บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 782 ภูเขาร้างเต๋านภา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 782 ภูเขาร้างเต๋านภา

บทที่ 782 ภูเขาร้างเต๋านภา

ภายในลานบ้าน ณ ริมสระชำระกระบี่

นี่เป็นครั้งแรกที่อาซิ่วกล่าวกับเขาด้วยใบหน้าจริงจัง และเฉินซีก็ไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน

อาซิ่วขมวดคิ้วงามของนาง ขณะกล่าวว่า “เจ้าบ่มเพาะเคล็ดวิชาปฏิการะโลกาสำเร็จแล้วหรือไม่?”

เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า “มีเหตุใดหรือ?”

อาซิ่วกล่าวว่า “แสดงให้ข้าดูหน่อย”

วูบ!

ระลอกคลื่นที่แผ่กว้างพลันปรากฏขึ้นในอากาศ เฉินซีที่สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้มได้ก้าวออกมาจากภายในระลอกคลื่น และยืนเคียงข้างกับเฉินซี นอกจากความแตกต่างของสีเสื้อผ้าแล้ว พวกเขาก็มีส่วนอื่น ๆ ที่เหมือนกันดุจฝาแฝด

อันที่จริง แก่นวิญญาณและความทรงจำของพวกเขานั้นเหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเปรียบเสมือนมือขวาและมือซ้าย คนทั้งสองยืนเคียงข้างกัน และมีความคิดที่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกเช่นนี้นั้นแปลกประหลาดและยากจะอธิบายได้

หญิงสาวมองไปยังชายหนุ่ม จากนั้นจึงเบนมองไปทางร่างอวตารของเขา ก่อนที่นางจะเอ่ยถามว่า “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

“วิเศษมาก” เฉินซีที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้มพูด “เพราะข้าได้รับประสบการณ์การบ่มเพาะ ร่างอวตารของข้าจึงได้บรรลุขอบเขตจุติแล้ว”

ช่วงเวลาหนึ่งเดือนในโลกภายนอกเท่ากับเกือบหนึ่งปีในโลกแห่งดารา และเมื่อรวมกับความช่วยเหลือของผลึกโลหิตจากวิญญาณอัสนี ความก้าวหน้าในการขัดเกลากายาของร่างอวตารของเฉินซีจึงไม่มีทางล่าช้า!

อาซิ่วดูจะตกตะลึง และอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเล็ก ๆ ที่ขาวราวกับหิมะของนางออกมา โดยหมายจะหยิกใบหน้าของเฉินซีที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้ม เพื่อยืนยันว่าคนผู้นี้มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

แต่นางกลับถูกอีกฝ่ายปัดมือออก จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้ากำลังทำอันใด!?”

อาซิ่วขมวดคิ้ว จากนั้นเอียงศีรษะของนาง พลางพึมพำเบา ๆ “โชคดีที่คนผู้นี้ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะ มิฉะนั้น หากเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าคงละอายใจจนตายแน่…”

เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าว่ากระไรนะ?”

ลางสังหรณ์ไม่ดีพลันผุดขึ้นมาในใจของเฉินซี

‘ที่นางบอกว่า ‘โชคดี’ ที่ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะนั้นหมายความว่าอย่างไร? แล้วที่บอกว่าเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นนั้นหมายถึงสิ่งใด?’

‘หรือนางไม่แน่ใจว่า เคล็ดวิชาปฏิการะโลกานี้จะสามารถบ่มเพาะได้สำเร็จหรือไม่ ก่อนจะมอบมันให้กับข้าอย่างนั้นหรือ!?’

ใบหน้าของเฉินซีกลายเป็นคล้ำเครียด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้

อาซิ่วพลันกล่าวอย่างเร่งรีบด้วยน้ำเสียงดังกังวาน “นี่! อย่าได้เข้าใจข้าผิด ข้าไม่เคยบ่มเพาะเคล็ดวิชาปฏิการะโลกานี้มาก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่มั่นใจว่าเจ้าจะบ่มเพาะได้สำเร็จ แต่ข้ารับประกันได้ว่าเคล็ดวิชานี้เป็นของแท้แน่นอน!”

ยิ่งนางอธิบายมากเท่าใด เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกว่านางไม่สามารถไว้ใจได้เท่านั้น เขาถามด้วยสีหน้าที่มืดมนทันที “บอกความจริงกับข้ามา เจ้าได้เคล็ดวิชาปฏิการะโลกานี้มาจากไหน?”

อาซิ่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเอามาจากที่บ้าน มันผิดตรงไหนหรือ?”

เฉินซีรู้สึกปวดหัวทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ และเขาไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้กล่าวตรงไปตรงมาจริง ๆ หรือนางแสร้งทำเป็นไม่รู้กันแน่!

“แล้วบ้านเจ้าอยู่ที่ใด?” เฉินซีถามอย่างโกรธเคือง

“ทำไม!? เจ้าจะลากข้ากลับบ้านหรือ?” จู่ ๆ อาซิ่วก็ระแวดระวังเหมือนลูกแมวขี้กลัว นางจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง

เฉินซีเอามือกุมหน้าผากทันที “พลังของเจ้าน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าภูตผี แล้วใครจะลากเจ้ากลับบ้านได้กัน?”

แต่จากประโยคนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ราง ๆ ว่า หญิงสาวชุดเขียวที่แสนลึกลับตรงหน้า บางทีนางอาจหนีออกจากบ้านมา…

“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวก่อนนะ” อาซิ่วปรบมือ และแสยะยิ้มขณะจ้องมองชายหนุ่ม ก่อนจะหันหลังจากไป

“เจ้าจะจากไปเช่นนี้หรือ? แล้วที่เจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับข้าเล่า?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“ข้าถามสิ่งที่อยากถามไปแล้ว หาได้มีเรื่องอื่นไม่” อาซิ่วไม่แม้แต่จะหันกลับมา ในขณะที่นางกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “นอกจากนี้ เจ้าก็ควรระมัดระวังตัวให้มากขึ้นเมื่อออกไปข้างนอก แต่เจ้าก็บ่มเพาะเคล็ดวิชาปฏิการะโลกาสำเร็จแล้ว ดังนั้นแม้ว่าร่างหลักของเจ้าจะตาย แต่ตราบใดที่ร่างอวตารของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เป็นไรหรอก…”

เฉินซีตกตะลึง และเขารู้สึกว่าคำกล่าวสุดท้ายของนางนั้นมุ่งไปที่บางสิ่ง

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะเก็บร่างอวตารของเขาไป จากนั้นจึงไปหาเหมิงเหวยและโม่ย่า เพื่อบอกให้พวกเขาบ่มเพาะอย่างสบายใจอยู่ในยอดเขาจรัสตะวันตก ส่วนตัวเขาจะออกไปทำภารกิจในอีกสามวันนับจากนี้ และจะกลับมาให้เร็วที่สุด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล

หลังจากนั้น เฉินซีก็ไปหาหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ แล้วบอกพวกเขาว่าในกรณีที่มู่ขุยและหลิงไป๋กลับมาแล้ว พวกเขาควรบอกสองคนนั้นให้รออยู่ที่ยอดเขาจรัสตะวันตก จนกว่าเขาจะกลับมาจากการปฏิบัติภารกิจ

สามวันต่อมา

เฉินซีกลายเป็นลำแสงที่พุ่งออกจากนิกายไป

ฟิ้ว!

ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามสดใส เรือเหาะสมบัติลำหนึ่งได้บดขยี้คลื่นอากาศบนท้องฟ้า ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านก้อนเมฆ

เฉินซีนอนเอนกายอย่างไร้กังวลอยู่บนท้ายเรือ และกำลังอ่านแผ่นหยก แสงแดดระยิบระยับสาดส่องลงมาบนร่างของเขาราวกับผงทองคำโปรยปราย สายลมสดชื่นก็พัดโชยมาอย่างแผ่วเบา ทำให้ผมยาวสลวยของชายหนุ่มพลิ้วไหว

“แคว้นเหอเจียน เมืองคานศิลา เซี่ยโหวชิง บุตรชายคนโตของตระกูลเซี่ยโหว เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ไม่ธรรมดา อายุสิบสี่ปี มีความฉลาดหลักแหลม และมีชื่อเสียงในฐานะ ‘มังกรทองแห่งคานศิลา’…”

“หัวเสวี่ยอิ๋ง บุตรสาวของเสนาบดีแห่งแคว้นหลิวเซียง อายุสิบหกปี มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ครอบครอง ‘กายาหยกเยือกแข็งพึงใจ’ อย่างนั้นหรือ…”

“สันเขาวิหคอมตะจรัสแสง เมืองหวงตง บุตรของนายพราน จางจิ่วเจิน อายุสิบสองปี มีจิตใจที่แน่วแน่และร่างกายที่ไม่ธรรมดา ครอบครองพลังที่สามารถฉีกร่างของพยัคฆ์ได้…”

แผ่นหยกนี้มีชื่อไม่ต่ำกว่าสองสามพันชื่อ และทั้งหมดล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีอายุต่ำกว่าสิบหกปี พวกเขามีร่างกายที่ยอดเยี่ยมหรือมีพรสวรรค์ ทำให้เฉินซีต้องเดาะลิ้นด้วยความชื่นชมและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ และไม่เคยขาดแคลนอัจฉริยะทุกประเภท

ในช่วงเวลาต่อมา เฉินซีดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาจึงดูตกตะลึง

เขาเห็นรายชื่อในแผ่นหยกที่อยู่ต่ำลงมา ซึ่งคือคำว่าข้างเขาร้างเต๋านภา อ๋องเวินหัวแห่งตำหนักอ๋องเวิน อายุสิบสี่ปี คนผู้นี้เกิดมาพร้อมกับร่างดาราทองคำ มีนิสัยเด็ดเดี่ยว เฉลียวฉลาดดุจผู้ใหญ่ และอื่น ๆ อีกมากมาย

เฉินซีไม่ได้สนใจร่างดาราทองคำ แม้ว่าบุคคลที่มีร่างกายเช่นนี้จะหยั่งถึงมหาเต๋าแห่งทองได้และหายากมาก แต่สำหรับเฉินซี ผู้เคยเห็นอัจฉริยะที่มีฝีมือแก่กล้าและร้ายกาจมานับไม่ถ้วน พรสวรรค์นี้ไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับเขาเลย

แต่สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจคือคำว่า ‘ภูเขาร้างเต๋านภา’!

คำคำนี้ได้ดึงภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เก็บซ่อนอยู่ในใจของเฉินซีมาเป็นเวลานานออกมา และมันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย ชายหนุ่มจึงวางแผ่นหยกลง และหยิบคู่มือแดนภวังค์ทมิฬออกมาอ่านอย่างละเอียด

ผ่านไปไม่นาน ดวงตาของเฉินซีพลันสว่างวาบ “มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ!”

ภูเขาร้างเต๋านภานั้นเคยเป็นที่ตั้งของสุดยอดนิกายอย่างตำหนักเต๋านภา แต่น่าเสียดาย เมื่อประมาณหมื่นปีที่แล้ว ตำหนักเต๋านภากลับถูกทำลายล้างในชั่วข้ามคืน และมรดกเต๋าของนิกายก็หายสาบสูญราวกับระเหยไปในอากาศ

ถึงอย่างไร ในตอนนั้น ตำหนักเต๋านภาก็ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ และมรดกเต๋าของมันก็ยังสามารถสืบย้อนไปถึงยุคบรรพกาลได้ แต่แท้จริงแล้ว มันกลับหายไปในอากาศเพียงชั่วข้ามคืน ทำให้แดนภวังค์ทมิฬทั้งหมดต้องตกตะลึงอย่างน่าเหลือเชื่อ

ในเวลานั้น เหล่าขุมพลังในโลกต่างส่งคนออกไปตรวจสอบ แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลับมามือเปล่า แม้แต่มรดกและขุมสมบัติของนิกายก็ได้หายไป

เรื่องนี้กลายเป็นปริศนาที่ไม่อาจหาคำตอบได้เป็นเวลาหลายหมื่นปี แม้กระทั่งตอนนี้ มันยังคงดึงดูดผู้บ่มเพาะมากมายให้มุ่งหน้าไปยังภูเขาร้างเต๋านภา เพื่อค้นหาสมบัติที่สาบสูญ

แต่เพราะการล่มสลายของตำหนักเต๋านภา ทำให้สุดยอดขุมพลังอย่างนิกายฟ้ากำเนิด ได้ก้าวขึ้นมาเป็นสมาชิกใหม่ของสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญก็คือ เฉินซีครอบครองกุญแจสู่ขุมสมบัติที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับตำหนักเต๋านภา …กุญแจนภา!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินซีก็ยื่นมือออกไป ทำให้กุญแจโปร่งใสที่มีความยาวราวหนึ่งชุ่นปรากฏบนฝ่ามือของเขา มันเหมือนกับสีของท้องฟ้าสดใส ที่พื้นผิวถูกปกคลุมด้วยอักขระยันต์มากมาย และมันกำลังเปล่งแสงสีเขียวเป็นประกายราวกับจุดแสงดาวที่เจิดจ้า

นี่คือกุญแจนภา สมบัติล้ำค่าที่สุดที่เขาได้รับจากขุมสมบัติของเฉียนหยวน ซึ่งอยู่ในห้วงทะเลทรายมรณะของแผ่นดินซ่ง

‘สมบัตินี้เรียกว่ากุญแจนภา มันเป็นวิธีเดียวที่จะเปิดขุมสมบัติของตำหนักเต๋านภาของข้า และภายในนั้นคือมรดกสมบัติของตำหนักเต๋านภาของข้าที่มีอายุหนึ่งแสนปี เช่น ตำรานักพรตเต๋า สมบัติวิเศษ โอสถทิพย์… มีทุกอย่างจริง ๆ ข้าหวังว่า หลังได้รับสมบัติจากคลังสมบัตินี้แล้ว เจ้าจะสามารถรับศิษย์ แล้วถ่ายทอดเต๋าและสืบทอดเสื้อคลุมของตำหนักเต๋านภาของข้า จากนั้นก็สร้างตำหนักเต๋านภาของข้าขึ้นมาใหม่ ซึ่งด้วยวิธีนี้ ข้าก็จะสามารถยิ้มไปถึงสวรรค์ทั้งเก้าได้ เฮ้อ’

คำกล่าวเหล่านี้ถูกทิ้งไว้โดยเจ้าของขุมสมบัติ หลังจากที่เฉินซีได้รับกุญแจนภามา กระทั่งยังจดจำอีกฝ่ายอยู่ในใจได้อย่างชัดเจน

ในตอนนั้น หลิงไป๋ยังเคยกล่าวด้วยซ้ำว่า ‘มีเพียงมหาค่ายกลคุ้มนิกายของตำหนักเต๋านภาเท่านั้นที่เป็นมหาค่ายกลที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งก่อตัวขึ้นจากกระบี่ระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดกว่าหนึ่งหมื่นเล่มและกระบี่เซียนอีกเก้าเล่ม จนแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ก็ไม่สามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดได้’

เห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ว่า ทรัพยากรและความแข็งแกร่งของตำหนักเต๋านภานั้นน่ากลัวเพียงใด

“ภูเขาร้างเต๋านภา… ข้าจะไปที่นั่น!” เฉินซีวางกุญแจนภาลง ก่อนจะตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางทันที หากไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น อ๋องเวินหัวแห่งตำหนักอ๋องเวิน ซึ่งอาศัยอยู่ข้างภูเขาร้างเต๋านภา ย่อมเป็นเป้าหมายในการรับเป็นศิษย์ของเฉินซี

ฟิ้ว!

เรือเหาะสมบัติพลันเร่งความเร็วขึ้น และบดขยี้ชั้นเมฆขณะที่มันหมุนตัวในชั่วพริบตา พุ่งทะยานออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา!

“ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัว เขาปล่อยให้ข้ารอคอยถึงห้าปี ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!” หลังจากเฉินซีจากไป บรรยากาศก็สั่นสะเทือน และมีเงาร่างสองสามร่างปรากฏกายขึ้น

คนที่เป็นผู้นำคือหญิงสาวที่งดงามปานภาพวาด และมีผมสีดำขลับที่ปล่อยสยายราวกับน้ำตก นางสวมมงกุฎที่เหมือนดาวตก สวมเสื้อคลุมขนนกที่ประดับด้วยพู่ ท่าทางของนางสุขุมนุ่มลึก แต่หว่างคิ้วของนางกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งศักดิ์ศรีอันสูงส่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้

นางคือไป๋หลี่เยียนจากเขาวิญญาณนิรันดร์!

เนื่องจากนางพ่ายแพ้ให้แก่เฉินซีครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อห้าปีก่อน ไป๋หลี่เยียนจึงไม่เคยจากไปไหน แล้วคอยเฝ้าหาเหตุผลว่า เฉินซีนั้นเข้าใจมหาเต๋านิรันดร์ได้อย่างไร

สหายของนางทั้งหมดจากไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงนางและข้ารับใช้สองคนเท่านั้นที่รอคอยจนถึงตอนนี้ และแน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าความอดทนของนางนั้นแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะนางกังวลว่าตัวเองจะไม่สามารถให้คำอธิบายแก่ผู้อาวุโสของนิกายได้หากกลับไปที่นิกายทั้งแบบนี้!

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ธรรมดายิ่ง

“ข้าได้ยินมานานแล้วว่า คนผู้นี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และเขากำลังจะออกไปทำภารกิจ ‘ส่งต่อคบเพลิง’ และ ‘ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์’ ให้สำเร็จในเร็ว ๆ นี้ ในที่สุด เราก็รอจนเขาออกมาจากนิกายได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้น หากเขายังอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไปตลอดชีวิต ข้าก็คงไม่อาจทำอะไรเขาได้” ไป๋หลี่เยียนขบฟันแน่น ความแค้นและความเดือดดาลที่เก็บกดอยู่ในหัวใจมานานใกล้จะปะทุในไม่ช้า

“ไปกันเถอะ เราจะใช้ ‘กระสวยโมฆะ’ ไล่ตามเขาไป จากนั้นเราจะหาโอกาสจับเขาให้ได้!” ขณะที่กล่าว ไป๋หลี่เยียนพลันสะบัดมือขวาของนาง ทำให้สมบัติวิเศษสีเงินซึ่งมีรูปทรงกระสวยลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า มันเปล่งแสงสีเงินออกมา ก่อนจะเข้าปกคลุมนางและข้ารับใช้ชราสองคน จากนั้นจึงหายวับไปในพริบตา

“เฉินซีเอ๋ยเฉินซี ในที่สุด! เจ้าก็ออกจากนิกาย… คราวนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!” ณ ยอดเขาสูงชันภายในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ซึ่งตั้งตระหง่านไปถึงท้องฟ้า ปิงซื่อเทียนวางแผ่นหยกในมือลง ก่อนที่จิตสังหารอันรุนแรงและไร้ความปรานีจะปรากฏขึ้นในสายตาของเขา!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท