บทที่ 771 ผลึกต้นกำเนิดโกลาหล
บทที่ 771 ผลึกต้นกำเนิดโกลาหล
ความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงภัยร้ายพลุ่งพล่านอยู่ทั่วร่างกายที่เหมือนน้ำเย็นเฉียบของเสิ่นหลางหยา ราวกับตัวคนตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ฉับพลันนั้น เขารู้สึกได้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา มันเป็นความรู้สึกแรงกล้าเสียจนทำเอาขนอ่อนทั่วร่างลุกชัน!
หรือว่าข้ากำลังจะตายจริง ๆ?
เสิ่นหลางหยาไม่ยินยอม สีหน้าเขาบิดเบี้ยว โทสะปะทุขึ้นสูง เขาเป็นเหมือนอสูรร้ายถูกคุมขังที่คิดสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก!
อั่ก!
แต่ความเจ็บปวดระลอกใหญ่กลับพวยพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ถึงขั้นที่สัมผัสได้ว่าเนื้อบนแผ่นหลังถูกกระชากออกพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น!
เหตุการณ์พลิกผันเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาจำได้ว่าตนเองเอาแต่สนใจวิญญาณโลหิตฉยงฉีตรงหน้า จนลืมศัตรูที่สามารถกระโดดข้ามมิติไปมาอีกตนเสียสนิท…
ครืน!
กรงเล็บยักษ์ที่ปิดฟ้าจนมิดซัดลงมา เงาดำของมันปกคลุมร่างของเสิ่นหลางหยา
เขาควรจะหลบการโจมตีครั้งนี้ได้ แต่ด้วยบาดแผลสาหัสที่แผ่นหลัง จึงทำให้เสิ่นหลางหยาซวนเซไปมา ไม่อาจแม้แต่จะต้านทานหรือเข้าต่อสู้ได้อีก …ได้แต่มองดูความตายกำลังคืบคลานมาเท่านั้น!
“ไม่เคยคิดเลยว่า ตัวข้าที่ใช้ชีวิตมาอย่างรุ่งโรจน์ ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับเฉินซียังไม่พอ แต่กำลังจะถูกวิญญาณโลหิตสังหารเช่นนี้…” เสิ่นหลางหยาเผยสีหน้าแห่งความสิ้นหวังออกมา และหลับตาลง
ตู้ม!
ฉับพลันได้บังเกิดเสียง ‘ตู้ม’ ครั้งใหญ่ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ทำให้เสิ่นหลางหยาอึ้งไป เขายังไม่ทันได้ลืมตา ก็สัมผัสได้ว่าทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเลือดจากกลิ่นฉุนเลือดแรงซึ่งตีเข้าจมูก
“แหวะ…” มันเป็นกลิ่นที่เหม็นมากจนในท้องปั่นป่วนไปหมด ทำเอาเจ้าตัวเกือบอาเจียนออกมา แต่พอลืมตาแล้วเห็นภาพตรงหน้า ร่างของชายหนุ่มก็เป็นต้องแข็งค้างไป สีหน้าดูไม่อยากเชื่อ ลืมความรู้สึกไม่สบายทั้งหลายภายในร่างกายไปเสียสนิท
ที่ยืนอยู่ไกล ๆ คือร่างสูงของคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังต่อสู้กับวิญญาณโลหิตสองตัว เงาร่างของอีกฝ่ายวูบไหวไปมาราวกับเส้นสายฟ้า ปราณกระบี่พลุ่งพล่านทั้งแนวตั้งและแนวนอน เหมือนเซียนจุติที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์สูงส่งก็ไม่ปาน
เฉินซี!
เหตุใดจึงเป็นเขาได้!?
เสิ่นหลางหยาเบิกตากว้าง สีหน้าเปลี่ยนไปมา ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ในใจเกิดความรู้สึกซับซ้อน เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้ที่เข้ามาช่วยยามคับขันจะเป็นคนผู้นี้ได้!
ก่อนหน้านี้คงเห็นทุกอย่างกระมัง? คงคิดว่าตัวข้าไร้ประโยชน์มากเลยสินะ? ฮ่า ๆ! ก่อนหน้านี้ไม่มา เพิ่งจะมาเอาตอนนี้ อีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่? อยากพิสูจน์ว่าแข็งแกร่งกว่าหรือไร?
ยิ่งคิด เสิ่นหลางหยาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ไฟโทสะที่ไม่อาจอธิบายได้พลันลุกโชนขึ้นในอก อึดใจต่อมาเขาก็ตะโกนลั่นแล้วลุกขึ้นยืน “เฉินซี ใครขอให้เจ้าช่วยกัน? หลีกไปเลย!”
เขาเพิ่งจะตะโกนเสียงไปได้ไม่นาน แต่ร่างกลับพุ่งออกไปแล้ว โดยพุ่งเข้าไปหาเฉินซี หมายจะบีบให้อีกฝ่ายถอยไป!
เดิมที เฉินซีกำลังสู้อยู่กับวิญญาณโลหิตสองตน แต่เมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาเช่นนี้ จึงทำให้เขาต้องถอยร่นไป ด้วยราวกับเสิ่นหลางหยากำลังร่วมมือกับวิญญาณโลหิตสองตัวนั้นโจมตีเขาพร้อมกัน!
ในหมู่วิญญาณโลหิตสองตัวนี้ ตัวหนึ่งกำเนิดจากอสูรโบราณฉยงฉี มันทั้งดุร้าย เกรี้ยวกราดและมีพละกำลังสูงส่งมาก ในขณะที่วิญญาณโลหิตอีกตัวหนึ่งน่ากลัวยิ่งกว่า ด้วยมันกำเนิดมาจากอสูรโบราณตี้เจียง![1]*
อสูรดุร้ายชนิดนี้มีความสามารถในการควบคุมห้วงมิติ มีความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ทำให้เหมือนเป็นนักฆ่าที่เคลื่อนตัวผ่านห้วงมิติ และไม่อาจหาทางเตรียมรับมือได้เลย!
ไม่ว่าจะเป็นฉยงฉีหรือตี้เจียง ล้วนแต่มีพลังอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสองทั้งสิ้น ทำให้มีความน่าเกรงขามและสร้างแรงกดดันต่อเฉินซีเป็นอย่างมาก
แล้วตอนนี้เสิ่นหลางหยาที่ไม่ช่วยต่อสู้ ก็ยังเริ่มโจมตีเขาเหมือนคนบ้าอีก ทำให้เฉินซีอดรู้สึกรำคาญไม่ได้!
ไอ้เวรนี่! ในเวลาเช่นนี้แล้วยังเป็นบ้าอะไรอีก!?
ชายหนุ่มทั้งตกใจทั้งโกรธ แรงกดดันยิ่งพุ่งสูง ทำให้อยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก ยิ่งเมื่อวิญญาณโลหิตตี้เจียงเคลื่อนที่ผ่านอากาศและโจมตีไม่หยุดเช่นนี้ มันก็เกือบทำให้เฉินซีถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่หลายครั้ง
…แม้จะสามารถฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว แต่เลือดที่อาบย้อมชุดจนเป็นสีแดงฉาน มันก็ได้ทำให้เขาขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไสหัวไป! ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งก่อน!” เฉินซีตีหน้าเคร่งขรึม ขณะตะโกนด่าเสิ่นหลางหยาตรง ๆ
เสิ่นหลางหยานับว่าเข้ามากวนมือกวนเท้าโดยแท้ ทว่าจะฆ่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ ปล่อยไว้ก็ไม่ได้เช่นกัน เหมือนก้างปลาที่ติดคออย่างไรอย่างนั้น ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ด้วยเหตุนี้เอง การต่อสู้ของเขากับฉยงฉีและตี้เจียงจึงทำได้แค่เพียงคอยไปก่อน
“กล้าดีอย่างไร!” ผมของเสิ่นหลางหยายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงดูคล้ายคนบ้า ขณะโจมตีเฉินซีไม่หยุด ทั้งยังไม่ยั้งแรงแม้แต่น้อย “กล้าดีอย่างไรถึงต้องเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องของข้าด้วย? ถึงตัวข้าจะต้องตาย แต่ก็ไม่ขอติดหนี้บุญคุณเจ้า!”
เฉินซีโกรธจนอยากหัวเราะออกมา ดูท่าไอ้บัดซบนี่คงเสียสติไปแล้วจริง ๆ!
ชายหนุ่มจึงไม่ยั้งมืออีก จากนั้นก็ใช้ทักษะปีกกำราบผกผันพร้อมกับเอี้ยวตัวหลบกรงเล็บของฉยงฉี ก่อนจะเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงหน้าเสิ่นหลางหยา ตบไหล่อีกฝ่ายทันใด “เช่นนั้นก็ไสหัวลงไปอยู่ข้างล่างดี ๆ เสีย!”
ตู้ม!
เสิ่นหลางหยาไม่ทันระวัง ร่างจึงดิ่งลงสู่พื้นราวกับดาวตก แรงสะเทือนที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าตัวมึนไปหมด รวมถึงโกรธจนแทบกระอักเลือด ในใจคิดว่า ‘ไอ้บ้านี่! ถูกมันซัดร่วงเอาอีกแล้ว!’
ภาพตรงหน้าช่างเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในโถงพินิจกระบี่ยิ่งนัก เฉินซีสะบัดแขนเสื้อทีเดียวก็ซัดร่างของเขาปลิวออกจากสังเวียนไปได้ อีกทั้งครั้งนี้เจ้าตัวยังไร้ความปรานี ตบเขาจนร่วงลงมาปักพื้นเหมือนเสาไม้เช่นนี้อีก!
เสิ่นหลางหยาพยายามพยุงตนเองลุกขึ้นนั่ง แต่น่าเสียดายที่เฉินซีใช้วิชา ‘ผนึกมิติจองจำ’ เพื่อยึดร่างของเขาไว้ ทำให้อีกฝ่ายต้องนอนตาเขียวอยู่อย่างนั้นไปชั่วขณะหนึ่ง
พอไม่มีเสิ่นหลางหยากวนใจแล้ว เฉินซีก็คลายความเครียดลงได้มาก เขาระบายความโกรธที่สุมอยู่ในท้องกับศัตรูต่อในทันที!
ฟิ้ว!
เป็นจังหวะนั้นเองที่ตี้เจียงเคลื่อนมิติหายตัวไป เริ่มเล่นเกมซ่อนหากับเฉินซีกลางอากาศอีกครั้ง
“สนุกนักหรือ! เช่นนั้นข้าจะเล่นกับเจ้าเอง!” ดวงตาแนวตั้งดวงหนึ่งพลันเบิกขึ้นที่หว่างคิ้วของชายหนุ่ม จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากจุดนั้น ก่อนจะกรีดมิติในความว่างเปล่าจุดหนึ่งที่ไม่ไกลออกไปนักอย่างแรง!
ครืน!
ขาขนาดใหญ่ของตี้เจียงถูกเฉินซีลากออกมา จากนั้นชายหนุ่มก็เหวี่ยงร่างของมันแล้วฟาดลงกับพื้น
บนพื้นพลันเกิดรอยแตกขึ้นจำนวนมากจากจุดที่ตี้เจียงถูกฟาดลงไป ร่างของมันกระตุกพลางส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ก่อนจะใช้วิชาเคลื่อนมิติแล้วหายไปอีกครั้ง
เหตุการณ์นี้ทำเอาฉยงฉีตกตะลึงไป ชายหนุ่มขอบเขตสถิตกายาผู้นี้จะแข็งแกร่งเกินไป กระทั่งตี้เจียงที่เชี่ยวชาญวิชาห้วงมิติยังถูกอีกฝ่ายคว้าตัวไว้ได้ในคราวเดียว!
มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?
จากนั้นฉยงฉีก็เห็นตี้เจียงที่เพิ่งหายตัวไปถูกลากออกมาฟาดลงกับพื้นจนฝุ่นคลุ้งอีกครั้ง และตอนนี้… ปีกทั้งสี่คู่ของมันได้หักไม่เหลือ ขณะกำลังลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น
ครั้งนี้ตี้เจียงไม่ได้หลบอีกต่อไป มันคาดเดาไว้แล้วว่านัยน์ตาแนวตั้งที่อยู่ระหว่างคิ้วของอีกฝ่ายสามารถอ่านความเป็นจริงทะลวงลึกถึงแก่นได้ ดังนั้นการเคลื่อนย้ายข้ามมิติจึงไม่สามารถรอดพ้นดวงตานั้นไปได้เช่นกัน!
“หยุดทำไม? ต่อสิ! ข้ายังสนุกไม่สุดเลย!” เฉินซีจ้องตี้เจียงด้วยสายตาเยือกเย็น
ตี้เจียงพลันคำรามด้วยความโกรธ พยายามลุกขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะร่วมมือกับฉยงฉีโจมตีใส่อีกฝ่าย ทว่าครั้งนี้มันไม่กล้าใช้วิชาเคลื่อนมิติหรือวิชาลับอะไรอีก
ครืน!
การต่อสู้จึงปะทุขึ้นอีกครั้ง พลังที่ซัดเข้าหากันคล้ายกับฟ้าดินจะถล่ม เหมือนคลื่นยักษ์ซัดสาด เหมือนแผ่นดินไหว เกิดเป็นแสงจ้าโอบล้อมรอบทิศ ทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในความมืด
ส่วนเสิ่นหลางหยานั้นนิ่งอึ้งไปนานแล้ว
ตอนนี้เขาถึงได้พบว่า แม้ตัวเขาจะพัฒนาขึ้นมากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ และสามารถสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งได้ก็ตาม แต่พอเทียบกับเฉินซีตรงหน้าผู้นี้ ตัวเขาก็ไม่ต่างกับมุกเม็ดเล็กที่คิดสู้กับแสงจันทร์ ยังอ่อนแอเกินไปนัก!
วิญญาณโลหิตตี้เจียงและฉยงฉีรวมพลังกัน ทว่าก็ยังถูกเฉินซีบีบคั้นจนต้องร่นถอยไม่หยุด เสิ่นหลางหยาคิดว่าอีกไม่นานเจ้าสองตัวนั้นคงไม่รอดแน่!
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ข้าบ่มเพาะพลังภายในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตมานานหลายปีอย่างต่อเนื่อง เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อบ่มเพาะให้แข็งแรงขึ้น โดยใช้แรงกดดันมหาศาลเพื่อกระตุ้นศักยภาพ ถึงขั้นใช้ทรัพยากรจำนวนมากจากนิกายเพื่อฝึกปรือฝีมือ ทำให้พลังบ่มเพาะสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนมาถึงจุดนี้ได้
เดิมที เขาคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานก็จะสามารถเอาชนะเฉินซีและทวงตำแหน่งศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาจรัสเทวะกลับคืนมาได้ แต่ภาพตรงหน้ากลับไม่ต่างกับค้อนเล่มใหญ่ที่ทุบลงกลางใจ ทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจกับทุกอย่างที่ลงแรงทำมาตลอด
มัน…เป็นเพราะอะไรกันแน่?
สิ่งที่เกิดขึ้นยากจะเชื่อเกินไป …ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ และสิ้นหวังเป็นอย่างมาก!
สุดท้ายการต่อสู้ก็จบลงที่ชัยชนะของเฉินซี ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเสิ่นหลางหยา ขณะกำลังสอดส่องอะไรบางอย่างบนพื้น ราวกับต้องการตามหาบางสิ่งบางอย่าง
“กำลังมองหาผลึกต้นกำเนิดโกลาหลอยู่หรือ?” ทันใดนั้น เสียงของเสิ่นหลางหยาก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ไม่ต้องหาหรอก ชั้นที่ห้าสิบห้าถึงชั้นที่หกสิบหกจะมีวิญญาณโลหิตเพียงหนึ่งตัวเท่านั้นที่มีผลึกต้นกำเนิดโกลาหล จิตของวิญญาณโลหิตสองตนนี้ไม่กระจ่างพอ คงไม่มีผลึกต้นกำเนิดโกลาหลหรอก”
เฉินซีหันกลับมา “ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลคืออะไร?”
ตอนนี้เขาระบายอารมณ์โกรธออกไปจนหมดแล้ว จึงไม่เหลือความไม่พอใจต่อเสิ่นหลางหยามากเท่าเดิมอีก อย่างไรพวกเขาก็เป็นศิษย์นิกายเดียวกัน ไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตกันแต่อย่างไร
“เจ้าไม่รู้หรือ?” เสิ่นหลางหยานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เหมือนปลดความคับข้องใจไปได้แล้ว ทำให้สีหน้ากลับคืนสู่ความสงบ ไม่มีร่องรอยความหดหู่ โหดร้าย หรือสิ้นหวังอีก จะมีก็เพียงท่าทีสงบนิ่ง “ถ้ำกระบี่ไร้ก้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากบงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเรา แต่มันก็เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากภายในความโกลาหลเช่นกัน…”
จากที่อีกฝ่ายอธิบายมา เฉินซีจึงได้ทราบแล้วว่าเมื่อครั้งโบราณ บงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณได้รุดหน้าเข้าสู่ขอบเขตการบ่มเพาะขั้นสูงหลังจากสร้างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายมันก็ร่วงโรยไป จนร่างของมันแปรเปลี่ยนเป็นดีครึ่งร้ายครึ่ง
ส่วนหนึ่งกลายเป็นพลังชั่วร้าย ควบแน่นเป็นกระบี่สังหารที่ไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งกลายเป็นพลังแห่งความชอบธรรม เปลี่ยนเป็นถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตที่ยับยั้งกระบี่นั่นไว้
โดยกระบี่เซียนเล่มนี้เป็นตัวแทนแห่งการสังหารและเลือดที่บงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณรวบรวมมาชั่วชีวิต ส่วนวิญญาณโลหิตในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตแต่ละชั้นก็ควบแน่นมาจากปราณโลหิตของกระบี่เล่มนี้นั่นเอง
ขณะที่ถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตเป็นตัวแทนแห่งความเที่ยงธรรมและปัญญาของบงกชศักดิ์สิทธิ์ มันจึงยืนหยัดสร้างรากฐานให้แก่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง จนกระทั่งผ่านมานานนับไม่ถ้วนก็ยังคงอยู่
ภายในผลึกต้นกำเนิดโกลาหลไม่แยกดีหรือเลว ล้วนถูกหลอมมาจากแก่นโกลาหลภายในร่างกายของบงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณ ตกลงสู่ชั้นที่ห้าสิบห้าไปจนถึงเก้าสิบเก้าภายในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
สมบัติลับนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่โลกถือกำเนิด และรวมกันอยู่ในร่างวิญญาณโลหิตภายในถ้ำ จึงต้องสังหารพวกมันก่อนจึงจะได้สมบัตินั่นมา!
แน่นอนว่าไม่ใช่วิญญาณโลหิตทุกตนจะมีผลึกต้นกำเนิดโกลาหล เพราะมันเป็นของหายากยิ่ง วิญญาณโลหิตทั้งหลายที่ครอบครองมันจึงล้วนมีความฉลาดในระดับหนึ่ง ทั้งยังมีพละกำลังแก่กล้า
ฉะนั้นหากอยากรู้ว่า วิญญาณโลหิตตนใดมีผลึกต้นกำเนิดโกลาหล ก็ต้องดูว่ามันมีจิตนึกคิดหรือไม่ มีเพียงสิ่งนี้ที่จะช่วยในการคาดเดาได้!
“เจ้าดูว่านี่ใช่ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลหรือไม่?” เฉินซีพลันคิดอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็หยิบวัตถุสีแดงสนิมที่มีขนาดเท่ากำปั้นที่โชกเลือดออกมา
[1] ตี้เจียง คือ สัตว์ในตำนานของจีน มีหกขา สี่ปีก ไม่มีตาหรือหู เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถือกำเนิดยามสร้างจักรวาล ชอบร้องเพลงและเต้นรำ