บทที่ 698 ค่ายกลไฟนรกตะวันคราม
บทที่ 698 ค่ายกลไฟนรกตะวันคราม
“นับเป็นยอดธนูโดยแท้!” หลังจากที่จัดการผู้บ่มเพาะระดับผลึกม่วงได้สำเร็จ ดวงตาคมกริบของเหมิงเหวยก็จ้องมองไปยังคันธนูสีดำสนิทผิวขรุขระในมือ และอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมเชยมันออกมา
สิ่งนี้ถือเป็นสมบัติจ้าววิญญาณที่น่าเกรงขาม สีของมันดำสนิทไร้เงามันวาวดั่งท้องฟ้ารัตติกาล ปกคลุมไปด้วยพลังปราณที่ลึกลับและเป็นเอกเทศ คันธนูและสายถูกสร้างขึ้นจากกระดูกและเส้นเอ็นของเทพอสูร เรียกได้ว่าเป็นสมบัติหายากที่มิอาจประเมินค่าได้!
เหมิงเหวยเป็นผู้บ่มเพาะที่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งคันศร เจ้าของฉายา ‘คันศรเทพ’ แห่งเผ่านรกขุมที่เก้า ในความทรงจำของเขา จดจำได้เพียงว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขาเคยครอบครองศัสตราวิเศษนี้เมื่อยุคบรรพกาล
แต่น่าเสียดายที่สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้สูญหายไปตามกาลเวลาเมื่อนานมาแล้ว
ส่วนคันธนูเบื้องหน้าของเขาคือ ธนูทลายดาราที่ยืมมาจากเฉินซีเพื่อรับมือกับผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพระดับทองทั้งสิบคน ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้เอง เหมิงเหวยจึงจัดการอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงก็ยังราบคาบด้วยการโจมตีเพียงหนึ่งครั้ง!
สายตาของเหมิงเหวยทอดมองธนูทลายดาราครู่หนึ่ง ใช้ปลายนิ้วหยาบกร้านไล้ไปตามคันธนูอันเย็นเยียบเบา ๆ ก่อนจะส่งมันคืนให้เฉินซีด้วยความเด็ดเดี่ยว “น้องเฉินซี ขอบใจเจ้ามากที่ให้ข้ายืมศัสตราวิเศษเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้า ข้าจึงสังหารศัตรูพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย”
ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ยื่นมือออกไปรับมันกลับคืนไป เขาเพียงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อพี่ใหญ่เหมิงเหวยชอบ เช่นนั้นก็เก็บมันไว้เถิด อย่างไรนี่ก็เป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ข้าโดยบังเอิญ และหากมันได้ไปอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญเต๋าแห่งคันศรอย่างพี่ใหญ่ สมบัติชิ้นนี้ก็คงจะสร้างประโยชน์ให้แก่ท่านไม่น้อย”
เขาสังเกตมานานแล้วว่าเหมิงเหวยนั้นถนัดเต๋าแห่งคันศรยิ่ง หากการบ่มเพาะของอีกฝ่ายสอดประสานกับธนูทลายดารา เขามั่นใจว่าความแข็งแกร่งของเหมิงเหวยจะก้าวกระโดดไปไกลจนน่าตกใจ!
และจากการอนุมานของเฉินซี ชายหนุ่มเชื่อว่าแม้แต่เยี่ยนสือซานผู้แข็งแกร่งก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้เหมิงเหวยในสนามต่อสู้อย่างแน่นอน
นั่นเป็นเพราะเหมิงเหวยยังไม่เข้าใจถึงความลึกล้ำแห่งมหาเต๋า และหากวันหนึ่งเขาได้ออกไปยังโลกภายนอก รวมถึงสัมผัสกับเต๋ารู้แจ้ง พอถึงยามนั้นคงมีแต่เพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าความแข็งแกร่งของชายคนนี้จะสามารถก้าวหน้าไปได้ไกลเพียงไร
เหมิงเหวยตะลึงงันไป แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นดั่งหินผา มีเพียงความทะนงและเด็ดเดี่ยว แม้แต่ความตายของศัตรูก็ไม่อาจทำให้สะท้าน แต่นี่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขารู้สึกลังเล คล้ายไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดีเมื่อต้องเผชิญกับของขวัญที่ได้รับจากเฉินซี
ให้ตายเถอะ! เขาลุ่มหลงในเต๋าแห่งคันศรเหลือเกิน เรียกว่ารักมันอย่างสุดซึ้งก็ไม่ผิด นับแต่ที่เขาเริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เหมิงเหวยทุ่มเททั้งกายใจให้มันจนหมดสิ้น ดังนั้นการได้ถือครองธนูทลายดารา จึงคล้ายกับเด็กน้อยที่เห็นของเล่นชิ้นโปรด ไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นที่มีได้
แม้แต่โม่ย่าที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังแปลกใจ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฉินซีจะกล้ามอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้คนอื่นโดยไม่นึกเสียดาย และยิ่งเห็นว่าเขาไม่ได้ทีเล่นทีจริง นางก็ยิ่งตกใจมากกว่าเก่า
“อย่าเลย มันล้ำค่าเกินไป ข้ารับเอาไว้ไม่ได้หรอก” เหมิงเหวยต่อสู้กับปรารถนาในใจอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ข่มใจ ก่อนจะปฏิเสธมันอย่างยากเย็น
“รับไว้เถอะ!” น้ำเสียงของเฉินซียืนกรานหนักแน่น เขายัดธนูทลายดาราให้เหมิงเหวย ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ยอดกระบี่ต้องมอบให้ยอดขุนศึก ยอดแป้งชาดต้องมอบให้ยอดโฉมสะคราญ ยอดธนูนี้มีเพียงพี่ใหญ่เหมิงเหวยที่คู่ควร!” ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มก็เดินหันหลังจากไป
“เจ้าติดหนี้สหายผู้นี้ก้อนใหญ่เสียแล้ว” โม่ย่าทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ขณะที่มองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่าย
“เผ่าของเราก็เช่นกัน แน่นอนว่าข้าต้องตอบแทน ต่อให้นั่นจะหมายถึงการเป็นทาสรับใช้เขาไปชั่วชีวิตก็ตาม” เหมิงเหวยวางธนูทลายดาราลงอย่างระมัดระวัง สีหน้าของเขากลับมาสงบนิ่งและเรียบเฉยดังเดิม มีเพียงดวงตาคมกริบทั้งสองที่เปล่งประกายเจิดจ้า
“หากเป็นข้า ก็คงไม่อาจปฏิเสธความใจดีนี้ได้เช่นกัน” โม่ย่ายิ้ม ในสายตานาง เฉินซีพยายามอย่างยิ่งในการปรับตัวให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเผ่านรกขุมที่เก้า บางที การเดินตามรอยเท้าของเขาไปเรื่อย ๆ ก็อาจเป็นหนึ่งในหนทางที่จะทำให้เผ่าของพวกนางสามารถลงหลักปักฐานในโลกภายนอกอย่างมั่นคงแข็งแรงก็เป็นได้
…
หลังจากจัดการกับกลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์พิภพปักขีเสร็จเรียบร้อย เฉินซีกับคนอื่น ๆ ก็เร่งฝีเท้ากลับไปที่ค่ายพักแรมโดยไม่หยุดพักเหนื่อยแม้แต่น้อย
การปรากฏตัวของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทำให้เฉินซีรู้สึกถึงแรงกดดันที่พุ่งตรงเข้ามา ด้วยบางทีคนเหล่านั้นอาจจะซุ่มโจมตีตอนเผลอก็เป็นได้ และคราวหน้า พรรคพวกของเฉินซีอาจจะไม่โชคดีเช่นนี้!
ดังนั้นการออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดจึงเป็นเรื่องที่ควรทำที่สุด
เพื่อให้การเคลื่อนขบวนเป็นไปอย่างเร่งรีบ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจย่นเวลาพักผ่อน รวมถึงการทำธุระส่วนตัวให้เหลือเพียงสองชั่วยาม กล่าวคือ ในระยะเวลาอันแสนสั้นนี้ นอกจากเรื่องการกินอยู่ สมาชิกในเผ่าทุกคนจะต้องฟื้นกำลังของตนให้เพียงพอ และต้องนับรวมเวลาการบ่มเพาะของเด็ก ๆ ไว้ด้วย
โชคดีที่จังหวะเร่งรัดเหล่านี้หาได้บีบคั้นเหล่าเด็กน้อยมากนัก พวกเขากลับเข้าใจดีว่าเวลามีค่าเพียงใด ดังนั้นจึงตั้งใจฝึกฝนกันอย่างอุตสาหะ
ฝ่ายเฉินซีเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขาใช้เหล้าเซียนซึ่งบ่มในอยู่หม้อหยกเพื่อฟื้นฟูการบ่มเพาะ พร้อมกับพยายามคิดหาวิธีการสร้างแดนฮุ่นตุ้นใหม่อีกครั้ง …และบางทีการใช้อักขระยันต์ก็เป็นตัวเลือกที่น่าพอใจที่สุด
เขารู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นอย่างดั่งใจได้เพียงชั่วข้ามคืน อย่างไรเสีย รากฐานแห่งเต๋าของเขาก็ถูกทำลายไปแล้ว การจะซ่อมแซมมันให้เป็นแบบเดิมนั้นยากยิ่งกว่าการครอบครองสวรรค์เสียอีก แต่โชคยังดีที่ชายหนุ่มค้นพบหนทางแก้ไข ดังนั้นเขาจึงไม่คิดรีบร้อน
กินข้าวค่อยกินทีละคำ ถนนค่อยเดินทีละก้าว ชายหนุ่มเพียงแต่ต้องตระเตรียมทุกสิ่งให้พร้อมเท่านั้นก็พอแล้ว
ในยามนี้ หลังจากที่เขาลงมือปรุงอาหารเสร็จเรียบร้อย เฉินซีก็เริ่มชี้แนะเด็ก ๆ ทั้งหลายเกี่ยวกับการบ่มเพาะและเต๋ารู้แจ้ง รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
ขณะเดียวกัน ในใจของชายหนุ่มในขณะนี้ก็กำลังคาดหวังให้วันเวลายาวนานกว่าเดิมสักเท่าหนึ่ง เพราะอย่างน้อยมันคงช่วยให้พวกเขาได้พักหายใจหายคอมากกว่านี้
และแม้ว่าเท้าของพวกเขาจะยังคงย่ำไปเบื้องหน้า หากแต่เสียงพร่ำสอนบรรดาเด็กน้อยยังคงดังก้องไปตามทาง
…
ในวันที่เก้าของการเดินทาง พวกเขาได้เผชิญหน้ากับค่ายของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และหลังจากการต่อสู้อันแสนดุเดือด ศัตรูทั้งหลายได้ถูกกำจัดจนหมด ทว่าพวกเขาก็ต้องสูญเสียองครักษ์ไปถึงสามคนในระหว่างการปกป้องเด็ก ๆ ดังนั้นตอนนี้หากรวมเหมิงเหวยกับโม่ย่า ทั้งเผ่าก็จะเหลือองครักษ์อยู่เพียงเจ็ดคนเท่านั้น
การต่อสู้อันน่าสะพรึงขวัญนี้ ทำให้บรรยากาศในการเดินทางอึมครึมกว่าวันไหน และท่ามกลางความเงียบสงัด จิตใจของพวกเขาต่างร้อนระอุดั่งโดนไฟเผา ซึ่งความโกรธเหล่านี้ได้ถูกระบายออกมาในรูปของการบ่มเพาะอย่างหักโหมมุมานะ
เนื่องจากเฉินซีได้จัดเตรียมทั้งโอสถวิญญาณและอาหารไว้จำนวนมากในทุก ๆ วัน พัฒนาการของเด็ก ๆ เหล่านั้นจึงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอนนี้พวกเขาเกือบทุกคนได้เข้าสู่ขอบเขตเคหาทองคำแล้ว ทั้งเจ้าดำ เจ้าหน้าบาก เจ้าหิน และคนอื่น ๆ ต่างก็ไปถึงขอบเขตนี้ในคราวเดียวกัน ความโดดเด่นของพวกเขาส่องประกายยิ่งกว่าเด็กคนไหน ๆ
แน่นอนว่าเฉินซีย่อมรักษาสัญญา โดยให้รางวัลแก่พวกเด็ก ๆ เป็นวิธีฝึกทักษะ ‘อวตารเทพ’ และวิชา ‘ร่างแปลงสวรรค์’!
ส่วนเสี่ยวเฉินและคนอื่น ๆ ที่กำลังบ่มเพาะปราณแท้ ก็ได้รับการถ่ายทอดกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าขั้นสมบูรณ์โดยเฉินซี ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังมอบสมบัติวิเศษระดับปฐพีให้อีกด้วย
รางวัลนี้ทำให้เด็กคนอื่น ๆ ในเผ่านรกขุมที่เก้าต่างพากันอิจฉาตาร้อน พวกเขาพากันตั้งใจฝึกฝนอย่างมุ่งมั่นและอุตสาหะยิ่งกว่าเดิม จนทั้งเหมิงเหวยและโม่ย่าอดไม่ได้ที่จะมีความสุขกับภาพเบื้องหน้า
นี่คงเป็นความสุขเพียงไม่กี่อย่างที่คนทั้งสองได้รับระหว่างการเคลื่อนขบวนนี้
…
วันที่สิบสี่ของการเดินทาง
พวกเขาเผชิญกับการปะทะอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน กลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสามกลุ่มรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ทำให้มีกำลังพลมากถึงพันนาย อีกทั้งในกลุ่มของพวกเขายังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงอยู่ถึงสามคนด้วยกัน
การต่อสู้ครั้งนี้จึงเห็นแววนองเลือดและเกิดความสูญเสียเป็นแน่!
ระหว่างการต่อสู้ เด็ก ๆ จากค่ายอัสนีม่วงและค่ายผลึกเยือกแข็งครามก็เข้าร่วมด้วย อันที่จริง มันเป็นคำสั่งของเฉินซีเนื่องจากเขาไม่มีทางเลือกอื่น ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า เด็ก ๆ เหล่านี้จะโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังที่แข็งแกร่งและรุนแรงถึงเพียงนี้!
โดยปกติ ในหนึ่งค่ายจะประกอบด้วยเด็กอยู่สามกลุ่ม ในขณะที่หนึ่งกลุ่มจะมีเด็กอยู่ราวยี่สิบคน พวกเขาเหล่านี้ต่างประสานรับทักษะการต่อสู้ของแต่ละคนเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นการโจมตีที่สามารถทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพระดับเงินและระดับทองสัมฤทธิ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ทว่าความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเกินคาดฝัน หลังการต่อสู้ยุติลง ร่างของเด็กหกคน และเด็กเล็กอีกสามคนก็ได้ทอดกายบนกองเลือดอย่างไม่มีวันได้ลุกขึ้นอีกเลย
หนึ่งในความโศกสลดครั้งใหญ่ของเผ่านรกขุมที่เก้าคงไม่พ้นชายชราที่ผอมโซไม่ต่างไม้เสียบผีผู้นั้น ท่านนักบวชที่พวกเขาบูชาดั่งพระเจ้าที่เหนื่อยล้าเต็มที เขาได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายในการพรากชีวิตของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพระดับผลึกม่วงลงไปพร้อมกับตนเองเพื่อปกป้องเด็ก ๆ เอาไว้!
ซึ่งก่อนความตายจะพรากจาก นักบวชชราก็ไม่ได้สั่งเสียอะไร เขาเพียงแต่กุมมือเฉินซีไว้อย่างอาวรณ์
แน่นอนว่า เฉินซีย่อมเข้าใจความหมายของนักบวชชราเป็นอย่างดี ก่อนเดินทาง ชายหนุ่มได้คุกเข่าคำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมต่อหน้าหลุมศพของชายชรา เพราะหากไม่ใช่ท่านนักบวชผู้นี้ ตัวเขาก็คงตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว และก็เพราะเหตุผลนี้เอง เฉินซีจึงได้คอยช่วยชายชราและคนอื่น ๆ ในเผ่านรกขุมที่เก้า!
การปะทะกันในครั้งนี้ มีเพียงเด็กราวแปดสิบคนที่เหลือรอด ในขณะที่องครักษ์และนักบวชชราไม่มีโอกาสได้เดินทางต่อ
บททดสอบในครั้งนี้หนักหนาเหลือเกิน หลักจากที่เด็ก ๆ ได้ลิ้มลองเหตุการณ์นองเลือดเป็นครั้งแรก พวกเขาก็ดูจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน ทุกคนทั้งสงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยสติสัมปชัญญะ
…
วันที่ยี่สิบหกของการเดินทาง
การบ่มเพาะกายาของเฉินซีได้ฟื้นตัวกลับมาแล้ว และอีกเพียงก้าวเดียว เขาก็จะเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายา!
…
วันที่สามสิบเอ็ดของการเดินทาง
กลุ่มของผู้มาจากต่างพิภพล้วนถูกกวาดล้าง และพวกเฉินซีต่างได้รับข้อมูลที่เป็นทั้งความหวังและความหวั่นวิตกในคราวเดียวกัน นั่นคืออีกประมาณเก้าหมื่นลี้ข้างหน้า พวกเขาจะได้พบกับเส้นทางที่นำไปสู่โลกภายนอก!
ทว่าเรื่องที่กลุ่มของผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพทั้งหกกลุ่มได้ขวางอยู่หน้าเส้นทางก็ทำให้หัวใจต้องหนักอึ้ง ด้วยในบรรดากลุ่มเหล่านั้นไม่ได้มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงเท่านั้น แต่ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพคอยบัญชาการอยู่ด้วย!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพ …ที่มีพลังเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี!
เฉินซีเป็นคนหนึ่งที่เคยถูกผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีโจมตีมาแล้ว เขาจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ความแข็งแกร่งดังกล่าวน่ากลัวเพียงไร นั่นทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะยังไม่เดินหน้าต่อ และย้ายไปตั้งค่ายในช่องเขาแทน
เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของฝ่ายตรงข้าม ชายหนุ่มจึงอุทิศเวลาเกือบเจ็ดวันเต็มเพื่อวางค่ายกลใหญ่รอบ ๆ ช่องเขา และค่ายกลนี้มีนามว่าค่ายกลไฟนรกตะวันคราม!
มันเป็นค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นจากค่ายกลย่อยสังหารตะวันครามร้อยแปดประการ โดยใจกลางของค่ายกลประกอบด้วยสมบัติกึ่งอมตะ ‘พัดนกยูงเพลิง’ พลังของมันแข็งแกร่งขนาดที่ว่าสามารถบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพระดับผลึกม่วงให้ย่อยยับทันทีที่เข้ามาใกล้
อย่างไรก็ดี ค่ายกลที่ทรงพลังเช่นนี้ต้องใช้สมบัติและทรัพยากรที่เขามีเกือบจะทั้งหมด นอกจากโอสถวิญญาณแล้ว ยังมีสมบัติวิเศษและของทั่วไปอย่างแผ่นหยก เรียกได้ว่าเขาในตอนนี้แทบจะกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวไปแล้ว
และการจะทำให้ค่ายกลทำงานได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยปราณเพื่อขับเคลื่อน จริงอยู่ที่ปราณวิญญาณของนรกขุมที่เก้าแห้งเหือดจนหมดแล้ว ทว่านั่นหาใช่ปัญหาสำหรับเฉินซีไม่ หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนักระยะหนึ่ง ในที่สุดเขาก็สามารถโคจรปราณเซียนที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากต้นอ่อนเงาทมิฬภายในจุดลมปราณได้สำเร็จแล้ว!
เนื่องจากพลังที่ใช้สำหรับวางค่ายกลขนาดใหญ่นี้มาจากปราณเซียน ดังนั้นมันจึงทรงพลังกว่าการใช้ปราณวิญญาณหลายขุมนัก
ทว่าราคาที่เขาต้องชดใช้ก็หนีไม่พ้นการต้องอยู่ภายในใจกลางของค่ายกลเพื่อโคจรปราณเซียนออกมาใช้ตลอดเวลา ส่งผลให้ชายหนุ่มไม่อาจก้าวไปสู่ขอบเขตสถิตกายาได้ในขณะนี้
ถึงอย่างนั้นเขาก็พอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ด้วยปราการของค่ายกลอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้อื่นจึงไม่มีทางสังเกตเห็นได้ง่าย เว้นเสียแต่ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจะค้นหาพวกเขาด้วยตัวเอง แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยยิ่ง
อีกทั้งช่องเขาแห่งนี้ก็เป็นจุดอับสายตาแห่งนรกขุมที่เก้า จึงไม่มีผู้ใดสนใจหรือแลเห็น และแม้สายตาของคนเหล่านั้นจะจรดลงยังเส้นทางดังกล่าว ก็มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะไม่มีทางคาดคิดว่ากองคาราวานขนาดใหญ่จะหยุดพัก ณ ที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
ส่วนเหตุผลของเฉินซีน่ะหรือ? …เขาเพียงต้องการให้ทุกคนในเผ่านรกขุมที่เก้าปลอดภัยจากสถานการณ์ตึงเครียดภายนอก และหวังให้พวกเขามีเวลามากพอจะพัฒนาความแข็งแกร่ง พร้อมสำหรับการต่อสู้ในอนาคต!
ไม่เพียงเท่านี้ ชายหนุ่มยังมีแผนที่จะสร้างแดนฮุ่นตุ้นขึ้นมาใหม่อีกด้วย!