บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 713 โรงเตี๊ยมเซียนระเริง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 713 โรงเตี๊ยมเซียนระเริง

บทที่ 713 โรงเตี๊ยมเซียนระเริง

เมื่อเห็นเฉินซีตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ชายหนุ่มในชุดปักลายก็ส่ายศีรษะซ้ำ ๆ ทุกคนในหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าต่างอ้าปากค้าง และรู้สึกว่ามันไม่จริงเหมือนฝัน

โดยเฉพาะเริ่นผิงผิงที่ตกใจจนกรามแทบจะกระแทกพื้น และร่างกายของหญิงสาวก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว แม้นางจะอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม แต่นางกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นใด ๆ เพราะแม้แต่ความช่วยเหลือจากคนนอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยังกลายเป็นหนูที่เจอแมว แล้วนางจะรักษาความสงบได้อย่างไร? ทันใดนั้น หญิงสาวก็รู้สึกว่านางเจอตอชิ้นใหญ่เข้าให้แล้ว!

แต่นางก็ไม่กล้าเชื่อเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เพราะมันไร้สาระเกินไป เพราะถึงอย่างไร นี่ก็คือคนของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงเชียวนะ และเขาก็คือนายน้อยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะ!

แม้ว่าศิษย์ของนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบจะเผชิญกับเขา คนพวกนั้นก็จะได้แต่ปวดเศียรเวียนเกล้าและปรารถนาจะอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ใช่เพราะคุณชายผู้นี้มีการบ่มเพาะที่น่าเกรงขาม แต่เป็นเพราะภูมิหลังของคนคนนี้น่าทึ่งเกินไป!

ท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลไป๋ก็มีชื่อเสียงในการปกป้องคนในตระกูล ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ใครก็ตามที่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองจะไม่อาจรอดพ้นจากการลงโทษได้

และชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้ ก็คือคนที่มีต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลไป๋เป็นที่พึ่งพา ซึ่งทำให้เจ้าตัวกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว และทำให้ทุกคนที่เขาพบต้องปวดศีรษะ เป็นกังวลว่าจะเกิดปัญหา

แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เขาจะเป็นเหมือนเด็กที่ว่านอนสอนง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มรูปงามคนนั้น …ผู้ใดจะเชื่อข่าวนี้ลง?

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มในชุดปักลายคือ ไป๋กู้หนาน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเฉินซีตบอย่างรุนแรงกลางที่สาธารณะ ณ ชั้นบนสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง และเจ้าตัวก็ยังคงจำเหตุการณ์ที่น่าอับอายเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

เดิมทีเขาตั้งใจจะหาความช่วยเหลือเพื่อจัดการกับเฉินซี แต่หลังออกจากเมืองเหมันต์บรรพกาล หัวใจของไป๋กู้หนานกลับต้องเย็นวาบทันที เมื่อได้พบกับญาติในตระกูล ก่อนที่ความคิดตอแยเฉินซีจะหายไปโดยสิ้นเชิง

นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้ค้นพบว่าชายชั่วที่สมควรถูกใบมีดพันเล่มเชือดเฉือน แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับป้าของเขา!

ซึ่งหมายความว่า ป้าของเขาดูแลไอ้สารเลวนี้มาหลายปี ในขณะที่ไอ้สารเลวนี้ยังเด็กอยู่! และไม่ต้องกล่าวถึงเขา แม้แต่บรรดาลูก ๆ ของผู้นำตระกูลก็ไม่อาจได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ได้!

ดังนั้นทันทีที่เห็นเฉินซี ไป๋กู้หนานจึงต้องการปิดป้องใบหน้าของตัวเอง และพยายามออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะยังยับยั้งแรงกระตุ้นนี้ได้ในท้ายที่สุด

มันช่วยไม่ได้ เพราะเขาคือคุณชายผู้สง่างามของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง และมันคงน่าอายเกินไปหากจะหันหลังกลับและจากไปต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ ด้วยมันจะทำให้ตระกูลอับอาย!

เฉินซีไม่อาจทราบได้ว่ามีความคิดมากมายเกิดขึ้นในใจของไป๋กู้หนานในขณะนี้ และเขายังคงยิ้มพลางถาม “ถ้าอย่างนั้น เจ้าต้องการจะยืนหยัดเพื่อสตรีนางนี้หรือไม่?”

ไป๋กู้หนานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันและผลักเริ่นผิงผิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาออกไป “ไม่ เนื่องจากสตรีคนนี้กล้าล่วงเกินเจ้า และอาจพลอยทำให้ข้ามีปัญหาไปด้วย แล้วข้าจะต้องการนางเพื่ออันใด?”

ฉากนี้ทำให้ร่างกายของทุกคนสั่นสะท้าน เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า คำพูดของเฉินซีจะทำให้ไป๋กู้หนานละทิ้งเริ่นผิงผิงอย่างไร้ความปรานี!

ไม่ต้องกล่าวถึงใครอื่นเลย แม้แต่เฉินซีก็ยังตกตะลึง และเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ ในขณะที่ชายหนุ่มมองไปยังเริ่นผิงผิงซึ่งล้มอยู่บนพื้นในสภาพที่น่าอับอาย

“คุณชายไป๋ ท่าน… นายหญิงทุ่มเทให้กับท่านมาโดยตลอด แต่ท่านกลับปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ เหตุใดท่านถึงใจดำทำเยี่ยงนี้ได้ลง!?” ชายชราข่มความโกรธของเขาไว้อย่างสุดกำลัง ในขณะที่กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ข้าปฏิบัติกับนางอย่างไม่ยุติธรรมตั้งแต่เมื่อใดกัน?” คิ้วของไป๋กู้หนานขมวดขึ้น ในขณะที่แสดงท่าทางดุร้ายออกมา …แม้เขาจะจำต้องก้มศีรษะลงเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี แต่สำหรับผู้อื่น ไป๋กู้หนานยังคงเป็นคุณชายหยิ่งยโสและเอาแต่ใจเช่นเดิม!

จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ชายชราและกล่าวว่า “อย่าให้มันมากไป ที่ตระกูลเริ่นของเจ้าเติบโตจากตระกูลเล็ก ๆ จนรุ่งเรืองถึงทุกวันนี้ได้ มิใช่เพราะข้าหรอกหรือ?”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ไป๋กู้หนานก็ถ่มน้ำลายออกมา ก่อนจะชี้ไปยังเริ่นผิงผิงซึ่งอยู่บนพื้น และกล่าวอย่างดุดันว่า “อย่าได้นึกว่าข้าเป็นคนโง่เขลา เจ้าลอบคบชู้และมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเจ้าหนุ่มหน้าขาวลับหลังข้าในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทว่าข้าก็ไม่อยากถือสาเจ้า เพราะถึงอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นเพียงเรื่องสนุก ดังนั้นเจ้ากล้าทุบอกและบอกว่าเจ้าทุ่มเทให้ข้าโดยแท้จริงได้หรือไม่?”

“ท่านลุงเฉิน ความสัมพันธ์ของพวกเขาซับซ้อนยิ่ง” เจ้าดำพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“แม้แต่ข้าก็ไม่อาจเข้าใจโลกของนายน้อยคนนั้นได้” เฉินซียักไหล่

เดิมที เริ่นผิงผิงแสดงสีหน้าขมขื่นและท่าทางน่าสมเพช ด้วยความตั้งใจจะให้ไป๋กู้หนานใจอ่อนยอมช่วย แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนว่า นอกจากจะไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่ต่อได้ ตนยังถูกสาปแช่ง! ทำให้ทั้งร่างกายของหญิงสาวเย็นเยียบลึกไปถึงกระดูก ในขณะที่หัวใจของนางก็ตกลงสู่เหวที่ไร้ก้นบึ้ง

เพราะไป๋กู้หนานกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว การเติบโตของตระกูลเริ่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากปราศจากการสนับสนุนจากไป๋กู้หนาน และมันถึงขนาดที่ว่า หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่านี้ก็เป็นธุรกิจที่ไป๋กู้หนาน… มอบให้กับตระกูลเริ่น!

“นายน้อยไป๋ ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรด…ได้โปรดยกโทษให้ข้าได้หรือไม่? ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ข้าสาบาน…” เริ่นผิงผิงตื่นตระหนก นางคุกเข่าต่อหน้าไป๋กันหนานและขอร้องด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

“ไสหัวไปซะ!” ชายหนุ่มเตะนางออกไปอย่างไร้หัวใจ “ข้าจะฆ่าเจ้า ถ้ายังกล้าตอแยข้าอีก!”

“เจ้า…” ชายชราโกรธจัดจนร่างกายสั่นสะท้าน

“ว่าอย่างไร? เจ้าต้องการถูกทำลายล้างไปพร้อมกับตระกูลเริ่นด้วยหรือ?” ไป๋กู้หนานเหลือบมองชายชราด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ไสหัวไปซะ! อย่าได้อยู่ให้ระคายตาอีกเลย และอย่าหาว่าข้าไม่เตือน ถ้านางยังไม่หายไปจากหน้าข้าภายในสามลมหายใจนี้!”

สีหน้าของชายชราซีดลงและดูจะไม่แน่ใจ …เพราะแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่เจ้าตัวก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างสลด ก่อนที่จะพยุงเริ่นผิงผิงขึ้นและออกจากหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าไป

เช่นเดียวกับเริ่นผิงผิง นางเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างเต็มที่เช่นกันว่าชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นเป็นใคร และเหตุใดไป๋กู้หนานถึงกลายเป็นคนเด็ดเดี่ยวและไร้หัวใจเช่นนี้?

ขณะนั้น หงซานได้ตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ และแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า ความช่วยเหลือจากคนนอกที่แข็งแกร่งของเริ่นผิงผิง ไม่เพียงจะไม่สร้างอันตรายใด ๆ ต่อเฉินซี แต่อีกฝ่ายกลับกลายเป็นดั่งหนูที่เจอแมว ทำให้เริ่นผิงผิงตกเป็นฝ่ายต้องจากไปในท้ายที่สุด!

“หรือว่าผู้อาวุโสเฉินซีจะเป็น… ศิษย์จากกองกำลังที่ไม่ธรรมดา?

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หัวใจของหงซานก็ตกวูบและเริ่มเต้นอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะสำหรับตัวเขา ศิษย์ของนิกายที่มีชื่อเสียงนั้นถือว่าอยู่ไกลเกินเอื้อม!

และหงซานไม่เคยคิดมาก่อนว่า วันหนึ่งเขาจะได้พบกับบุคคลดังกล่าว ดังนั้นสิ่งนี้จึงทำให้ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าตนเองใช่ฝันไปหรือไม่?

“พี่เฉิน ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง” หลังจากทั้งสองคนจากไป รอยยิ้มเล็กน้อยก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋กู้หนานทันที และความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าของอีกฝ่ายก็ช่างรวดเร็วมากเสียจนทำให้พวกเด็ก ๆ ตกตะลึง

“เจ้ากังวลว่าข้าจะฆ่าพวกเขาหรือ?” เฉินซียิ้มอย่างมีเลศนัย

“ข้าจะคิดอย่างนั้นได้อย่างไรกัน? แต่หากท่านต้องการฆ่าพวกมัน ข้าจะย้อนกลับไปจับพวกมันกลับมาเดี๋ยวนี้เลย!” ไป๋กู้หนานถูกอีกฝ่ายรังแกเสียจนหวาดกลัวไปถึงก้นบึ้ง ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง และกลัวว่าจะทำให้เฉินซีขุ่นเคืองใจ

“เรื่องมันแล้วก็แล้วไปเถอะ อันที่จริง ครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้า เพราะท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ช่วยข้าไว้นิดหน่อย” เฉินซีกล่าว

“เกรงใจแล้ว เกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเป็นเหมือนครอบครัว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมากมารยาทไป” ไป๋กู้หนานหัวเราะเสียงดังและดูจะถือเฉินซีเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไปแล้ว “ใช่แล้ว พี่เฉินมาที่นี่เพื่อซื้อสมบัติหรือไม่? ท่านต้องการให้ข้าช่วยเลือกพวกมันหรือไม่?”

“ข้าเลือกเสร็จแล้ว” เฉินซีปฏิเสธ

ชายหนุ่มไม่ต้องการติดต่อกับชายคนนี้มากเกินไป เพราะหากเยี่ยนสือซานถูกกล่าวว่าเป็นคนบ้า เช่นนั้นชายคนนี้ก็ถือเป็นคนที่ชอบสร้างปัญหา ดังนั้นหากพวกเขาเป็นสหายกัน ตัวเฉินซีคงต้องมานั่งระวังปัญหาอยู่ตลอดเวลาเป็นแน่

“โอ้? มันอยู่ที่ใดหรือ? ขอข้าดูหน่อย” ไป๋กู้หนานกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบ จากนั้นจึงถาม “ผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลพี่ใหญ่เฉินซีของข้า?”

เฉินซีตกตะลึง ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่ทำให้อยากจากไปทันที ‘คนผู้นี้… มีทักษะในการฉวยโอกาสยิ่งนัก เพียงพริบตาเดียวข้าก็กลายเป็นพี่ใหญ่ของเขาแล้วหรือ?’

ในเวลาไม่นาน ผู้ดูแลที่คอยรับใช้ที่ดูแลเฉินซีก็วิ่งมาอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยความเคารพว่า “นายน้อยไป๋ สมบัติที่คุณชายเฉินต้องการอยู่ในแหวนเก็บของนี้แล้วขอรับ” เขาส่งแหวนเก็บของสีเขียวหยกออกไปอย่างนอบน้อบในขณะที่กล่าว

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของธรรมดาสามัญ จงไปนำสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นมา! ใช่แล้ว เอาพวกมันมาทั้งร้อยชุดเลย!” ไป๋กู้หนานพินิจพิเคราะห์สิ่งของในแหวน และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“ขอรับ!” ผู้ดูแลมีหรือจะกล้าปฏิเสธ? อีกฝ่ายรีบวิ่งไปที่ด้านหลังอีกครั้งเพื่อเตรียมสมบัติ

ณ โรงเตี๊ยมเซียนระเริง ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลีหั่ว

หลังจากหลบหนีจากการพัวพันของไป๋กู้หนานได้แล้ว เฉินซีก็พาเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ มาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตามคำแนะนำของหงซาน โดยเขาได้จับจองพื้นที่ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อย

ในขณะนั้น พวกเด็ก ๆ ต่างกำลังอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อยู่

เสื้อผ้าทั้งหมดของพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติวิเศษ ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีขนาดที่แน่นอน ไม่ว่าใครจะอ้วนหรือผอม เสื้อผ้าจะปรับขนาดให้เข้ากับร่างกายหลังจากที่สวมใส่ จนดูเหมือนกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนคนนั้นโดยเฉพาะ

ในเวลาไม่นาน พวกเด็ก ๆ ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ และพวกเขากำลังยืนอยู่ที่นั่นด้วยจิตใจที่เบิกบาน

ขณะที่เฉินซีกำลังพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกับภาพตรงหน้า เพราะหลังจากนี้พวกเขาคงไม่กลายเป็นจุดสนใจอีกแล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจก็คือ แม้ว่าพวกเด็ก ๆ จะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว แต่พวกเขากลับไม่ได้ทิ้งชุดหนังสัตว์ที่เคยสวมใส่ก่อนหน้านี้ กระทั่งพวกเขาถึงขนาดจัดแจงชุดหนังสัตว์อย่างระมัดระวัง ก่อนจะเก็บมันไว้ข้างตัว คล้ายกับต้องการจะอยากเก็บมันไว้ตลอดไป

ภาพนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย บางทีในระยะเวลาอันยาวนานนับจากนี้ เมื่อพวกเด็ก ๆ เหล่านี้หลอมรวมเข้ากับแดนภวังค์ทมิฬอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว สิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาระลึกถึงวันเวลาของพวกเขาในนรกขุมที่เก้าได้ ก็คือชุดหนังสัตว์ที่พวกเขาเก็บไว้กระมัง?

‘แล้วข้าล่ะ?’

‘ตลอดเส้นทางสายนี้ ข้าได้สูญเสียความสุขเช่นนี้ไปหรือไร?’

ด้วยความสับสนงุนงง เฉินซีพลันรำลึกถึงราชวงศ์ซ่ง รำลึกถึงบ้านเกิด และหวนคำนึงถึงสหายของเขา

“ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เหลือไว้แต่เพียงความทรงจำ ทว่าข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาเสียมันไป…”

“ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปลิ้มลองความอร่อยของอาหารในโรงเตี๊ยมเซียนระเริง ข้าได้ยินมาว่ามีพ่อครัววิญญาณที่ยอดเยี่ยมมากมายในห้องอาหารนี้” ในไม่ช้า เฉินซีก็ฟื้นสติกลับมา จากนั้นเขาจึงโบกมือ ขณะที่กล่าวกับเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ ให้ติดตามออกมา

โรงเตี๊ยมเซียนระเริงแห่งนี้สูงถึงห้าลี้ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเรื่องกลิ่นของอาหารและสุราที่อบอวลไปทั่วทั้งเมือง ยิ่งไปกว่านั้น สุราน้ำพุวิสุทธิ์ที่บ่มขึ้นมานั้น ยังมีความพิเศษเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก!

ทว่าราคาของมันก็สูงอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน และคนธรรมดาคงไม่สามารถจ่ายได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเฉินซี เขาจึงพาเด็ก ๆ ไปด้วยและมาถึงชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเซียนระเริง

ขณะนั้นมันเป็นเวลาเที่ยงพอดี ดังนั้นที่แห่งนี้จึงมีลูกค้าอยู่มากมาย และเฉินซีก็เป็นต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเมื่อชายหนุ่มจัดแจงโต๊ะให้เด็ก ๆ เสร็จแล้ว เขาก็พลันเห็นเข้ากับศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามาอย่างกะทันหัน ซึ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือการที่ซูชิงเยียนอยู่ท่ามกลางพวกนาง!

‘บังเอิญจริง ๆ ที่ข้าเจอนางซ้ำกัน ถึงสองครั้งสองครา…’

เฉินซีกำลังจะลุกขึ้นทักทายซูชิงเยียน แต่เขาพลันสังเกตเห็นว่านางดูเหมือนจะหนักใจอะไรบางอย่าง ทำให้คิ้วงดงามของหญิงสาวขมวดเข้าหากันแน่น ถึงขนาดว่าเดินผ่านตัวชายหนุ่มไปโดยไม่ทันแม้แต่สังเกต

มีเพียงหญิงสาวบางคนในกลุ่มเท่านั้นที่สังเกตเห็นเขา และพวกนางทั้งหมดก็เป็นต้องตกตะลึงไป ก่อนที่จะจากไปด้วยสีหน้าเย็นชาและไม่แยแส ราวกับว่าพวกนางไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขา

แน่นอนว่า เฉินซีย่อมเห็นท่าทีทั้งหมดนี้ ทว่าเขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเมินมัน ก่อนที่เขาจะหันไปช่วยเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ เลือกอาหาร

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท