังไปขอให้เฉินซีมอบเคล็ดวิชาการบ่มเพาะให้กับข้า” องครักษ์คนนั้นพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ถ้าข้าปล่อยให้เวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้คงจะถูกคนอื่นกวาดเรียบไปก่อนเป็นแน่”
เหมิงเหวยกับโม่ย่าประหลาดใจ พวกเขาเพิ่งสังเกตได้ว่ามีคนจำนวนมากล้อมรอบเฉินซีอยู่ และคนทั้งหมดล้วนเป็นองครักษ์ของเผ่า บางคนกำลังรออย่างใจจดใจจ่อพลางเกาศีรษะ ในขณะที่บางคนยิ้มแย้มเมื่อพวกเขาจากไป ทำให้เฉินซีคล้ายได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
“เขาเป็นสหายที่ไม่สามารถอ่านความคิดได้อย่างแท้จริง เจ้าคิดว่ามีความลับซ่อนอยู่ในตัวเขามากเท่าไร? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง และมันก็ไม่มีอะไรเกินเลยความสามารถสำหรับเขา…?” โม่ย่าถอนหายใจแผ่วเบาเช่นเดียวกับเสียงที่เปล่งออกมา ทว่านางกลับไม่ได้รับคำตอบใด ดังนั้นจึงหันมองไป ก่อนที่หญิงสาวจะต้องกัดฟันแล้วกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เหมิงเหวย ไอ้สารเลว!”
ในระยะไกลห่างออกไป เหมิงเหวยได้เดินมาถึงข้าง ๆ เฉินซีพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า และเริ่มพูดคุยกับชายหนุ่ม
“บ้าเอ๊ย! เจ้าทิ้งข้าไว้จริง ๆ หรือเนี่ย…” โม่ย่ากระทืบเท้าอย่างแรงขณะที่พึมพำและเดินไปหาด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น
นางแหวกผ่านฝูงชนมายืนข้างตัวชายวัยกลางคน ทว่าก่อนที่นางจะทันได้พูด เฉินซีที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่นว่า “แม่นางโม่ย่าไม่ต้องกังวล ข้าได้เตรียมเคล็ดวิชาการบ่มเพาะให้กับท่านแล้ว”
ขณะกล่าว ชายหนุ่มก็ส่งแผ่นหยกให้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นอย่างที่เขาพูด คนคนนี้ได้เตรียมเคล็ดวิชาที่เหมาะกับการบ่มเพาะของโม่ย่าไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
หญิงสาวตกตะลึงทันทีกับผลลัพธ์เช่นนี้ นางฝืนกลืนคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาแทบไม่ทัน และเมื่อเผชิญกับสายตาที่อบอุ่นเอื้ออารีของเฉินซี นางก็พลันก้มหัวลงอย่างรู้สึกละอายใจแทน
ผู้คนรอบข้างงงงัน โม่ย่าเป็นสตรีดุร้าย มีความเป็นผู้ใหญ่ ใจเย็น และมากความสามารถเสมอ ใครจะไปคิดว่านางจะเผยด้านที่อ่อนโยนและเอียงอายเช่นนี้ออกมา?
โม่ย่าเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไปเช่นกัน นางจึงเงยหน้าขึ้นและกวาดสายตาอันดุร้ายมองไปโดยรอบ บีบให้คนอื่น ๆ เสหน้าหันไปทางอื่น ก่อนที่หญิงสาวจะหันไปรับแผ่นหยกมา “ขอบคุณมาก ข้าจะตอบแทนบุญคุณนี้ในเร็ววันแน่”
ทันทีที่นางพูดจบก็หันหลังจากไป ปล่อยให้ผมหางม้าแกว่งไปมาล้อกับเส้นโค้งสัดส่วนอันสวยงามของตน
เฉินซีแอบขบขันอยู่ในใจกับท่าทีเช่นนี้ เพราะเขายังเห็นปลายนิ้วของโม่ย่าสั่นอยู่บ้างเมื่อรับแผ่นหยกไป เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สำรวมเหมือนที่เห็นภายนอกเท่าไรนัก
นางก็แค่หญิงสาวที่ต้องการรักษาภาพลักษณ์ดุดันไว้เท่านั้น!
เฉินซีถอนหายใจ เขาเลิกคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะผงกศีรษะและเริ่มแจกจ่ายเคล็ดวิชาการบ่มเพาะให้กับคนอื่น ๆ ต่อ
…
เขาทราบว่าหากต้องการหลบหลีกการไล่ล่าของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างมิติ ในขณะที่พาทุกคนออกไปจากขุมนรกแห่งนี้ แค่ความแข็งแกร่งอย่างเดียวคงไม่พอ
โดยเฉพาะตัวเฉินซีในตอนนี้ได้สูญเสียการบ่มเพาะปราณแท้ไป ในขณะที่การขัดเกลากายากลับมาก็ฟื้นฟูได้ถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขาเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขาม ผลที่ตามมาจะต้องเหนือจินตนาการเป็นแน่!
ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงใช้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะต่าง ๆ ที่มีเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผู้คนในเผ่าทั้งหมด เพราะเมื่อทุกคนแข็งแกร่งขึ้นแล้ว พวกเขาก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
หลังแจกจ่ายเคล็ดวิชาการบ่มเพาะเสร็จแล้ว เฉินซีก็พบว่าผู้คนทั้งกลุ่มเริ่มเหม่อลอย ด้วยพวกเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ได้รับไป ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลกขบขัน
เขาทอดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะสั่งให้พวกเขาตั้งค่าย เพราะในสถานการณ์นี้คงไม่เหมาะที่จะเดินหน้าต่อ
“เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนปล่อยใจให้สบายและเริ่มบ่มเพาะได้ ปล่อยให้หน้าที่ทำอาหารและเฝ้าค่ายเป็นของข้าเอง” เฉินซีคิดว่าถ้าปล่อยให้พวกองครักษ์และเด็ก ๆ หลุดจากห้วงภวังค์ในขณะนี้คงไม่เป็นการดีเท่าไร ดังนั้นเขาจึงรับอาสาทำหน้าที่ส่วนอื่น ๆ ให้แทน
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็พากันยิ้มแย้มด้วยความปลื้มปีติ พวกเขารีบใช้เวลาทุกอึดใจนั่งขัดสมาธิทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะด้วยใจที่สงบ
ไม่มีใครพูดคุยหรืออยู่นิ่งเฉย ทั้งค่ายเงียบสงัดไปกับการดื่มด่ำเคล็ดวิชาบ่มเพาะของพวกเขาเอง ใจที่โหยหาความแข็งแกร่งของพวกเขาทำให้เฉินซีรู้สึกสะเทือนใจ
อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้รบกวนใคร เขาเพียงออกจากค่ายอย่างเงียบ ๆ เพื่อมาที่ริมแม่น้ำนรก
แม่น้ำนรกตรงหน้าชายหนุ่มกำลังไหลเชี่ยวกรากและสั่นสะเทือนในขณะที่คลื่นซัดขึ้นท้องนภา มันอันตรายมากจนแม้แต่เหยี่ยวกระดูกก็ยังไม่กล้าบินเหนือแม่น้ำ เพราะพวกมันกลัวที่จะถูกคลื่นซัดจนตาย
เฉินซียืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ในขณะที่จู่ ๆ ดวงตาแนวตั้งก็เบิกกว้างขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา เนตรที่สามนี้กำลังจ้องมองไปยังก้นแม่น้ำ
ผ่านไปไม่นาน ร่องรอยความตกใจพลันปรากฏที่มุมปากของเขา แม่น้ำนรกนี้มีความลึกถึงพันจั้ง มันดูเหมือนเหวไร้ก้น ซ้ำยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตที่พลุ่งพล่านอยู่ด้านล่าง
“อย่างที่คาดไว้เลย ข้ารู้ว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตข้างใต้นี้อย่างแน่นอน…” เฉินซีพึมพำ ขณะที่จิตสัมผัสเทพภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของเขาได้เปลี่ยนเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่ทอดลงแม่น้ำอย่างรวดเร็ว
ซ่า!
หลังจากนั้นไม่นาน พื้นผิวแม่น้ำที่คดเคี้ยวพลันปะทุขึ้นมา ปลาขนาดใหญ่นับสิบที่มีความยาวสามจั้ง ตัวใหญ่เท่าหุบเขา และปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำได้ถูกจับขึ้นมา
เกล็ดสีดำของพวกมันดูน่ารังเกียจเป็นอย่างมาก ส่วนปากของพวกมันก็เต็มไปด้วยเขี้ยวคมที่ขาวราวกับหิมะ หางที่ส่ายไปมาได้ส่งเสียงดัง ‘ปัง’ ไปทั่วพื้นที่ จนพื้นธรณีด้านใต้สั่นสะเทือน แสดงถึงพละกำลังที่มากล้น
หากเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง พวกเขาก็คงถูกหางฟาดจนแหลกไปแล้ว!
ทว่าทันทีที่ปลาใหญ่นับสิบถูกจับ ดวงจิตของพวกมันก็ถูกจิตสัมผัสเทพอันน่าเกรงขามของเฉินซีบดขยี้จนแหลกสลายและตกลงกับพื้นโดยตรง
ช่างเป็นปลาที่ดุร้ายและแปลกเสียจริง แม้จะไม่มีปราณวิญญาณ ทว่าแค่พละกำลังและเลือดลมของพวกมันก็ยังมากจนน่าตกใจ ซึ่งเทียบกับผู้ขัดเกลากายาขอบเขตจุติได้เลยทีเดียว!
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกตะลึง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเพื่อเอาปลาเหล่านี้กลับไป
แม้ปลาเกล็ดดำเหล่านี้จะเทียบกับโอสถวิญญาณไม่ได้ แต่เนื้อของพวกมันก็ยังเป็นแหล่งปราณโลหิตชีวิตชั้นดี มีผลวิเศษมากมายเหมาะกับการบ่มเพาะกายาและการรวมรากฐานแห่งเต๋าของเด็ก ๆ
…
เกิดควันโขมงขึ้นกลางค่าย หม้อต้มทองสำริดถูกตั้งอยู่ที่นี่ และซุปน้ำข้นขาวเดือดปุด ๆ กำลังส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมา ทำให้ชวนจินตนาการถึงรสชาติเข้มข้นอร่อยเลิศ
เฉินซียืนอยู่หน้าหม้อต้ม พลางใส่โอสถวิญญาณมากมายเป็นครั้งคราว ผสมกับหญ้าล้ำลึกทั้งเจ็ดเพื่อขยายเส้นชีพจร โป่งรากสนเขียวเพื่อหล่อเลี้ยงปราณแท้ และผลท้อแดงเพื่อขจัดสิ่งเจือปนออกจากร่างกาย…
วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้เป็นของที่เขาเก็บมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และนำมาปลูกไว้ในป่าแห่งเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ทั้งหมดนี้เป็นโอสถวิญญาณล้ำค่าที่ช่วยรวมรากฐานแห่งเต๋า
ในตอนนี้ ของเหล่านี้ไม่จำเป็นกับเขาแล้ว ฉะนั้นจึงเหมาะที่จะนำมาช่วยเรื่องการบ่มเพาะให้กับเด็ก ๆ เหล่านี้
ในชั่วพริบตา กลิ่นหอมเย้ายวนชวนเตะจมูกได้กระจายไปทั่วค่าย และมันก็กระตุ้นความอยากอาหารของใครก็ตามที่ได้กลิ่น
จ๊อก! จ๊อก!
เสียงแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในพื้นที่รอบ ๆ เฉินซีหันกลับไปจึงพบว่าเด็ก ๆ กำลังเขม็งมองซุปอันโอชะในหม้อต้มพร้อมน้ำลายไหลไม่หยุด
ปรากฎว่าเสียงแปลก ๆ เหล่านั้นดังออกมาจากท้องของพวกเขานั่นเอง!
“เอ่อ พวกเจ้าไม่ไปบ่มเพาะต่อเล่า?” เฉินซีถาม
กลุ่มเด็ก ๆ ต่างเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาออกมา ขณะที่พวกเขายังคงจ้องหม้อต้มต่อไป มองแล้วดูเหมือนหมาป่าที่หิวโหยฝูงใหญ่ที่พร้อมจ้องจับเหยื่อของพวกมัน และพวกมันคงจะต้องตรอมใจตายเป็นแน่หากไม่ได้ลิ้มลอง
เหมิงเหวย โม่ย่า และองครักษ์คนอื่น ๆ เองก็เริ่มเข้ามาล้อมตัวเขาเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งเข้ามาเพราะกลิ่นชวนน้ำลายสอแสนยั่วยวน ส่วนอีกกลุ่มก็พากันอุทานด้วยความชื่นชมในฝีมือการปรุงอาหารของเขา
ด้วยหม้อซุปเนื้อนี้ไม่เพียงจะมีสี กลิ่น และรสชาติที่เลอเลิศเท่านั้น มันยังอุดมด้วยกลิ่นของปราณวิญญาณและพลังโอสถที่เตะจมูก ที่เพียงแค่สูดดมก็รู้สึกสบายเบาหวิวไปทั่วทั้งกาย
เมื่อเทียบกับซุปเนื้อก่อนหน้านี้ พวกเขารู้สึกทันทีว่าของที่กินไปเมื่อก่อนนี้ห่วยสิ้นดี จะเรียกว่าอาหารก็คงไม่ได้!
“เชิญรับประทานได้” ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อดับไฟ จากนั้นจึงเก็บเตาเผา
ตุบตับ!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เด็ก ๆ ที่ถูกความหิวโหยทรมานจนตาแทบแดงก็วิ่งกรูเข้ามาด้วยเสียงเฮที่ดังลั่น