บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 753 คับคั่งไปด้วยแขกเหรื่อ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 753 คับคั่งไปด้วยแขกเหรื่อ

บทที่ 753 คับคั่งไปด้วยแขกเหรื่อ

รุ่งอรุณในวันถัดมา ทั่วทั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างได้ทราบข่าวการกลับมาของเฉินซี!

ณ เวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายใน ศิษย์สายนอก ศิษย์ชั้นสูงศิษย์ชั้นยอด หรือแม้แต่ผู้อาวุโส ล้วนกล่าวถึงชื่อเดียวกัน นั่นคือ…เฉินซี!

ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ หากกล่าวถึงคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ย่อมหนีไม่พ้นเฉินซี! เพราะนับตั้งแต่เขาเข้าร่วมนิกาย ชายหนุ่มก็สร้างความปั่นป่วนครั้งแล้วครั้งเล่า และก่อปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน!

ณ ขณะนี้ ตัวตนในตำนานนี้ได้กลับมาพร้อมชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ และทำให้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองต้องสั่นสะเทือน!

ในวันนี้ เหล่าศิษย์เริ่มจิตใจฟุ้งซ่านเมื่อบ่มเพาะ ผู้อาวุโสมักจะสูญเสียความคิดในขณะที่สั่งสอน และแม้แต่ศิษย์ที่เฝ้าทางเข้านิกายก็มีสีหน้าเหม่อลอยยิ่ง

เมื่อการบ่มเพาะของพวกเขาสิ้นสุดลง คาบเรียนของพวกเขาก็จบลง และถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนกะสำหรับเฝ้าประตูทางเข้านิกาย ความฟุ้งซ่านในจิตใจของพวกเขาพลันถูกลบหายไปอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ขวัญกำลังใจของทุกคนพลุ่งพล่าน จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็พุ่งเข้าหายอดเขาจรัสตะวันตกอย่างตื่นเต้น พวกเขาต้องการไปเยี่ยมเยียนเฉินซี และต้องการเห็นตัวตนในตำนานที่เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันผู้นี้!

ยอดเขาจรัสตะวันตกจึงคึกคักและแออัดไปด้วยผู้คนในขณะนี้

เพราะเฉินซีไม่ได้กลับไปที่ยอดเขาจรัสเทวะ แต่ย้ายไปยังยอดเขาจรัสตะวันตก เนื่องจากระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขา มันจึงไม่มีความแตกต่างไม่ว่าชายหนุ่มจะบ่มเพาะที่ใดก็ตาม

แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า วันนี้จะมีผู้คนมากมายมาเยี่ยมเยียน แม้ว่าชายหนุ่มจะจัดแจงให้เหมิงเหวยและคนอื่น ๆ คอยเลี้ยงรับรองแขก พวกเขาก็ยังแสนยุ่งอย่างสุดจะพรรณนา

ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่า ไม่ว่าศิษย์และผู้อาวุโสเหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งหรือสถานะใด พวกเขาทั้งหมดต่างมีความปรารถนาดีเมื่อมาเยี่ยมเยียนตน

โดยความปรารถนาดีเหล่านี้มีทั้งความเคารพนับถือหรือความชื่นชมเคล้ากันไป สรุปแล้วก็คือ ตราบใดที่ไม่ใช่ตัวตนซึ่งไม่เป็นที่ต้อนรับ ชายหนุ่มก็ยินดีจะต้อนรับทุกคน

อันเวย อันเคอ หลงเจิ้นเป่ย และคนอื่น ๆ ก็มาเยือนเช่นกัน พวกเขาช่วยเฉินซีดูแลศิษย์กับผู้อาวุโสบางคนของนิกาย

ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงและผู้อาวุโสขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ได้มอบคัมภีร์เต๋านิรันดร์ให้กับเฉินซี พร้อมทั้งยังพูดคุยกับชายหนุ่มเป็นเวลานาน ก่อนที่จะจากไปอย่างรวดเร็ว

แต่แม้ว่าเลี่ยเผิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จะจากไปแล้ว แต่เมื่อฉากนี้เข้าสู่สายตาของศิษย์และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมเฉินซีมากยิ่งขึ้น ในใจของทุกคนได้ตัดสินแล้วว่า จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชายหนุ่ม แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ดีก็ตาม แต่นั่นก็ยังถือเป็นเกียรติสำหรับพวกเขา!

แน่นอนว่าแขกที่มาเยี่ยมเยียนย่อมไม่ได้มามือเปล่า ผู้มีพื้นเพธรรมดาได้มอบดอกไม้วิญญาณและสมุนไพรวิญญาณที่พวกเขารวบรวมด้วยความพยายามให้เป็นของขวัญ ส่วนผู้มีภูมิหลังที่ดีนั้นกลับใจกว้างยิ่งกว่า พวกเขาต่างส่งมอบสมบัติล้ำค่ามากมายจากทั่วทุกมุมโลกไปยังยอดเขาจรัสตะวันตก

มีของขวัญมากมายถึงขนาดที่ว่า หากนำมากองรวมกันก็คงสูงเป็นภูเขาได้เลย!

ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ทุ่งเพาะปลูกที่ว่างเปล่าและสวนสมุนไพรบนยอดเขาจรัสตะวันตกก็มีสมุนไพรวิญญาณ ดอกไม้วิญญาณ และโอสถล้ำค่ามากมาย ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ช่องเขาและป่าก็มีสัตว์ล้ำค่าจำนวนมากเคลื่อนไหวอยู่ ทำให้ยอดเขาจรัสตะวันตกดูเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

และนี่คือประโยชน์ของ ‘อำนาจ’!

แม้ว่าเฉินซีเพิ่งเข้าร่วมนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้เพียงหนึ่งปี แต่พลังของเขากลับเหนือกว่าศิษย์ส่วนใหญ่ ทำให้ชายหนุ่มโดดเด่นเป็นอย่างมาก จนเสิ่นหลางหยายังต้องหม่นแสงเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินซี

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจะกล้าไม่ไปเยี่ยมเยียนบุคคลดังกล่าวได้อย่างไร? แล้วพวกเขาจะกล้าไปมือเปล่าได้หรือ?

อันที่จริง… ศิษย์ชั้นสูงของยอดเขาจรัสตะวันออกก็มาเช่นกัน โดยมาเพื่อส่งคืนสมบัติทั้งหมดที่เฉินซีได้ให้เวลาพวกเขาสิบวันในการคืนของ แต่หลังจากได้รับบทเรียนที่น่าสังเวชเมื่อวาน พวกเขาจะกล้าชักช้าได้อย่างไร?

แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายอดเขาจรัสตะวันตกเต็มไปด้วยแขกและผู้คนที่คับคั่ง ทว่าพวกเขาก็ทำได้เพียงรวบรวมความกล้าที่จะขึ้นไป ซึ่งท่าทางของศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกก็ดูราวกับผู้กระทำความผิด พวกเขามักหลีกเลี่ยงการจ้องมองของทุกคน จากนั้นจึงรีบส่งมอบสมบัติก่อนที่จะหันหลังและจากไปโดยไว

ที่พวกเขามีท่าทางเช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้ เพราะการทุบตีที่ได้รับเมื่อวานนั้นไร้ความปรานีจริง ๆ และพวกเขาก็ยังไม่ฟื้นตัวจนถึงตอนนี้ ทุกคนจึงมีใบหน้าบวมปูดหรือเดินโซเซไปตาม ๆ กัน ทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพที่น่าอนาถอย่างสุดจะพรรณนา!

อย่างไรก็ตาม บางคนที่มีสายตาเฉียบแหลมก็ยังสังเกตเห็นรูปร่างหน้าตาของพวกเขา และมันก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที ทุกคนต่างถอยออกห่างจากศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันออก ราวกับจะหลีกเลี่ยงโรคระบาด และผู้คนต่างชี้ไปที่พวกเขา ในขณะที่สนทนากันเบา ๆ ทำให้ใบหน้าของศิษย์พวกนั้นแดงระเรื่อด้วยความลำบากใจ และไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าเอาหน้าซุกพื้นดินเพื่อปิดบังความละอาย

เฉินซีไม่ได้คิดสร้างความลำบากให้กับศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันออกอีกต่อไป เขาเพียงรับสมบัติ ก่อนจะปล่อยให้คนพวกนั้นออกไป และท่าทีของชายหนุ่มก็ไม่เย็นชาหรือเฉยเมย ดังนั้นแล้วการกระทำของเฉินซีจึงได้รับการสรรเสริญจากผู้คนไม่น้อย

โดยล้วนยกย่องเขาว่าเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักให้อภัย และตอบแทนความเกลียดชังด้วยความเมตตา พวกเขากล่าวกระทั่งว่าเฉินซีมีลักษณะของปราชญ์ผู้เปี่ยมด้วยน้ำใจและเที่ยงธรรมในยุคบรรพกาล

เมื่อศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกเห็นฉากนี้ ทุกคนพลันรู้สึกหดหู่ใจจนแทบจะกระอักเลือด ‘ถ้าเฉินซีเป็นเหมือนปราชญ์ในยุคบรรพกาล แล้วพวกเราล่ะ? เศษสวะที่น่ารังเกียจหรือ?’

ในที่สุด เฉินซีก็ส่งแขกคนสุดท้ายออกไปเมื่อม่านแห่งราตรีได้เคลื่อนผ่านมา และชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขารู้สึกว่าการต้อนรับและคอยส่งแขกออกไปเช่นนี้ …เหนื่อยกว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดกับศัตรูเสียอีก!

เหมิงเหวย โม่ย่า และพวกเด็ก ๆ เองก็เหนื่อยมากเช่นกัน มีเพียงอาซิ่วเท่านั้นที่ยังคงตื่นเต้น นางเอามือไพล่หลังในขณะที่กระโจนไปรอบ ๆ และรวบรวมกองสมบัติบนพื้น

สมบัติทั้งหมดนี้ต่างเป็นสมบัติล้ำค่าและมีสีสันต่าง ๆ พวกมันเปล่งประกายด้วยแสงหลากสีสัน ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทว่าพวกมันยังห่างไกลจากการใช้งานได้จริง ส่วนใหญ่จึงเป็นได้แค่เพียงของตกแต่งหรือเครื่องประดับ

แต่อาซิ่วไม่สนใจเรื่องนั้น เช่นเดียวกับหญิงสาวทุกคน นางชอบสิ่งของเหล่านี้ที่แวววาวและระยิบระยับ อาซิ่วเลือกสายสร้อยไข่มุกหยกขาวและสวมไว้ที่คอของนาง ก่อนจะเลือกสร้อยข้อมือที่ฝังด้วยอัญมณีสีเงินเส้นหนึ่ง และสวมมันบนข้อมือสีขาวอย่างกระตือรือร้น

ในพริบตาเดียว ไม่ว่าจะคอ หู ข้อมือ ข้อเท้า หรือเอวของอาซิ่ว ก็ล้วนเต็มไปด้วยสมบัติหลากสี พวกมันต่างเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางม่านแห่งราตรีกาล

เฉินซีรู้สึกทึ่งกับภาพนี้ ก่อนที่จู่ ๆ เขาจะนึกขึ้นได้ว่า สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะได้รับมาจากบรรดาศิษย์หญิงจากยอดเขาจรัสเหนือ “พวกนางไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะมีประโยชน์กับข้าหรือไม่…”

แต่เห็นได้ชัดว่าเครื่องประดับเหล่านี้สร้างความสุขให้กับอาซิ่ว ทำให้แก้มนางแดงระเรื่อและปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย

…เห็นได้ชัดว่าอาซิ่วมีความสุขและพึงพอใจเพียงใดในขณะนี้!

“เฉินซี เจ้าจะให้ข้าไปเมื่อไรกัน?” เมื่อเฉินซีตั้งใจจะกลับไปที่ห้องของเขา ทำให้เสวี่ยเหยียนผู้มักจะนิ่งเงียบถึงกับขบริมฝีปากเหมือนคนที่ถูกรังแก ก่อนจะไม่อาจหักห้ามใจจนกล่าวออกไปในที่สุด

แม้จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่นางก็ถูกจำกัดด้วยค่ายกลที่อาซิ่ววางไว้ ทำให้เสวี่ยเหยียนไม่ต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นเฉินซีจึงไม่กังวลว่านางจะหลบหนี

“ข้าจะปล่อยเจ้าทันที เมื่อปิงซื่อเทียนมอบเหล่าศิษย์พี่ของข้าคืนมา” ชายหนุ่มตอบอย่างสบาย ๆ ก่อนจะหันหลังกลับและเข้าไปในห้องของตน

“สารเลว! ไอ้สารเลว!” เสวี่ยเหยียนโกรธมาก นางกัดริมฝีปากสีแดงที่อ่อนนุ่มและเย้ายวน ขณะที่ในใจก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการกัดอีกฝ่ายสักสองสามคำ!

“โอ้ ปีศาจจิ้งจอกน้อย มาช่วยข้าดูทีว่าต่างหูหยดน้ำนี่ดีหรือไม่” อาซิ่วโพล่งขึ้น ในขณะที่ถือต่างหูทรงหยดน้ำที่อาบไปด้วยประกายสีฟ้าสลัว

“ปีศาจจิ้งจอกน้อย?” เสวี่ยเหยียนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นในใจ แต่นางยังคงเดินไปอย่างเชื่อฟังและกล่าวด้วยเสียงที่ไพเราะว่า “ต่างหูหยดน้ำคู่นี้ไม่เลว พวกมันทำมาจากหินโมราสีครามน้ำทะเลที่สดใส ถูกสร้างด้วยช่างฝีมือที่ละเอียดรอบคอบ และนายท่านจะสวยไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อความงามของท่านถูกเติมเต็มด้วยมัน”

เมื่อคำกล่าวที่น่าอัปยศอดสูนี้หลุดออกริมฝีจาก หญิงสาวพลันรู้สึกถึงคลื่นแห่งความเสียใจ แต่นางไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอาซิ่ว จึงทำได้เพียงกล่าวเสียงหวานเพื่อให้มีชีวิตรอดไปวัน ๆ

โดยเฉพาะช่วงเวลาที่รับมือกับอาซิ่ว นางรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวซึ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ของอีกฝ่าย ดังนั้นเสวี่ยเหยียนจะกล้าทำอะไรได้อย่างไร?

นางรู้ว่า แม้จะดูไร้กังวลตลอดเวลา แต่อาซิ่วก็เป็นเหมือนปีศาจตัวน้อย …และเมื่อต้องรับมือกับอาซิ่วอยู่บ่อยครั้ง อีกฝ่ายก็มักสั่งใช้ให้เสวี่ยเหยียนรินชา หรือสั่งให้ทำนู่นทำนี่ ราวกับนางกำลังฝึกทาสอยู่อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งการไม่เชื่อฟังคำสั่งแม้เพียงเล็กน้อย จะทำให้สิ่งที่อยู่ภายในร่างกายของนางถูกเปิดใช้งาน และทรมานเสวี่ยเหยียนจนนางไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการปลิดชีวิตตัวเอง

นางจึงสาบานว่าจะไม่ยอมประสบกับความรู้สึกเช่นนี้อีก!

หากคนที่นางรับมือด้วยเป็นบุรุษ เสวี่ยเหยียนก็คงสามารถใช้ความงามและเสน่ห์ที่งดงามหยดย้อย เพื่อปราบบุรุษผู้นั้นอย่างช้า ๆ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีเยี่ยงอาซิ่ว เสวี่ยเหยียนกลับไม่อาจทำสิ่งใดได้

นี่คือธรรมชาติของสตรีเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสตรีคนหนึ่งกำลังทรมานสตรีอีกคนหนึ่ง วิธีการของพวกนางก็จะยิ่งทวีความน่ากลัวกว่าบุรุษเสียอีก

“เจ้าไม่ได้หมายความตามที่เจ้ากล่าว แต่อย่ากังวลไป วันที่ข้าจะฝึกเจ้าให้เป็นผู้รับใช้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะมาถึงแน่นอน” อาซิ่วจ้องไปที่เสวี่ยเหยียน ขณะที่เม้มริมฝีปากของนาง จากนั้นหญิงสาวก็หันไปรอบ ๆ ด้วยความภาคภูมิใจและไม่สนใจเสวี่ยเหยียนอีกต่อไป

เสวี่ยเหยียนอดไม่ได้ที่จะเสียใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ซึ่งนางไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าคร่ำครวญและร้องไห้ …ในเวลานี้ หญิงสาวปรารถนาอย่างยิ่งที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้ และทิ้งปีศาจน้อยตัวนี้ที่สมควรถูกหั่นเป็นพันชิ้นให้ไกล ๆ!

ขณะเดียวกัน เฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงภายในห้องพัก

เบื้องหน้าเขามีคัมภีร์ที่เปล่งแสงสายฝนใสกระจ่างออกมา ทำให้มันดูไม่ธรรมดาและน่าอัศจรรย์ ซึ่งสิ่งนี้ก็คือมรดกสูงสุดจากเขาวิญญาณนิรันดร์…คัมภีร์เต๋านิรันดร์!

เลี่ยเผิงได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่า ชายหนุ่มมีเวลาเพียงเจ็ดวันในการทำความเข้าใจคัมภีร์นี้ และหากไม่รวมวันนี้ มันก็เหลือเวลาอีกเพียงหกวัน ดังนั้นเลี่ยเผิงจึงขอให้เขาใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์

ปกติแล้ว เฉินซีย่อมไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป และเขาก็ใคร่รู้เกี่ยวกับความนิรันดร์อันล้ำลึกอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงยกคัมภีร์ขึ้น แม้มันจะให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ยังแผ่ความรู้สึกที่เย็นสบาย คล้ายกับว่าตัวเฉินซีกำลังแช่ตัวอยู่ในสระน้ำพุที่เย็นสดชื่น และความรู้สึกนั้นก็สุดแสนจะพรรณา

“ช่างมันเถอะ ไปที่โลกแห่งดาราเพื่อทำความเข้าใจจะดีกว่า” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนและเปิดเคหาพร้อมเข้าไปในนั้น

กฎแห่งกาลเวลาในโลกแห่งดารานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เวลาภายในนั้นจะเคลื่อนช้ากว่าโลกภายนอกสิบเท่า และกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเขาสามารถทำความเข้าใจในนั้นได้สองเดือน ในขณะที่โลกภายนอกผ่านไปเพียงหกวันเท่านั้น

ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่พร่างพรายไปด้วยดวงดาว ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงินเย็นยะเยือก

เฉินซีนั่งอยู่ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ขณะที่เขาหายใจเข้าลึก ๆ จิตใจของชายหนุ่มว่างเปล่าและปลอดโปร่ง ปราศจากความคิดกวนใจแม้แต่น้อย

เขาเปิดคัมภีร์เต๋านิรันดร์อย่างช้า ๆ

ฟิ้ว!

ถ้อยคำโบราณทะยานออกมาจากคัมภีร์ราวกับว่าพวกมันมีปีก และขดอยู่รอบตัวเขาอย่างไม่รู้จบ

แสงสว่างยิ่งเจิดจ้าขึ้น ในขณะที่กลิ่นอายของมหาเต๋านิรันดร์ขดตัวและกระจายไปยังบริเวณโดยรอบ อีกทั้งเสียงของเต๋าที่เหมือนกับเสียงของธรรมชาติก็พอจะได้ยินอย่างแผ่วเบาและดังก้องออกมาจากมันอย่างช้า ๆ

ในขณะที่จิตใจของเฉินซีก็ดำดิ่งสู่สภาวะที่ลึกซึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ความคิดของเขาดูจะเชื่อมโยงกับยุคบรรพกาล และความเข้าใจต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจของชายหนุ่ม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท