บทที่ 778 บุคคลลึกลับอันน่าเกรงขาม
บทที่ 778 บุคคลลึกลับอันน่าเกรงขาม
ค่ายกลสังหารโบราณนี้กว้างขวางยิ่ง และลึกถึงขนาดว่าไม่เห็นก้นบึ้ง
เมื่อเฉินซีเดินเข้าไป เขาก็หยุดฝีเท้าหลังจากเดินมาได้เกือบร้อยจั้ง เพราะมหาค่ายกลนี้ซับซ้อนมาก แต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยภัยสังหาร ชายหนุ่มจึงไร้ทางเลือกอื่น จึงทำได้แต่ใช้เวลาค้นหาเส้นทางใหม่ เพื่อให้สามารถเดินไปได้อย่างปลอดภัย
ขณะนี้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเดินอยู่ในเขาวงกต ทุกครั้งที่เดินไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงได้หลงทางเป็นแน่
อีกทั้งยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไร เฉินซีก็ยิ่งตัดสินใจเลือกเส้นทางได้ยากขึ้นเท่านั้น จากนั้นเขาก็จำต้องใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานกว่าจะเลือกเดินแต่ละก้าวได้ ถึงขนาดที่ต้องใช้เนตรเทวะแห่งความจริงเพื่อดูว่ามีอันตรายหรือไม่เลยทีเดียว
เมื่อเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ เสียงฟ้าลั่นก็ค่อย ๆ เบาลง รอบข้างเริ่มเกิดความสงบ
บรรยากาศรอบข้างให้ความรู้สึกแปลกประหลาดนัก และในภวังค์ความคิดนั้น เฉินซีพลันเกิดความรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา ราวกับเขากำลังก้าวเข้าไปสู่หุบผาแห่งอันตราย ประหนึ่งว่าภายในค่ายกลสังหารโบราณแห่งนี้ มีอันตรายบางอย่างกำลังรอเขาอยู่!
มันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนมาก ถึงขนาดที่ชายหนุ่มอยากหันหลังกลับ แล้วออกไปจากสถานที่บัดซบนี้โดยเร็ว
‘ตามที่เสิ่นหลางหยาเล่ามา ถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตแห่งนี้เกิดจากปราณคุณธรรมของบงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อยับยั้งกระบี่เซียน ซึ่งเป็นอาวุธที่มีอำนาจร้ายแรงอันเกิดจากปราณชั่วร้าย เหตุใดค่ายกลสังหารเช่นนี้จึงปรากฏขึ้นในสถานที่นี้ได้?’ เฉินซีหยุดเคลื่อนไหว เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ก็พลันเอะใจ การที่มีค่ายกลสังหารนี้อยู่ …คงไม่ใช่เพื่อยับยั้งความชั่วร้ายบางอย่างกระมัง?
จังหวะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้วก็มองเห็นบางอย่าง ทำให้เขาอึ้งอยู่ตรงนั้น เพราะมันคือผลึกต้นกำเนิดโกลาหลที่ปล่อยชั้นแสงสีเทาออกมา และอยู่ห่างออกไปหกลี้เท่านั้นเอง!
ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลชิ้นนั้นเหมือนกระบี่คมปักลงพื้น หากมองจากที่ไกลจะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารหนาแน่นตีเข้าหน้า ทำให้เฉินซีเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง
เขารีบสูดลมหายใจเข้าลึก เร่งโคจรพลังในร่างเพื่อลบล้างจิตชั่วร้ายนั้น และเมื่อมองผลึกต้นกำเนิดโกลาหลอีกครั้ง สายตาของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนไป
‘ต้องมีใครนำมันมาทิ้งไว้ที่นี่แน่!’ เฉินซีจินตนาการถึงภาพผู้บ่มเพาะกระบี่มากฝีมือคนหนึ่ง คว้าหยิบผลึกต้นกำเนิดโกลาหลชิ้นนี้ขึ้นมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นกระบี่คมกริบ จากนั้นเจ้าตัวก็วาดท่ากระบี่ออกมา ใช้ปลายกระบี่แหลมทะยานขึ้นฟ้าสังหารศัตรู!
แม้จะผ่านไปนานปี แต่จิตสังหารที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในนั้นก็ไม่ได้ลดลงเลย!
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพียงภาพในจินตนาการของเฉินซี แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิตสังหารหนาแน่นเช่นนี้ย่อมมาจากผลึกต้นกำเนิดโกลาหลที่มีรูปทรงกระบี่เล่มนั้นเป็นแน่! เพราะมันกำลังแผ่เจตจำนงกระบี่ที่แฝงปราณชั่วร้ายออกมาด้วย!!
นับตั้งแต่ที่เขาทำการบ่มเพาะกระบี่มาจนถึงตอนนี้ อาจเรียกได้ว่าชายหนุ่มเป็นปรมาจารย์เต๋าแห่งกระบี่ได้แล้ว ดังนั้นความเข้าใจในเจตจำนงกระบี่ของเฉินซีย่อมมีความถูกต้องมาก มันถึงกับสามารถยืนยันได้ว่า ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลชิ้นนี้เคยผ่านการใช้งานจากผู้เยี่ยมยุทธ์มาก่อน!
ทว่าน่าแปลกนัก เมื่อดูจากทิศทางของมันแล้ว ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลนี่เห็นได้ชัดว่าถูกดีดออกมาจากใจกลางค่ายกลจนลงมาปักอยู่บนพื้นตรงนี้ หรือจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์เร้นกายอาศัยอยู่ในค่ายกลใหญ่นี้กันนะ?
…ที่เฉินซีสงสัยที่สุดคือ สมบัติล้ำค่าเช่นผลึกต้นกำเนิดโกลาหลกลับมีคนทิ้งมันได้ลง เช่นนี้จะไม่เป็นการเสียดายของไปหน่อยหรือ?
ฟิ้ว!
เฉินซีหยุดความคิดนั้นไว้ ก่อนจะเอื้อมแขนคว้าจากระยะไกล ดึงผลึกต้นกำเนิดโกลาหลเข้าหาตัว เขาพินิจมันเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ทำลายจิตสังหารที่อาบอยู่รอบตัวกระบี่ พร้อมกับเก็บมันเข้าเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไป
ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลเพียงชิ้นเดียวนี้ก็ทำให้ยันต์ศัสตราคุณภาพสูงขึ้นจนเทียบได้กับสมบัติอมตะแล้ว!
เมื่อได้รับของล้ำค่าเช่นนี้มา ชายหนุ่มจึงดีใจเป็นอย่างมาก พร้อมคิดว่า บริเวณโดยรอบของค่ายกลใหญ่นี้จะมีสิ่งล้ำค่าเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่กันนะ… อย่างลังเลใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยุดคิด และเริ่มเดินทางต่อ
โดยไม่รู้เลยว่าจังหวะที่เขาคว้าผลึกต้นกำเนิดโกลาหลมานั้น บนชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต จะเกิดเสียงร้องตกใจหนึ่งดังขึ้น “เอ๋!”
สามชั่วยามต่อมา
เฉินซีได้ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลมาอีกสองชิ้นอย่างไม่คาดคิด พวกมันมีรูปทรงกระบี่ ซึ่งปกคลุมด้วยจิตสังหารหนาแน่นเช่นกัน และยิ่งเดินลึกเข้าไปในค่ายกลใหญ่ เขาก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศโดยรอบค่ายกลดูจะเต็มไปด้วยจิตสังหารอันน่าเกรงขาม
ราวกับว่ายิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไร ก็ยิ่งมีผลึกต้นกำเนิดโกลาหลมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ยิ่งอยากเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ
‘เดี๋ยวก่อน ข้าไปต่อไม่ได้แล้ว!’ เฉินซีหยุดเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาใช้แรงใจยับยั้งความโลภไว้ ชายหนุ่มเงียบอยู่นานทีเดียว ก่อนจะชะล้างจิตใจตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ในที่สุด
ชายหนุ่มย่อมเข้าใจดีว่าผลึกต้นกำเนิดโกลาหลเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนกับดักที่ดักจับความโลภของคน ทำให้ถูกจูงจมูกได้โดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังคิดจะเดินกลับไป …ชายหนุ่มได้ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลทรงกระบี่มาสามชิ้นแล้ว นับว่าได้มามากพอแล้ว สมควรรู้จักพอแล้วจากไปเสีย
ก็อย่างที่คนกล่าวกันไว้ว่า เมื่อรู้จักพอก็ย่อมรู้ว่าควรหยุดเมื่อใด
จังหวะนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นจากภายในค่ายกลใหญ่ “น้องชาย ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ชะตาเราคงต้องกัน ไม่เข้ามาพบกันเสียหน่อยเล่า?”
มันเป็นน้ำเสียงที่กระจ่างใส แต่ละคำเหมือนเต็มไปด้วยความลึกล้ำแห่งมหาเต๋าซึ่งซัดใส่กลางใจ ราวกับได้ยินเสียงบทสวด จึงไม่อาจดึงใจให้ขัดขืนคำพูดนั้นได้เลย
หากเป็นเมื่อก่อน เฉินซีคงไม่อาจปฏิเสธมันได้ แต่ตอนนี้ดวงจิตแห่งเต๋าของเขาใสกระจ่าง จิตใจผ่องใส มีหรือจะได้รับผลกระทบจากมัน?
ชายหนุ่มจึงหันหลังกลับอย่างไม่ลังเล ย่างเท้าด้วยจังหวะไม่รีบร้อน สีหน้ายังคงแน่วแน่มั่นคง
หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขารู้สึกสงสัย ตอนนี้เขาก็มั่นใจยิ่งว่ามีตัวตนน่าเกรงขามถูกกักขังไว้ภายในค่ายกลสังหารนี้จริง ๆ อีกทั้งดูจากการจัดตั้งและ ‘กับดัก’ ที่มาจากผลึกต้นกำเนิดโกลาหลในระหว่างทาง ชายหนุ่มก็รู้เลยว่าหากเข้าไปในมหาค่ายกลลึกกว่านี้ ตัวเขาก็คงไม่อาจหนีออกมาได้อีก
“น้องชาย ที่นี่คือถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตที่มาจากบงกชศักดิ์สิทธิ์โบราณ มันกักขังกระบี่เซียนที่มีจิตสังหารหนาแน่นเอาไว้ หรือว่าเจ้าไม่อยากถือครองมันกัน? มาสิ! มา! มาเลย! ชะตาพาเรามาพบกัน เดี๋ยวข้าจะบอกตำแหน่งของกระบี่เซียนให้เจ้าเอง” น้ำเสียงใสกระจ่างดังก้องออกมาอีกครั้ง
เฉินซีพลันหยุดฝีเท้า เขาพูดขึ้นโดยไม่หันกลับมา “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ในเมื่อกล้าใช้สมบัติเหล่านี้มารบกวนดวงจิตแห่งเต๋าของข้าได้ หากข้าบ่มเพาะสำเร็จเมื่อไร ย่อมมาจัดการกับเจ้าแน่!”
ยิ่งพูด ฝีเท้าเขาก็ก้าวเร็วมากขึ้น
เสียงนั้นเงียบไปนาน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงแหลมฟังดูแหบพร่า เจือด้วยความขุ่นเคือง “สหายน้อย ในเมื่อไม่ยอมจำนนต่อสิ่งล่อลวง ก็ตายเสียเถอะ!”
ตู้ม!
อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบดีก็เกิดเสียงน่ากลัวดังขึ้นจากภายในมหาค่ายกล ราวกับมวลอากาศถูกฉีกกระชากออกจากกัน จากนั้นลำแสงกระบี่พลันพุ่งตรงเข้าหาตำแหน่งหัวใจของเฉินซีจากด้านหลัง!
มันรวดเร็วเสียจนแทบทะลุมิติและกาลเวลาได้ แค่พริบตาเดียวก็ปรากฏอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม หมายจะแทงเข้าร่างเขาแล้ว
เฉินซีระวังภัยอยู่นานแล้ว พอได้ยินเสียงดังขึ้นเช่นนั้น มันก็เกิดแสงเซียนปล่อยออกมาจากร่าง ทั้งยังมีมหาเต๋าวนอยู่รอบกาย โอบล้อมเขาไว้ทั้งตัว!
แต่ชายหนุ่มก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง แสงกระบี่เสี้ยวหนึ่งซัดถูกสันหลังเขาก่อนจะหลบได้ทัน!
ตู้ม!
เฉินซีพลันพ่นเลือดออกมา สันหลังถึงขั้นเกิดเสียงปริแตก เลือดในกายไหลย้อนกลับ อวัยวะภายในสั่นสะท้านจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
หลังจากสิ้นการโจมตีรุนแรงครั้งนี้ ร่างของชายหนุ่มก็ร่วงลงราวกับสิ่งของ “บัดซบ! ข้าต้องล้างแค้นนี้เป็นสิบเท่าแน่!”
เฉินซีเค้นเสียงโกรธ พยายามออกแรงควบคุมร่างกายตน เขาเหมือนเหยี่ยวปีกหักที่พาร่างของตัวเองซวนเซออกมาจากค่ายกลใหญ่
“เอ๋? เจ้านั่นใส่สมบัติอมตะไว้ จึงช่วยชีวิตน้อย ๆ ไว้ได้อย่างนั้นหรือ… ฮึ่ม! สหายน้อย ข้าจะรอให้เจ้ามาสังหารอยู่ที่ชั้นเก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตก็แล้วกัน อย่าดีแต่พูดเล่า!” น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้ง พอพูดจบแล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียงไพเราะเสนาะหู ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายคล้ายบทสวดดังเดิม
ณ เขตรอบนอกของมหาค่ายกล
พอเดินมาถึงจุดนี้ เฉินซีพลันถอนหายใจโล่งอกออกมา จากนั้นก็มองเข้าไปภายในค่ายกลสังหารโบราณเบื้องหลัง ขณะที่ความสะพรึงกลัวฉายอยู่บนใบหน้า
น่ากลัวยิ่ง!
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?
เหตุใดจึงถูกขังอยู่ในค่ายกลใหญ่ชั้นที่หกสิบของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต?
แล้วเหตุใดจึงบอกว่าต้องไปชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตเพื่อสังหารอีกฝ่ายด้วย?
พลังต่อสู้ของเฉินซีในตอนนี้สามารถต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามได้ แต่ก่อนหน้านี้ตัวเขากลับไม่อาจหลบพลังของบุคคลลึกลับผู้นั้นได้เลย ต้องมีพลังบ่มเพาะขั้นใดจึงจะสามารถหลบทำเช่นนั้นได้กัน?
จากการคาดเดาของชายหนุ่ม บุคคลลึกลับนั่นถูกขังอยู่ภายในค่ายกลสังหาร แต่กลับสามารถซัดพลังโจมตีที่น่ากลัวเช่นนั้นออกมาได้ ถ้าหากถูกปล่อยตัวออกมา อีกฝ่ายจะน่ากลัวสะท้านฟ้าเพียงใดกัน?
กระทั่งจะใช้ยันต์เคลื่อนย้ายมิติก็ยังไม่รอด!
โชคดีที่เขาสวมสมบัติอมตะชุดเกราะขนนกหมอกใต้พิภพที่ไป๋หลี่เยียนเสียพนันไว้ ไม่เช่นนั้นครั้งนี้ก็คงเอาชีวิตมาทิ้งแล้ว…
ความรู้สึกที่ว่าตนเองรอดตายมาได้เช่นนี้ แค่คิดก็รู้สึกผวาแล้ว
เฉินซีไม่คิดอะไรมากอีก หลังจากโคจรปราณจ้าววิญญาณทั่วร่างเพื่อรักษาบาดแผล เขาก็กระโจนออกจากแอ่งอสนีบาต ก่อนจะใช้ยันต์เคลื่อนย้ายมิติออกจากถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตทันที
ตัวตนน่ากลัวผู้นั้นทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าถ้ำแห่งนี้อันตรายขนาดไหน ตอนนี้เขาจึงคิดจะเดินทางออกไปก่อน เพื่อสืบหาเรื่องราวให้กระจ่าง แล้วค่อยกลับมาฝึกฝนที่นี่ก็ยังได้
…
“นี่ฟางเริ่น กี่วันแล้วเนี่ย ยังไม่มีใครอยากพาเจ้าเข้าถ้ำกระบี่ไปด้วยอีกหรือ?’
“ศิษย์น้องฟางเริ่น ข้าแนะนำว่าอย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไปเลย แทนที่จะมานั่งหายใจทิ้งอยู่ที่นี่ เหตุใดไม่ฝึกฝนพลังบ่มเพาะตนให้แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เล่า?”
“ไปเถอะ ๆ อย่ามาสนใจสหายน่าเบื่อผู้นี้เลย ระวังไว้ล่ะ เดี๋ยวเขาได้มารบกวนเราอีกรอบหรอก”
หน้าประตูทองสัมฤทธิ์ภายในหอสยบวิญญาณ ฟางเริ่นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน ไม่สนใจคำถามจากรอบกาย ทำเพียงถือกล่องไม้ในมือไว้แน่นเท่านั้น
เขารอเฉินซีอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว เห็นคนหน้าคุ้นตามาก็หลายคน ทั้งหมดล้วนเคยเป็นผู้ที่เขาเคยวิงวอนขอร้องมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครเต็มใจพาเข้าถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตไปด้วยเลย ทั้งยังมีพวกที่เยาะเย้ยถากถางเขาอีกด้วย
ยิ่งพอนำมาเทียบกันแล้ว เขายิ่งรู้สึกซาบซึ้งต่อศิษย์พี่เฉินซี รู้สึกว่ามีแต่ผู้มีท่าทางไม่ธรรมดาเช่นศิษย์พี่เฉินซีจึงจะคู่ควรกับสมญานามศิษย์อันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
ครืน!
ประตูทองสัมฤทธิ์ส่องประกายแสงจ้า ก่อนจะมีร่างสูงเดินออกมาจากภายใน กระชากฟางเริ่นที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดออกมาทันที