บทที่ 803 พลิกสถานการณ์คับขัน
บทที่ 803 พลิกสถานการณ์คับขัน
เสียงกัมปนาทสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นฟ้าในขณะที่แสงเจิดจ้าแผ่กระจายทั่วทั้งฟ้าดิน
ผู้คนโดยรอบไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไรนัก พวกเขาต่างจับจ้องฉากตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง ขณะที่ใบหน้าเผยความตกตะลึงที่ไม่อาจระงับไว้ได้
“น่ากลัวเหลือเกิน! เขาคือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก คือชายผู้น่าเกรงขามที่ครอบครองศาสนสมบัติวิเศษ เหตุใดเขาจึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้!”
“ข้าเคยได้ยินว่าเฉินซีมาจากโลกใบเล็กแห่งหนึ่ง และเพิ่งเข้ามาในแดนภวังค์ทมิฬเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ทว่าตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่มีฝีมือสูงส่ง ข้าคิดไม่ออกเลยว่าเขาบ่มเพาะมาอย่างไร”
“โลกนี้ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ คนหนุ่มขอบเขตสถิตกายาสามารถต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกได้ นี่มันค่อนข้างจะ…”
เสียงพูดคุยอื้ออึงไปทั่วทั้งบริเวณนั้น แม้แต่องค์หญิงเหลิ่งฉานเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะจิกฝ่ามือแน่น เล็บของนางกดลงที่ฝ่ามือขาวซีดจนแดงก่ำ ความกระวนกระวายยิ่งผุดขึ้นภายในใจ
ฝุ่นควันฟุ้งกระจายหลังสิ้นเสียงกัมปนาท
เส้นผมสีขาวราวหิมะของเฉินซีพัดพลิ้วไปพร้อมกับชายเสื้อ แก่นโลหิตในร่างกายของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายของชายหนุ่มดูชราลงในพลัน ราวกับว่าช่วงเวลาหนึ่งพันปีได้ผ่านไปเพียงพริบตา
รัศมีอันสง่างามของเขาก็เลือนรางลงไปมากเช่นกัน!
นี่คือผลจากกระบวนท่าระเบิดสังหารเทวะ ผลข้างเคียงของมันจะทำให้การบ่มเพาะของผู้ใช้กลับคืนสู่สภาพเดิมในทันที ส่งผลให้ชายหนุ่มอ่อนแรงและทดท้ออย่างมาก เนื่องจากความอ่อนล้าของวิญญาณ พลัง และแก่นแท้
แม้จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเฉินซีกำลังใช้สุดยอดเคล็ดวิชาจากเผ่าหยาจื้อ ทว่าเมื่อได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็ต่างรู้สึกเช่นกันว่าชายหนุ่มเป็นเหมือนเสือที่กำลังถูกถอดเขี้ยวเล็บ เขาเริ่มอ่อนแอลงไปทุกที!
ในอีกด้านหนึ่ง ร่างของผู้อาวุโสอวิ๋นจูกลับยืนไม่ไหวติง สายตาจับจ้องไปยังเฉินซีโดยไม่มีคำพูดอะไร ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ใครจะชนะในการต่อสู้ครั้งนี้กันแน่?
ความสงสัยเกิดขึ้นในใจของหลาย ๆ คน
คิ้วโก่งงอนของเหลิ่งฉานเอ๋อร์เลิกขึ้นขณะที่ยกยิ้ม สภาพของเฉินซีดูย่ำแย่กว่ามากหลังจากการโจมตีหยุดลง ไม่นาน เขาก็คงจะล้มลงด้วยความปราชัย
ทว่าทันใดนั้น ผู้อาวุโสอวิ๋นจูก็พูดขึ้น “ระเบิดสังหารเทวะ… ไม่เลวเลย เจ้าเด็กน้อย… น่าเสียดาย สุดท้ายเจ้าก็ต้องเจริญรอยตามข้าอยู่ดี…”
เสียงของเขาลากยาวและแหบแห้ง ซึ่งเผยให้เห็นรังสีอำมหิต
เจริญรอยตาม… หมายความว่าอย่างไร?
ทว่าเพียงครู่ด้วยทุกคนก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะทันทีที่ผู้อาวุโสอวิ๋นจูพูดจบ ศีรษะของเจ้าตัวก็เอียงไปทางด้านข้างก่อนจะหลุดออกจากคอ
โผละ!
โลหิตแดงก่ำพุ่งออกมาเหมือนกับน้ำพุตามรอยขาดของคอ ละอองเลือดย้อมให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ด้วยแสงแดดที่เจิดจ้า ประกายสีแดงเหล่านั้นทั้งงดงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน
ศีรษะของผู้อาวุโสอวิ๋นจูถูกเด็ดจากคอจริง ๆ ในระหว่างการปะทะเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าปราณกระบี่นั้นจะคมอย่างยิ่ง หัวของอีกฝ่ายจึงหลุดออกไปทันทีที่พูดจบ!
ทุกคนต่างอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า บัดนี้ ร่างกายพวกเขาแข็งที่อไม่ต่างหินสลัก
สมาชิกระดับสูงของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ และผู้เยี่ยมยุทธ์ของเขตเซียนปฐพีระดับหก ถูกตัดหัวด้วยฝีมือของศิษย์รุ่นเยาว์แห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เลือดของเขาสาดกระเซ็นดั่งสายฝนจากฟากฟ้า!
“อาจารย์ลุงอวิ๋นจู!!!” มุมปากที่เคยเหยียดยิ้มขององค์หญิงเหลิ่งฉานเอ๋อร์บัดนี้หุบสนิท สีหน้านางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น หญิงสาวหายใจเข้าออกถี่เร็ว ด้วยไม่อาจฝืนสะกดความเสียใจและโทสะใจได้อีกต่อไป ก่อนจะร้องไห้โหยหวนอย่างน่าสมเพชออกมา
นางไม่อาจยอมรับสถานการณ์ตรงหน้าได้อีกต่อไป อาจารย์ลุงจิ้งคงของนางและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตายไปจนหมด แม้แต่ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารก็ถูกแย่งเอาไป กระทั่งอาจารย์ลุงอวิ๋นจูของนาง คนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงที่สุดก็ยังถูกปลิดชีพไปตาม ๆ กัน สุดท้ายนางก็ถูกทอดทิ้งให้ต้องอยู่คนเดียว!
ใครจะไปยอมรับเรื่องเช่นนี้กัน?
“เจ้ามันสมควรตาย! เฉินซี เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ได้ก่อไว้!” หญิงสาวเค้นเสียงเหี้ยม ดวงตาของนางจับจ้องไปยังเฉินซีซึ่งอยู่ไกลออกไปด้วยความเคียดแค้น คล้ายว่านางคงไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่าการได้แล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายให้ตายทั้งเป็น
“จริงอยู่ที่อาจารย์ลุงอวิ๋นจูพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า แต่สภาพของเจ้าในตอนนี้เองก็คงไม่สู้ดีนักใช่ไหมเล่า? เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งอดทนหรอก เพราะข้ารู้ดีว่าพลังของเจ้านั้นแทบไม่เหลือแล้ว ในเมื่อเจ้าจวนจะหมดแรงเช่นนี้ แล้วจะสู้กับข้าได้อย่างไร?” องค์หญิงเหลิ่งฉานเอ๋อร์ระเบิดเสียงหัวเราะท่ามกลางน้ำเสียงเยือกเย็น ใบหน้าสะคราญของนางฉายแววอำมหิตและไร้ความปรานี
“หากอยากลอง ข้าก็สนองให้ได้” เฉินซียืนอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเขายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์
และแม้จะพูดเช่นนั้น ทว่ารัศมีบนเรือนกายที่อ่อนแสงลงทุกทีก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถซ่อนเร้นได้ แน่นอนว่าทุกคนสังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจน
พวกเขาต่างถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ดูเหมือนสิ่งที่หญิงสาวพูดจะเป็นจริง หลังจากการปะทะกันก่อนหน้านี้ เฉินซีก็ดูราวกับคนใกล้ตายที่ไม่สามารถต่อสู้กับใครไปได้อีกหลายนาน…
เสียงหัวเราะของหญิงสาวยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาอาฆาตแค้นลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ “เฉินซีเอ๋ยเฉินซี เจ้าคิดว่าคนในโลกนี้หูหนวกตาบอดกันหมดหรืออย่างไร!?”
ขณะที่นางกำลังพูด ฉับพลันนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็ปรากฏความเย็นชาหลายส่วน “ใช่ เจ้ายังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่บ้าง ข้ารู้ แต่ถ้าสมมติว่า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ลงมือจัดการเจ้าพร้อมกันเล่า?” เสียงนั้นลอดผ่านไรฟันที่ขบกันแน่น
เฉินซีไม่ได้ตอบโต้ สีหน้าของเขาไม่ได้แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย
“ไม่พูดอะไรหน่อยหรือ? …หรือเจ้าคิดว่าพวกเขาไม่กล้าลงมือ? น่าเสียดาย เจ้าคงจะลืมไปว่าเจ้าไม่ได้มีแค่กระบี่เซียน แต่ยังมีค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของข้าด้วย นอกจากนี้ สมบัติที่อาจารย์ลุงทั้งสิบสามคนของข้าหลงเหลือไว้ ก็คงจะตกไปอยู่ในมือเจ้าด้วยเช่นกัน” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป นางจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่า “บอกข้าทีเถิด เวลาที่คนเราเผชิญหน้ากับพยัคฆ์สิ้นลาย จะอดใจไม่ให้ลงมือได้จริง ๆ หรือ? ให้ข้าเดา พวกเขาจะฉีกกระชากหนังเสือของเจ้า และแย่งของที่เจ้ามีเป็นแน่”
เมื่อคำพูดนี้ถูกเปล่งออกมา หลาย ๆ คนก็เริ่มลุกลี้ลุกลน
ดวงตาของผู้บ่มเพาะหลายคนที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางเงามืดเผยชัดถึงความตื่นเต้น
ใช่แล้ว!
เฉินซีบาดเจ็บสาหัสปางตาย และในตอนนี้เขามีสุดยอดสมบัติมากมายรวมถึงสมบัติวิเศษอยู่ในความครอบครอง เรียกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนคลังแสงที่อยู่ในรูปของมนุษย์ แล้วจะไม่ให้พวกเขาโลภขึ้นมาได้อย่างไร?
มนุษย์ยอมตายทรัพย์ วิหคยอมตายเพื่ออาหาร*[1]
อย่างที่องค์หญิงเหลิ่งฉานเอ๋อร์ได้กล่าวไว้ ท่ามกลางผลประโยชน์มากมายมหาศาล ต่อให้เป็นถึงเทพเซียน ไม่ใช่เพียงศิษย์รุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างเฉินซี พวกเขาก็กล้าแย่งชิงมา!
“พูดได้ดี” ในที่สุดเฉินซีก็ปริปาก สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง “แต่เจ้าคิดว่าหลังจากที่ฆ่าตายแล้ว พวกเขาจะยอมปล่อยเจ้าไปจริง ๆ หรือ?”
เหลิ่งฉานเอ๋อร์ตกตะลึง ใบหน้าของนางคล้ำเครียด นางรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง หากคนเหล่านี้สามารถเอาชนะเฉินซีได้และแย่งทุกอย่างมาไว้ในการครอบครอง แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางจะยอมมอบค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารและสมบัติอื่น ๆ ของอาจารย์ลุงคืนมา
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาจะต้องฆ่านางปิดปากเพื่อรักษาความลับเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
“จะเป็นอย่างไรหากข้าตายเล่า?” ครู่ถัดมา เหลิ่งฉานเอ๋อร์ก็แสดงสีหน้าเหี้ยมโหด ก่อนจะพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “เจ้าคิดว่าเกิดเรื่องขนาดนี้ ข้ายังกล้าแบกหน้ากลับไปที่นิกายได้อีกหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สู้ลากเจ้าลงนรกมาด้วยกันเสียยังจะดีกว่า!”
ชิ้ง!
สิ้นคำพูด หญิงสาวพลันพุ่งทะยานออกไปพร้อมกับกระบี่สีน้ำเงินเข้มในมือ ก่อนจะตวัดกระบี่เป็นแนวขนานกับลำตัวของเฉินซี
ปราณกระบี่ทวีความรุนแรงดั่งคลื่นยักษ์จากมหาสมุทร เต็มไปด้วยสัมผัสที่ทั้งแข็งแกร่งและสง่างาม แม้ขอบเขตการบ่มเพาะของนางจะอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น ทว่านั่นก็มากพอจะคร่าชีวิตของเฉินซีได้
ทุกคนที่อยู่โดยรอบล้วนสังเกตเห็นเช่นเดียวกันว่า สภาพของชายหนุ่มในตอนนี้นั้นอ่อนแอและเหนื่อยล้ายิ่ง เขาจึงไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป
การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เขาล้มลงได้
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมาร ระเบิดสังหารเทวะ หรือการปะทะกับผู้อาวุโสอวิ๋นจู ชายหนุ่มได้ใช้พลังที่มีไปอย่างมหาศาล ซึ่งเกินขีดจำกัดที่เขาจะรับไหวไปตั้งนานแล้ว
ส่วนเหตุผลที่เขายังทรงตัวอยู่กลางอากาศได้นั้น ก็เพราะเขาพยายามใช้ความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นในการฝืนพยุงตัว
ในขณะที่เหลิ่งฉานเอ๋อร์กล้าโจมตีอย่างตรงไปตรงมาก็เพราะนางจับสังเกตได้เช่นกัน ด้วยนิสัยของนาง หญิงสาวจึงไม่มีทางทำสิ่งที่หุนหันพลันแล่นอย่างแน่นอน
แม้แต่ผู้บ่มเพาะคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลก็มีอาการกระสับกระส่าย คล้ายพวกเขาตั้งใจจะลงมือกับหากหญิงสาวสามารถจัดการอีกฝ่ายได้สำเร็จ
ท่ามกลางสถานการณ์คับขัน เฉินซียังคงยืนอยู่กลางเวหาและหัวเราะออกมา มุมปากของเขาเหยียดขึ้นด้วยความเย้ยหยัน
ฟิ้ว!
เพียงชั่วพริบตา ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาราวกับเดินทางผ่านห้วงมิติ เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น มันก็เงื้อฝ่ามือสูง ก่อนจะกลายเป็นฝ่ามือมหึมาปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้!
ฝ่ามือยักษ์นี้มีนิ้วที่ใหญ่เหมือนเสาซึ่งยึดระหว่างพื้นดินและสวรรค์เอาไว้ ทุกสิ่งได้ถูกล้อมไปด้วยแสงดาวเย็นยะเยือกนับไม่ถ้วนซึ่งไหลเวียนด้วยธาตุทั้งห้า ท่ามกลางการสอดประสานระหว่างสามลมกับสายฟ้า มันได้เปล่งกลิ่นอายอันกว้างใหญ่และลึกลับออกมา ประหนึ่งว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกได้มารวมตัวกันในที่แห่งนี้แล้ว
เมื่อปรากฏกายขึ้น มันก็ต้านทานปราณจากกระบี่สีน้ำเงินเข้มที่โจมตีเข้ามาจนหมด!
ตู้ม! เสียงก้องกัมปนาทมาพร้อมกับร่างของเหลิ่งฉานเอ๋อร์ที่เดินเหินไปตามกระแสลม ริมฝีปากของนางเต็มไปด้วยโลหิตที่กระอักออกมา ดวงหน้างดงามนั้นมีเพียงความหวาดกลัวที่ฉายชัด
ผู้ใดกัน!?
หรือจะเป็นกำลังเสริมของเฉินซี?
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น แม้แต่บรรดาศิษย์และผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังสั่นสะท้านด้วยอารามตกใจเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ร่างของพวกเขาถูกซัดกระเด็นไปตามแรงปะทะทั้งสีหน้าตื่นตะลึง
“เหลิ่งฉานเอ๋อร์ เราสองคนไม่ได้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน แต่เจ้ากลับหาเรื่องข้าครั้งแล้วครั้งเล่า หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง แล้วข้าจะฆ่าเจ้าไม่ลงหรืออย่างไร?” เมื่อฝุ่นควันเริ่มเบาบางลง ท่ามกลางน้ำเสียงที่สงบเยือกเย็นนั้น ร่างของเฉินซีก็ปรากฏสู่สายตาของผู้คนอีกครั้งหนึ่ง
ทันทีที่ได้เห็นเฉินซี คนทั้งหมดก็พากันตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มในยามนี้สวมชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองส้ม เส้นผมดำขลับยาวสลวย อีกทั้งร่างกายของเขาเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา ในขณะที่ดวงตาทั้งสองนั้นประหนึ่งว่ามีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เวียนสลับกันเป็นวัฏจักร ส่งผลให้เรือนกายยิ่งดูเหมือนเทพอสูรที่อยู่บนสวรรค์ท่ามกลางรัศมีเรืองรอง
ไม่ว่าใครก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเฉินซีได้อย่างชัดเจน หากไม่ใช่ว่ารูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มยังคงเหมือนเดิม พวกเขาก็คงคิดว่าเฉินซีคนนี้กับคนก่อนหน้าเป็นคนละคนกัน!
“ร่างจำแลง!” ใครคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่ ร่างจำแลงเป็นความสามารถหนึ่งของขอบเขตสถิตกายาในการขัดเกลากายาเท่านั้น อีกทั้งการใช้ร่างจำแลงในขณะที่ร่างกายหลักได้รับความเสียหายรุนแรงนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย” ใครบางคนส่ายหน้า
“ถ้าเช่นนั้น… นี่ก็ไม่ใช่ร่างอวตารหรือ? สวรรค์! นี่เป็นความสามารถที่มีเพียงเซียนสวรรค์เท่านั้นที่ทำได้ไม่ใช่หรือ อย่างปิงซื่อเทียนที่ลงมายังโลกโดยใช้ร่างอวตารนั่นไง!”
“เป็นไปไม่ได้! ร่างอวตารนั้นมีพลังของกฎและเจตจำนงสถิตอยู่ เฉินซีน่ะยังบรรลุแค่เพียงขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น เขาไม่มีทางหยั่งรู้ถึงกฎและครอบครองเจตจำนงนั้นได้อย่างแน่นอน”
ทุกคนประหลาดใจและงุนงง พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้แน่ชัดว่าเฉินซีใช้พลังประเภทใดเพื่อสร้างร่างจำแลงดังกล่าวขึ้นมา!
กระนั้น ร่างอวตารนี้ก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง เพราะมันเผยพลังอันมากล้นของการขัดเกลากายาเทพอสูรอย่างชัดเจน!
[1] มนุษย์ยอมตายทรัพย์ วิหคยอมตายเพื่ออาหาร หมายถึง ความอยากในทรัพย์สินจะนำภัยมาสู่ตัวเสมอ