บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 742 ยอมรับความพ่ายแพ้หรือตาย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 742 ยอมรับความพ่ายแพ้หรือตาย

บทที่ 742 ยอมรับความพ่ายแพ้หรือตาย

เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชดังก้องอยู่ในอากาศ จนทำให้สีหน้าของทุกคนจากเขาวิญญาณนิรันดร์กลายเป็นเคร่งขรึม

“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก!”

เวลาผ่านไปเพียงอึดใจตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ แต่มือขวาของฟางจิ้งเลวี่ยกลับหักและนิ้วของเขาก็แหลก โดยที่พวกเขาไม่อาจตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทัน!

“รนหาที่ตาย!” ใบหน้าขอฟางจิ้งเลวี่ยบิดเบี้ยวขณะที่คำรามลั่น และปราณแท้ในร่างกายของเขาก็สั่นสะเทือนราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก มันปะทุแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีออกมา ตัวคนยกมือซ้ายขึ้นเหมือนขวานใหญ่ของเทพเจ้า และฟาดลงไปที่หัวของเฉินซี!

เขาไม่สนใจความจริงที่ว่ามือขวาของตนเองพิการ และตั้งใจจะต่อสู้กับอีกฝ่ายในระยะประชิด …ดังนั้นฟางจิ้งเลวี่ยจึงลงมืออย่างเด็ดขาด ไร้ความปรานี และไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการที่เขาบ่มเพาะมาจนถึงระดับนี้ไม่ใช่เพราะโชคช่วยอย่างเดียว

ปัง!

เฉินซีฟาดด้วยหลังมือ ส่งอักขระยันต์เข้าต้าน ซึ่งไม่เพียงจะลบล้างการโจมตีนี้เท่านั้น แต่ยังตบหน้าฟางจิ้งเลวี่ยอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงระเบิดจนผลักตัวคนกระเด็นออกไป เลือดไหลรินออกจากจมูกและปากของเขา ในขณะที่แก้มของเจ้าตัวก็ปูดบวม แม้แต่ฟันบางซี่ก็หลุดออกมา

เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง เพราะการเคลื่อนไหวของเฉินซีนั้นผ่อนคลายและเรียบง่ายยิ่ง แต่มันกลับแฝงความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ ทั้งทรงพลังและทำให้คู่ต่อสู้แทบไม่มีโอกาสได้ต่อต้านแม้แต่น้อย!

“ต้องบ่มเพาะสิ่งใด จึงจะบรรลุผลลัพธ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ได้?”

ใบหน้าของผู้บ่มเพาะจากเขาวิญญาณนิรันดร์เปลี่ยนไป พวกเขาทั้งหมดต่างไม่กล้าเชื่อในสายตาของตนเอง ความแข็งแกร่งของฟางจิ้งเลวี่ยถือเป็นหนึ่งในอันดับต้น ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีโอกาสที่จะต่อต้าน แล้วพวกเขาจะยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?

พวกเขาเป็นใคร?

พวกเขาเป็นศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์แห่งสรวงสวรรค์สงบเงียบ!

ไม่ว่าจะเป็นมรดกของนิกายหรือภูมิหลังของพวกเขา ล้วนแต่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีทรัพยากรและมีกองกำลังที่น่าหวาดหวั่นอยู่เบื้องหลัง

ในฐานะศิษย์กลุ่มแรกที่ปรากฏขึ้นในโลก พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นอัจฉริยะของนิกายที่มีการบ่มเพาะไม่ธรรมดาและครอบครองความแข็งแกร่งที่น่าตกตะลึง กระทั่งผู้อาวุโสของนิกายก็ได้คาดหวังกับศิษย์กลุ่มนี้ไว้อย่างมาก

ส่วนสิ่งที่พวกเขากังวลคือ สิบนิกายเซียนกับหกนิกายอสูรนั้นด้อยกว่าพวกเขามาก ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งหมดย่อมเพียงพอที่จะกวาดล้างผู้บ่มเพาะรุ่นเดียวกันทั้งหมดในแดนภวังค์ทมิฬ และครองอำนาจสูงสุดเหนือผู้ใด!

ซึ่งความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พวกเขาก็มีความสุขต่อการได้รับการปฏิบัติที่ให้เกียรตินี้เป็นที่สุด และฟางจิ้งเลวี่ยได้สอนบทเรียนอย่างดุเดือดให้แก่หนึ่งในศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่พูดจาเย่อหยิ่ง …ทั้งหมดนี้ทำให้ความมั่นใจของพวกเขาพลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิม

ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าฟางจิ้งเลวี่ยจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินซี!

มีเพียงใบหน้าขององค์หญิงไป๋หลี่ และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ จากเขาวิญญาณนิรันดร์เท่านั้นที่สำรวมมั่นคง หากแต่ภายในแววตาที่เคร่งขรึมของพวกเขาซึ่งมองไปยังสังเวียนพินิจกระบี่ กลับไม่ได้สงบอย่างที่เห็นภายนอก!

พรวด!

บนสังเวียนพินิจกระบี่ ฟางจิ้งเลวี่ยกระอักเลือดออกมาคำโต ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ในขณะที่มือขวาถูกบิดงอ และเสื้อผ้าของเจ้าตัวก็ถูกย้อมด้วยโลหิต จึงทำให้ตัวคนดูเหมือนเป็นคนละคนเมื่อเทียบกับความยโสที่เคยเป็นมาก่อนหน้า

การที่มือขวาของเขาถูกบดขยี้และตบหน้าฉาด ทำให้ศักดิ์ศรีของฟางจิ้งเลวี่ยเสียหาย และกระทั่งรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

เขาโกรธแค้นจนแทบเป็นบ้า ทั้งที่ครอบครองกายาเบญจธาตุ มีศักยภาพที่จะกลายเป็นราชันผู้ไร้ใครเทียบได้ และพรสวรรค์ที่มีก็ไม่ธรรมดา เส้นทางการบ่มเพาะของเขาจนถึงตอนนี้ก็ราบรื่นราวกับสายลม แล้วเมื่อใดกันที่ชายหนุ่มจะเคยต้องมาทนทรมานกับความอัปยศอดสูเช่นนี้?

“บัดซบ! เจ้าสมควรตาย!!” ฟางจิ้งเลวี่ยคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และลุกขึ้นยืนด้วยสภาพที่สะบักสะบอม จากนั้นเจ้าตัวก็คว้าจับอากาศตรงหน้า ทำให้เกิดเสียงหึ่ง ๆ ดังก้องออกมา ก่อนจะตามด้วยรอยแยกในอากาศ …ที่มีกระบี่โบราณอันเรียบง่ายปรากฏขึ้นจากภายใน

กระบี่เล่มนี้มีลักษณะตรงเหมือนไม้บรรทัด เรียบง่าย โบราณ และมีลวดลายต่าง ๆ มากมาย เช่น ลวดลายภูเขา แม่น้ำ พืช ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ การศึกษา การทำไร่ และการตกปลา!

ทันทีที่จับกระบี่เล่มนี้ ท่าทางของฟางจิ้งเลวี่ยพลันเปลี่ยนไป เขากลายเป็นผู้สง่างามเหมือนดั่งจักรพรรดิโบราณที่จุติลงมายังโลก!

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ มือขวาที่พิการของชายหนุ่มกลับหายเป็นปกติในพริบตา! ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของเขายังแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า

“กระบี่เต๋าจักรพรรดินภา!”

“ศิษย์พี่ฟางเสียสติไปแล้ว! นั่นเป็นสมบัติอมตะที่แท้จริง กระบี่เต๋าที่ปราชญ์ในยุคบรรพกาล จักรพรรดินภาเหลือทิ้งไว้ มันแฝงมหาเต๋าแห่งปราชญ์ และปราณของจักรพรรดิเมื่อใช้มัน …การต่อสู้ในครั้งนี้คงจะไม่จบลงแน่ หากไม่มีใครสักคนเสียชีวิต!”

“ไม่จำเป็นต้องกังวล มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีมากมายอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของใคร อย่างมากที่สุด เฉินซีจะยอมรับความพ่ายแพ้และออกจากโถงพินิจกระบี่อย่างเชื่อฟัง”

ศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์พูดด้วยความตกใจเมื่อเห็นฟางจิ้งเลวี่ยชักกระบี่นี้ออกมา

กระบี่เต๋าจักรพรรดินภาเป็นสมบัติอมตะที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ตามตำนานเล่าว่า มันคือกระบี่ของปราชญ์ในยุคบรรพกาลที่มีสมญานามว่า ‘จักรพรรดินภา’ และแม้ว่าวิญญาณศัสตราจะถูกทำลายไปแล้ว แต่อานุภาพของมันก็ยังทรงพลังเป็นพิเศษ และไม่ได้ด้อยกว่าสมบัติอมตะ

หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า วิญญาณศัสตราของกระบี่เล่มนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดใหม่ ก็คงไม่มีทางที่กระบี่เล่มนี้จะตกไปอยู่ในมือของฟางจิ้งเลวี่ย ถึงอย่างไร พลังของสมบัติล้ำค่าดังกล่าว ก็สามารถดึงออกมาได้อย่างสมบูรณ์โดยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น

ในขณะที่บรรดาศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างเริ่มกังวล เพราะถึงอย่างไร พลังของกระบี่ในมือฟางจิ้งเลวี่ยนั้นยิ่งใหญ่และไม่ธรรมดา จนแม้แต่ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงยังตกใจ แล้วจะนับประสาอะไรกับฉางเล่อ หลงเจิ้นเป่ยและศิษย์คนอื่น ๆ

“ในจักรวาลอันงดงาม เมื่อปลายกระบี่ของข้ามาถึง แผ่นดินจะแยกออกจากกัน!” บนสังเวียนพินิจกระบี่ ฟางจิ้งเลวี่ยถือกระบี่เต๋าจักรพรรดินภาไว้ในมือ ในขณะที่บทสวดอันยิ่งใหญ่มากมายเปล่งออกมาจากลำคอ และมันก็น่าสะพรึงกลัว เมื่อพุ่งออกมาราวกับเสียงก้องกังวานของปราชญ์ที่กำลังให้การสั่งสอน ดั่งจักรพรรดิออกราชโองการบงการฟ้า!

การจ้องมองของฟางจิ้งเลวี่ยเหมือนสายฟ้าฟาด ท่าทางของเขาดูดุดันและสูงส่ง ขณะที่ฟันกระบี่ลงมา

ครืน!

แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องลงมาราวกับห่าฝน ในขณะที่กระบี่แผ่ซ่านกลิ่นอายออกมามากมาย ทันใดนั้น เฉินซีพลันรู้สึกถึงพลังที่ปกคลุมฟ้าดินบนร่างกายของเขา ทว่าพลังนี้ไม่มีจิตสังหาร มันเพียงประกอบด้วยความกล้าหาญ ความเมตตา สติปัญญา และกลิ่นอายอื่น ๆ ของปราชญ์ ทำให้มันกว้างใหญ่และชอบธรรม

เฉินซีในขณะนี้รู้สึกราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับปราชญ์อย่างไรอย่างนั้น เพราะการโจมตีครั้งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายและเจตจำนงของปราชญ์!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือเต๋าแห่งปราชญ์ประเภทหนึ่ง! มันเป็นความลึกล้ำของมหาเต๋าที่มีแต่ปราชญ์เท่านั้นที่จะเชี่ยวชาญได้!

แต่ในขณะนี้ เขาไม่สามารถใส่ใจครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เพราะความโกรธแค้นและจิตสังหารที่กักเก็บอยู่ในใจของชายหนุ่ม ทำให้ตัวเขาเริ่มกระสับกระส่ายมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจะมีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นได้อย่างไร?

ชายหนุ่มพลันยื่นมือออกไปคว้าจับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้กระบี่สีแดงเลือดปรากฏขึ้นในมือของเฉินซี และทันทีคมกระบี่หมุนวน มันก็กวนทั้งหยินและหยางราวกับถูกพัดออกไปเหมือนกระแสน้ำวนที่เต็มไปด้วยดวงดาว!

ตู้ม!

ทันทีที่การโจมตีนี้พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้แต่ฟ้าดินก็พลันหม่นหมอง ในขณะที่แสงสีเลือดพุ่งผ่านอากาศ และจิตสังหารที่หนาแน่นราวกับเลือดสาดกระเซ็นออกมา ก็ได้ก่อกำเนิดคลื่นแห่งความเศร้าโศกที่ดังกึกก้องจนสั่นสะเทือนโดยรอบ!

“เอ๊ะ! นั่นมัน…” องค์หญิงไป๋หลี่ดูจะเข้าใจอะไรบางอย่าง และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาในโถงพินิจกระบี่ที่สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย …ใบหน้าของนางในขณะนี้ได้เผยความประหลาดใจและงุนงงออกมาอย่างชัดเจน!

‘ดูเหมือนจะเป็น… น้ำตาของปราชญ์?’ ดวงตาของเลี่ยเผิงพลันส่องประกายเจิดจ้าดุจสายฟ้าฟาด ขณะที่จ้องไปยังกระบี่สีแดงเลือดในมือของเฉินซี โดยที่ใบหน้าของชายชราเองก็เผยความประหลาดใจและงุงงงออกมาเช่นเดียวกัน

ไม่ใช่แค่พวกเขา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้สึกถึงความเศร้าโศกและความน่าสะพรึงกลัวจากกระบี่เล่มนี้ ด้วยมันแฝงไปด้วยเจตนาอันน่าเกรงขามที่จะพร้อมจะสังหารปราชญ์ทุกคนเพื่อยุติบาปทั้งมวล!

ตู้ม!

แสงเทวะอันสูงส่งและกลิ่นอายสีเลือดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ในขณะที่ทั้งคู่ปะทะกัน และพวกมันก็ระเบิดแสงที่ไร้ขอบเขตออกมา!

โถงพินิจกระบี่ในเวลานี้พลันสั่นสะท้าน ในขณะที่เจตจำนงกระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ปะทะกัน มันเหมือนกับปราชญ์กำลังเดือดดาล ซึ่งได้แผ่แรงกระตุ้นที่น่าตกใจอย่างมากออกมา และทำให้ทุกคนที่มาร่วมงานต้องเบิกตากว้าง เพราะพวกเขากลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

กระบี่เต๋าจักรพรรดินภากับกระบี่สีแดงเลือดปะทะกัน และพวกมันถูกใช้จนถึงขีดสุดโดยฟางจิ้งเลวี่ยและเฉินซี ความลึกล้ำของมหาเต๋าต่าง ๆ พุ่งทะยานไปมา ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยง ๆ และโลกก็ตกอยู่ในความโกลาหล

หากไม่ใช่เพราะสังเวียนพินิจกระบี่สร้างจากผลึกมารดาทมิฬ รวมถึงค่ายกลภายในโถงแห่งนี้ …ป่านนี้ทั้งห้องโถงอาจถูกทำลายไปแล้วก็เป็นได้!

อานุภาพของมันน่ากลัวยิ่ง!

คนหนึ่งเป็นเหมือนการเกิดขึ้นของปราชญ์ การสืบเชื้อสายของกษัตริย์ ทุกหนทุกแห่งที่เจตจำนงกระบี่ผ่านไปต่างเต็มไปด้วยสติปัญญา ความเมตตา ความกล้าหาญ หรือปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่อีกคนกลับลุกโชนด้วยแสงสีเลือด ซึ่งมีจิตสังหารอันน่าเกรงขามและหนาแน่น ราวกับหมายจะเข่นฆ่าเทพเจ้าและสังหารปราชญ์ …ต้องการที่จะทำลายล้างปราชญ์ทั้งหมดในโลก!

ไม่ต้องพูดถึงการปะทะกันด้วยการบ่มเพาะของพวกเขา เพียงแค่การปะทะกันของกระบี่ทั้งสองเล่มนี้ มันก็ทำให้หัวใจของทุกคนในห้องโถงสั่นสะท้าน และคลื่นพายุที่ไม่อาจสงบได้ก็เกิดขึ้นในใจของพวกเขา

“ปราชญ์—สังหาร—ต้องห้าม—กระบี่!” แววตาขององค์หญิงไป๋หลี่เปลี่ยนไปมา และในที่สุด ริมฝีปากที่อวบอิ่มและอ่อนนุ่มของนางก็พ่นคำสองสามคำออกมาด้วยความยากลำบาก

ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงก็จดจำกระบี่สีแดงเลือดในมือของเฉินซีได้เช่นกัน และร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ขณะที่ชายชราพึมพำ “กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ว่าหายไปในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬ พร้อมกับผู้อาวุโสจากเผ่าหยาจื้อเมื่อหมื่นปีก่อนหรือ?”

“กระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์!”

ตามตำนานว่ากันว่า กระบี่นี้เคยสังหารนักปราชญ์นับไม่ถ้วนในยุคบรรพกาล ทำให้เลือดไหลนองพื้นและย้อมท้องฟ้าครามจนเป็นสีแดง ในเวลานั้น ฝนเลือดของเหล่าปราชญ์ได้ตกลงมาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ในขณะที่สิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลสามารถได้ยินเสียงคลื่นเสียงโหยหวนอันน่าเศร้าของบรรดานักปราชญ์ ซึ่งได้สั่นสะเทือนยุคบรรพกาลของทั้งสามภพ!

ต่อมา กระบี่เล่มนี้ได้ถูกผนึกโดยตัวตนทรงพลังอันสูงส่งและไม่ปรากฏในโลกเป็นเวลานาน ในขณะที่การสังหารที่เกิดจากกระบี่นี้และพลังอันน่าสะพรึงกลัวของมันได้กลายเป็นข้อห้ามที่ทำให้ทุกคนหน้าซีดยามกล่าวถึงมัน

หลังจากนั้นไม่นาน กระบี่นี้ก็ได้ถูกพบโดยผู้อาวุโสของเผ่าหยาจื้อเมื่อหมื่นปีก่อน และมันได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลก เพราะมันกลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหยาจื้อ แต่น่าเสียดายที่กระบี่เล่มนี้และผู้อาวุโสของเผ่าหยาจื้อได้หายไปในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬพร้อม ๆ กัน ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนในโลก ต่างต้องถอนหายใจด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง

ถึงกระนั้น กระบี่ต้องห้ามเล่มนี้ซึ่งถูกกล่าวถึงในตำนาน กลับปรากฏอยู่ในมือของเฉินซี ดังนั้นผู้อาวุโสเลี่ยเผิงจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?

โครม!

ฟางจิ้งเลวี่ยซึ่งอยู่บนสังเวียนพินิจกระบี่ในเวลานี้ ดูราวกับถูกฟ้าผ่า ตัวคนถูกระเบิดจนปลิวกระเด็น กระบี่เต๋าจักรพรรดินภาที่อยู่ในมือของเขาส่งเสียงคร่ำครวญ ก่อนที่จะเจาะเข้าไปในมิติและหายไป

“เจ้า…เจ้า… กระบี่อันใดกันที่อยู่ในมือเจ้า!?” ฟางจิ้งเลวี่ยกระอักเลือดออกมา ใบหน้าซีดเซียว และร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่เคยนึกเลยว่า ตัวเขาจะไม่สามารถทำอะไรกับอีกฝ่ายได้ ทั้งที่ใช้กระบี่เต๋าจักรพรรดินภา!

ทว่าเฉินซีกลับไม่ตอบ ใบหน้าของชายหนุ่มเย็นชาและไม่แยแส เขาถือกระบี่สีแดงเลือดดั่งกษัตริย์ที่เดินผ่านกองเลือดและความมืด จากนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็เปล่งประกายด้วยแสงสว่างจ้า ซึ่งเผยให้เห็นอักขระยันต์ที่อยู่ภายใน

ฟึ่บ!

ฟางจิ้งเลวี่ยรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ดวงตาของเขา ราวกับกระบี่ที่แหลมคมได้ทำลายพวกมันอย่างหนักหน่วง ทำให้ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป จนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างน่าสมเพช “เจ้ากล้าทำลายดวงตาของข้าจริง ๆ ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” ฟางจิ้งเลวี่ยตกใจเป็นอย่างมาก เขาร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช และเอามือปิดตาขณะที่ร้องโหยหวน

ทว่าเฉินซีกลับไม่แยแส ชายหนุ่มกล่าวเพียงไม่กี่คำ “ยอมรับความพ่ายแพ้… หรือตาย!”

คำพูดนี้มันช่างเยือกเย็นและอำมหิตยิ่งนัก!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท