บทที่ 729 การชดใช้
บทที่ 729 การชดใช้
ชุดสีเขียวของอาซิ่วพลิ้วตามสายลม ในขณะที่ผมสีดำขลับของนางพัดละล่องไปทางข้างหลัง เมื่อเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าหญิงสาวจะอยู่คนเดียว แต่นางก็ดูเหมือนกำลังเดินเล่นอย่างเกียจคร้านในลานบ้านอย่างไรอย่างนั้น ตัวคนไร้ซึ่งความกังวลและดูสงบเงียบ
เสียงของนางเยือกเย็น แผ่วเบา และเหมือนเสียงของธรรมชาติ หากแต่ความหมายในคำพูดนั้นกลับทำให้เถาเจิ้นเทียนและคนอื่น ๆ ตกใจ
“นางจะฆ่าใครก็ตามที่ขัดขวางนางหรือ?”
“ช่างจองหองเสียจริง!”
“นางคิดว่าทุกคนจากเผ่าเทาเที่ยเป็นเพียงของประดับหรือไร?”
ในขณะนี้ เถาเจิ้นเทียนและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ล้วนเกิดจิตสังหารในใจ และกลิ่นอายที่ดุดันของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
ขณะนี้ไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่ในท้องถนนเลยสักคน เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับโทสะของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี หากคนผู้นั้นมีฝีมือไม่เพียงพอ การเฝ้าดูการต่อจากด้านข้าง มันก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!
เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นี้ อาซิ่วก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย ใบหน้าขาวดุจหิมะของนางยังคงสงบนิ่งและเฉยเมย ราวกับหญิงสาวไม่เคยรู้จักคำว่า ‘กลัว’ มาทั้งชีวิต
“อาซิ่วถอยกลับมาซะ” ท่ามกลางการต่อสู้ที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ เฉินซีพลันกล่าวทันทีและเดินไปข้างหน้า
“เฮ้ นี่ข้ากำลังช่วยเจ้าแก้แค้นอยู่นะ!” อาซิ่วหันกลับมา เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี ความสงบบนใบหน้าของนางพลันหายไปอย่างสมบูรณ์ และเปลี่ยนเป็นสีหน้ามุ่ยที่ทำให้เปลือกตาของเถาเจิ้นเทียนและคนอื่น ๆ กระตุก
เฉินซีดึงอาซิ่วไว้ข้างหลังเขาและมองตรงไปที่เถาเจิ้นเทียน “ทุกท่าน…”
ก่อนที่เฉินซีจะกล่าวจบ เถาคุนก็พลันร้องออกมาเสียงแหลม “ท่านผู้นำ อย่าปล่อยให้มันได้พูดพล่ามอีกเลยขอรับ มิฉะนั้น หายนะครั้งใหญ่จะเกิดกับเผ่าของเรา!”
เพียะ!
อาซิ่วเหวี่ยงมือของนางทำให้แสงดาวพวยพุ่งออกมาและทำร้ายเถาคุนที่คอยขัดจังหวะคนอื่น ๆ จากนั้นตัวเขาก็ลงไปนอนชักกระตุกบนพื้นราวกับเป็นลมบ้าหมู
เถาเจิ้นเทียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นเจ้าตัวก็อดกลั้นต่อจิตสังหารที่กำลังจะปะทุอย่างแข็งขัน และเอ่ยปากถามว่า “เชิญ มีเรื่องราวอันใดก็กล่าวมา!”
เขามีชีวิตอยู่มานานจนไม่อาจนับปี และมีสายตาที่เฉียบแหลมอย่างมาก ดังนั้นจึงสังเกตเห็นได้ราง ๆ ว่าปฏิกิริยาของเถาคุนแปลกเกินไป ราวกับอีกฝ่ายกำลังปกปิดความลับที่น่าอกสั่นขวัญแขวนเอาไว้!
และเป็นเพราะตระหนักดีถึงสิ่งนี้ ผู้นำเผ่าเทาเที่ยจึงพยายามระงับจิตสังหารในใจและไม่เคลื่อนไหว ทั้งยังให้เวลาแก่เฉินซีเล็กน้อยเพื่อดูว่าชายหนุ่มจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
ใบหน้าของผู้อาวุโสคนรองเถาหลูเซียวพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้นำเผ่า ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวอย่างกังวลว่า “ท่านผู้นำ คุนเอ๋อร์ย่อมไม่หลอกลวงเราอย่างแน่นอน ข้าว่าการฆ่าสองคนนี้ ก่อนฟังคำอธิบายของเขาเกี่ยวกับทุกสิ่ง …คือเรื่องที่สำคัญกว่านัก!”
เถาเจิ้นเทียนส่ายศีรษะ ท่าทางของเขาดูสง่างามในขณะที่ตวัดมือและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสรอง อย่าได้ผลีผลามใจร้อนไป เผ่าเทาเที่ยของข้าสามารถดำรงอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ แล้วจะกลัวหายนะเล็กจ้อยเช่นนี้ไปไย? เรามาฟังสิ่งที่ชายหนุ่มคนนี้กล่าวกันก่อนเถอะ!”
ในขณะนี้ เขาได้แสดงศักดิ์ศรีของผู้นำเผ่าอย่างเต็มที่ การกระทำและคำพูดของเถาเจิ้นเทียนมีพลังที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ราวกับกษัตริย์กำลังออกโองการ
แม้ว่าใบหน้าของเถาหลูเซียวยังคงดูไม่แน่ใจ แต่ในที่สุดเจ้าตัวก็เงียบลงด้วยความหดหู่ใจ
เฉินซีสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงหยิบป้ายคำสั่งออกมาแล้วโยนมันขึ้นไปในอากาศ
เถาเจิ้นเทียนยื่นมือออกไปรับมัน ก่อนจะกวาดสายตามอง จากนั้นดวงตาของเจ้าตัวก็พลันหรี่ลงทันที ก่อนที่ใบหน้าอันสง่าผ่าเผยจะกลายเป็นประหลาดใจและสับสน จากนั้นเขาพลันหันไปจ้องมองเฉินซีตั้งแต่บนลงล่าง ราวกับว่าเพิ่งรู้จักอีกฝ่าย
ยิ่งมองยิ่งน่าตกใจ และสีหน้าของเจ้าตัวก็ค่อย ๆ จริงจังขึ้นมา เพราะเขารู้สึกได้จาง ๆ ว่าน่าจะเป็นคนในเผ่าของตนที่ก่อปัญหาในครั้งนี้…
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ เองก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทางของผู้นำเผ่า และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะพินิจมองป้ายคำสั่ง ซึ่งเมื่อเห็นเนื้อหาบนป้าย หัวใจของทุกคนก็พลันกระตุกอย่างรุนแรงเช่นกัน และสายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ส่วนสายตาที่มองไปยังเฉินซีหลังจากนั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทันใดนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นยุ่งยาก จิตสังหารในอากาศลดลงเหมือนกระแสน้ำ คงเหลือไว้เพียงความกดดันหนักอึ้ง ไร้กลิ่นอายของการฆ่าฟัน
เถาเจิ้นเทียนนิ่งเงียบไปนาน ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งคืนป้ายคำสั่งและเพ่งความสนใจไปยังเฉินซี ในขณะที่ก็กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “ดังที่คาดไว้ สมแล้วที่เจ้าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ความกล้าหาญและสติปัญญาของเจ้านั้นเหนือกว่าผู้อื่นมาก แต่เจ้าคิดว่าเราจะไม่กล้าจัดการกับเจ้า หากเจ้าก่อปัญหาในเมืองเทาเที่ยของเราอย่างไม่เกรงกลัวอย่างนั้นหรือ?”
ความเย็นชาปรากฏขึ้นบนมุมปากของเฉินซี เสียงของเขาทั้งทุ้มต่ำและสงบ “ถ้ากล่าวถึงการไร้ความกลัว เถาคุนก็นับว่ายิ่งใหญ่กว่าข้านัก ข้าขอถามผู้อาวุโสได้หรือไม่ว่า คนที่อยู่บนหลังข้าคือใคร?”
เถาเจิ้นเทียนและคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาสังเกตเห็นคนที่อยู่บนหลังของอีกฝ่ายมานานแล้ว แต่พวกเขาไม่สนใจ ทว่าในขณะนี้ เมื่อเฉินซีย้ำเตือน พวกเขาจึงสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในทันที
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้กล่าว ชายหนุ่มพลันพูดต่อไปว่า “เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้า เป็นศิษย์คนโตของยอดเขาจรัสตะวันตกแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แต่ตอนนี้เขากลับถูกเถาคุนกักขังไว้ในกรง อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกลดชั้นให้เป็นทาส!”
เมื่อกล่าวจบ เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นด้วยความเกลียดชังและมีเจตนาฆ่า ในที่สุดเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และกวาดสายตามองผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่อยู่ที่นั่น ก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าขอถามผู้อาวุโสว่า ท่านจะสามารถรักษาความสงบเมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ได้หรือไม่?”
หัวใจของเถาเจิ้นเทียนและคนอื่น ๆ สั่นไหวในทันที และรู้สึกว่าหนังศีรษะของพวกเขาชาหนึบ!
ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินซีถูกเถาคุนจับตัวไปเป็นทาส!?
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเฉินซีถึงโกรธนัก และพวกเขาก็เข้าใจแล้ว… ว่าเหตุใดเถาคุนถึงต้องการให้อีกฝ่ายถูกฆ่าทันที เพราะหากข่าวเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป มันอาจกระตุ้นความโกรธของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในทันที และความโกรธนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเทาเที่ยของพวกเขาจะสามารถรับได้!
เหตุผลนั้นง่ายมาก ไม่ว่านิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะตกต่ำลงเพียงใด แต่มันก็ยังคงเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งที่แห่งนั้นยังคับคั่งไปด้วยทรัพยากรและกองกำลังที่น่าตกใจ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเทาเที่ยของพวกเขาจะเทียบได้
ใบหน้าของเถาหลูเซียวซีดเซียว สีหน้าพลันหดหู่และสิ้นหวัง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าบุตรชายจะทำให้เกิดหายนะเช่นนี้ กระทั่งขนาดกล้าจับศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมาเป็นทาสเลยหรือ? …การกระทำเช่นนี้มันจะต่างอันใดกับการรนหาที่ตาย?
เขาทั้งโกรธเคืองและวิตกกังวล ในใจเวลานี้ปรารถนาที่จะฟาดบุตรชายของตนให้ตายคามือ เพราะอีกฝ่ายกลับทำ ‘เรื่องประหลาดใจ’ อย่างใหญ่หลวงทันทีที่กลับมา!
บรรยากาศยิ่งหนักอึ้งขึ้น
เถาเจิ้นเทียนและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ที่เคยผ่านคลื่นลมฝนมายาวนานนับไม่ถ้วน ย่อมเคยเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงทุกประเภทมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ต่างคนต่างรีบสื่อสารผ่านกระแสปราณ
“ท่านผู้นำ ข้าคิดว่าเราควรฆ่าสองคนนี้เพื่อยุติปัญหาทั้งหมดในอนาคต เพราะคนตายย่อมไม่สามารถปล่อยข่าวใด ๆ ได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวอย่างไร้ความปรานี
“ไม่ควรทำเช่นนั้น! …ไม่ต้องกล่าวถึงว่าความแข็งแกร่งของหญิงสาวนั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้ แม้เฉินซีจะถูกลอบฆ่า แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ถึงอย่างไร ตอนนี้ก็มีคนจำนวนมากเกินไปในเมืองเทาเที่ย และอาจมีผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนซ่อนอยู่ในเมือง” ผู้อาวุโสอีกคนส่ายศีรษะ
“อนิจจา คุนเอ๋อร์ได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงเข้าแล้วจริง ๆ ตอนนี้เฉินซีได้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกแล้ว เนื่องจากการหายตัวไปของเขา นิกายกระบี่เก้าเรืองรองเกือบจะทำสงครามกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์ แต่คุนเอ๋อร์กลับจับศิษย์พี่ใหญ่ของเขามาเป็นทาส นี่มัน… เลวร้ายเกินไปจริง ๆ!”
“ข้าคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ความตั้งใจของคุนเอ๋อร์ ไม่ว่าจะกล้าหาญเพียงใด เขาก็จะไม่เสี่ยงทำสิ่งนี้อย่างแน่นอน ข้าคิดว่าคุนเอ๋อร์คงได้รับคำสั่งมาจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ เขาจึงทำสิ่งนี้ …เพราะมันก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองและนิกายวิถีกระแสสวรรค์ เป็นเหมือนน้ำกับไฟ ดังนั้นสาเหตุที่คุนเอ๋อร์ทำสิ่งนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์อย่างแน่นอน!”
“ฆ่า! เราต้องฆ่าสองคนนี้ มิฉะนั้น เมื่อข่าวนี้รั่วไหลออกไป นิกายวิถีกระแสสวรรค์ย่อมไม่กลัวนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอยู่แล้ว แต่เผ่าเทาเที่ยของข้าอาจกลายเป็นแพะรับบาป และผลที่ตามมาเหล่านั้น …ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เราจะรับไหว!”
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดต่างสื่อสารกันในทันที และทุกอย่างก็จบลงภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่ถึงอย่างนั้น เฉินซีก็ยังรู้สึกได้จาง ๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ในขณะนี้ อาซิ่วพลันกล่าวว่า “เฉินซี พวกเขากำลังคุยกันถึงวิธีฆ่าเราและปิดข่าวเพื่อให้เรื่องนี้เงียบ”
ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลง ขณะที่คิดในใจ ‘เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินความกล้าของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่ำเกินไป ยามสัตว์ร้ายถูกต้อนจนมุม พวกมันย่อมหันมาลงมืออย่างไม่คิดชีวิต แล้วจะนับประสาอะไรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่กำลังวางแผนและคำนวณเหล่านี้ ที่ยามตัดสินใจก็ย่อมลงมือฆ่าคนอย่างเด็ดขาด!’
อาซิ่วไม่ได้กล่าวผ่านกระแสปราณ ดังนั้นเสียงที่ชัดเจนและน่าฟังของนางจึงเข้าหูของเถาเจิ้นเทียน และคนอื่น ๆ ทำให้พวกเขาทั้งหมดตกตะลึงและเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ด้วยไม่เคยคิดมาก่อนว่า หญิงสาวจะได้ยินพวกเขาในขณะที่สนทนากล่าวผ่านกระแสปราณได้!
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของพวกเขาดูน่ากลัว ในขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีบางคนไม่ได้ปกปิดจิตสังหารแม้แต่น้อย เนื่องจากพวกเขาถูกเปิดโปง ผู้อาวุโสบางคนจึงตั้งใจที่จะสลัดข้ออ้างทั้งหมดและเตรียมจะลงมือ
“ผู้น้อย เจ้าไม่สามารถตำหนิพวกเราที่ไร้ความปรานีได้ เพื่อความปลอดภัยของเผ่าเรา เราย่อมกล้าสังเวยเจ้าสองคน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวอย่างอำมหิต
“นั่นอาจไม่จำเป็นเสมอไป” อาซิ่วยิ้มกว้างและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนจะมีกว่าสิบคน แต่เมื่อมีข้าอยู่ พวกเจ้าก็ย่อมไม่อาจหยุดข้าไม่ให้พาเฉินซีจากไปได้”
ใบหน้าของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีของเผ่าเทาเที่ยพลันเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งพลันเอ่ยเย้ยหยันว่า “โอ้อวดไร้ยางอาย! แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ไม่อาจหนีออกจากเมืองเทาเที่ยของข้าได้!”
ดวงตาใสกระจ่างของอาซิ่วกลอกไปมา ในขณะที่มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นหญิงสาวก็กล่าวราวกับนึกอะไรบางอย่างออก “โอ้ ให้ข้าเดา พวกเจ้าทุกคนคงหวังพึ่งกระทะห่วย ๆ นั่น …มันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเจ้าใช่หรือไม่?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสเหล่านั้นเท่านั้น แต่แม้กระทั่งร่างกายของเถาเจิ้นเทียนก็สั่นสะท้าน ขณะที่พวกเขาแสดงออกถึงความโกรธ “นังปีศาจนี่กล้าเรียกท่านบรรพบุรุษว่า.. กระทะห่วย ๆรึ!?”
เฉินซีก็ตกใจเช่นกัน เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่า สมบัติอมตะของเผ่าเทาเที่ยอย่างกระทะเซียนเก้าลึกล้ำจะถูกลดระดับลงจนไร้ค่าในสายตาของอาซิ่ว และแม้แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกเสียใจเมื่อได้ยินคำพูดของอาซิ่วเช่นนี้
“บังอาจ! เจ้ากล้าดูหมิ่นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้ารึ! เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตะโกนก้องและตั้งใจจะลงมือ
“ผู้อาวุโสสี่ ช้าก่อน!” ทันใดนั้น เถาเจิ้นเทียนก็รั้งผู้อาวุโสเอาไว้ สีหน้าของเขาหนักอึ้ง ขณะที่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น และดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังตัดสินใจเรื่องใหญ่บางอย่าง ทำให้เขาเงียบเป็นเวลานาน ในขณะที่จ้องมองไปยังเฉินซี ก่อนที่จะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เท่าที่ข้าคิดดู บางอย่างไม่จำเป็นต้องต่อสู้จนตัวตายก็ย่อมจงลงด้วยดีได้ เจ้าคิดอย่างไร?”
เฉินซีดูจะคาดหวังสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้น เขาจึงตอบโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “นั่นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อาวุโส”
ดวงตาของเถาเจิ้นเทียนหรี่ลงเล็กน้อย “เอาล่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าควรทำสิ่งใดเพื่อเป็นการชดใช้ให้แก่เจ้า?”
เฉินซีตอบคำถาม “ ผู้อาวุโส ท่านต้องการทำตามที่ข้ากล่าวจริง ๆ หรือ?”
ดวงตาของผู้นำเทาเที่ยหรี่ลงมากขึ้นเรื่อย ๆ “ตราบใดที่มันไม่เกินไป ทุกเรื่องสามารถคุยกันได้”
เฉินซีส่ายศีรษะและกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ผู้อาวุโส เรื่องนี้ไม่สามารถกล่าวคุยได้ เท่าที่ข้ากังวล บางสิ่งต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสมเพื่อสงบความโกรธของคนบางคน ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
เปลือกตาของเถาเจิ้นเทียนกระตุก ในขณะที่เขาตกอยู่ในความเงียบ