[ส่วนที่ 6] บทที่ 1 ขัดความก้าวหน้าในชีวิต
Ink Stone_Fantasy
มีเพียงโคมไฟและสายลมอยู่เป็นเพื่อน กลืนกินส่วนสำคัญของพระอาทิตย์และพระจันทร์ ลมปราณมหาศาลราวกับรวมฟ้า นี่เป็นสิ่งที่หยางไท่จื่อบอกจ่านเอ๋อร์ลูกศิษย์ของตัวเองอยู่เสมอ ในฐานะที่เป็นการเริ่มต้นอากัปกิริยาที่ถูกต้องของนักพรตผู้หนึ่ง
แน่นอนว่าจ่านเอ๋อร์ถือเอาคำพูดของอาจารย์ตัวเองเป็นความจริงเสมอ
แต่ว่านะ
“น่าเบื่อจัง…”
หลังจากได้สิทธิ์การครอบครองอารามเต๋าคืนมาจากเฮยสุ่ยแล้ว จ่านเอ๋อร์ก็กลับสู่ช่วงทำการบ้านบนลานเต๋าทุกวันอีกครั้ง หลังจากหยางไท่จื่อได้รับบาดเจ็บหนักเมื่อครั้งก่อน ก็รักษาร่างกายของตัวเอง ไม่ค่อยได้ออกไปไหน
อาจารย์บอกว่าต้องเก็บตัวนานถึงจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ จ่านเอ๋อร์ลองคำนวณเวลาดูแล้ว เห็นว่าอีกไม่กี่วันนี้ก็ใกล้ครบกำหนดเก็บตัวแล้ว
จ่านเอ๋อร์กำลังขบคิดว่าจะอาศัยโอกาสหลายวันแอบลงเขาไปเล่นหรือไม่…หลังนักพรตน้อยคนนี้ติดตามหยางไท่จื่อออกไปไกลจากสำนักเมื่อครั้งที่แล้ว ก็เกลือกกลั้วกับโลกมนุษย์อยู่ตลอด จึงได้เปิดหูเปิดตากับโลกโลกีย์ที่อยู่ด้านนอก
ถึงจะบอกว่าไม่กระทบกับความตั้งใจเดิมของเขา แต่ยังไงก็เป็นวัยรุ่น การใฝ่หาสรรพสิ่งแปลกใหม่เป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติ
ในเมื่อยังไม่เคยเห็นโลกจริงจัง จิตใจย่อมผุดผ่องบริสุทธิ์
จ่านเอ๋อร์มองรอบด้าน หลังจากผุดความคิดแบบนี้แล้ว ก็ยากที่จะลบเลือนไป แต่ตอนที่เขาคิดจะทำตามความคิดนั้น ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแปลกๆ ดังขึ้นขัดจังหวะ
เขารีบหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งมาอยู่ที่ลานเต๋าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้…อืม วัยรุ่นผมทองสะดุดตา
หลังจากวัยรุ่นที่ปรากฏตัวกะทันหันเห็นว่า จ่านเอ๋อร์เห็นเขาแล้ว จึงส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนคารวะ พูดเสียงหนักแน่นว่า “ขอโทษทีนักพรตน้อยท่านนี้ ที่นี่ใช่สำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมหรือเปล่า”
จ่านเอ๋อร์อึ้ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงปีนขึ้นมาที่นี่ได้? อาจารย์ข้าบอกว่า ตั้งค่ายกลเอาไว้ข้างนอก คนอื่นหาไม่เจอหรอก”
วัยรุ่นคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “นักพรตน้อย อย่ากังวลไป ข้าไม่ใช่คนชั่ว…อืม ดูแล้วที่นี่คงเป็นสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมจริงๆ ด้วย ส่วนวิธีเข้าออกที่เจ้าบอก ความจริงแล้วผู้อาวุโสหยางไท่จื่อบอกข้าเอาไว้แล้ว”
“อาจารย์ข้าบอกเจ้างั้นหรือ?” จ่านเอ๋อร์อึ้ง พูดแบบจับต้นชนปลายไม่ถูกว่า “แต่อาจารย์ของข้ากำลังเก็บตัวอยู่ เขาจะไปบอกเจ้าได้อย่างไร?”
วัยรุ่นผู้นั้นแสดงท่าทางตกใจ แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “นักพรตน้อย ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารพัฒนาไปไกลแล้ว หรือเจ้าไม่รู้ว่าวงการนักพรตอย่างพวกเราใช้กลุ่มแชทติดต่อกันแล้ว?”
จ่านเอ๋อร์ชะงักไป ตอนที่เขาคิดจะพูดอะไรบ้าง กลับได้ยินเสียงแก่ชราทรงอำนาจและยุติธรรมดังออกมาจากในสำนัก “ผู้ใดมากัน?”
วัยรุ่นผู้นี้เงยหน้าพลางเดินไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้น้อยมั่วมั่วผู้สืบทอดสำนักเขาพยัคฆ์มังกร มาที่นี่เพื่อคารวะผู้อาวุโสหยางไท่จื่อจ้าวสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม ขอได้โปรดให้เข้าพบด้วยขอรับ!”
“จ่านเอ๋อร์พาแขกเข้ามาเถอะ” เสียงนั้นพูดตอบรับ
…
ที่ศาลารับแขกด้านข้าง สีหน้าดุจดั่งเทพเซียนของหยางไท่จื่อดูดีขึ้นมากแล้ว ถึงเพิ่มอายุขัยไม่ได้ แต่บาดแผลก็หายไปมากแล้ว
นักพรตชราท่านนี้ลูบเคราพยักหน้า หลังจากสังเกตดูศิษย์ตรงหน้าคนนี้ไปรอบหนึ่งแล้วจึงพยักหน้าพูดว่า “แววตาสงวนท่าที ส่อแววละเอียดลึกซึ้ง ไม่เลวๆ อาจารย์เจ้ารับลูกศิษย์ดีมาจริงๆ หาได้ยากที่คนอายุน้อยเช่นเจ้าจะฝึกตนได้ถึงขั้นนี้ ช่างมีอนาคตยาวไกลนัก”
มั่วมั่วย่อมไม่กล้าดีใจจนลืมตัวต่อหน้าผู้อาวุโสในวงการนักพรตเช่นนี้ จึงรีบก้มหน้าพูดว่า “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ผู้น้อยผ่านไปที่ริมทะเลแห่งหนึ่ง บังเอิญพบกับผู้อาวุโสยอดฝีมือท่านหนึ่ง แล้วได้รับคำชี้แนะจากผู้อาวุโสประหลาดท่านนี้ จึงได้ความคิดและความเข้าใจใหม่ๆ เรื่องการฝึกจิต”
“นั่นนับเป็นความโชคดีของเจ้า” หยางไท่จื่อยิ้ม “โลกนักพรตของแผ่นดินฮั่นอันยิ่งใหญ่ตกต่ำลงทุกวัน ยากนักที่จะได้ประสบหนทางแห่งเซียน ไม่รู้ว่าคนประหลาดที่เจ้าพบลักษณะเป็นอย่างไร ข้าเองก็อยากรู้จักเช่นกัน”
มั่วมั่วจึงตอบว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้มีวิชาคงกระพัน รูปร่างภายนอกหน้าตาแค่อายุยี่สิบ แต่ว่าไม่อาจเดาความคิดของเขาได้ ผู้น้อยแค่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็หวาดหวั่นเหมือนอยู่ใกล้เหวลึก…”
มั่วมั่วส่ายหน้า “พูดแล้วก็ละอายใจ ผู้น้อยตกอยู่ในเงื้อมมือผู้อาวุโสท่านนี้ ไม่ทันใช้แม้กระบวนท่าเดียวก็พ่ายแพ้เสียแล้ว”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หยางไท่จื่อลูบเครายาวๆ ของตัวเอง เขาที่นั่งอยู่บนที่นั่งก้มหัวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นผู้สืบทอดสำนักเขาพยัคฆ์มังกรรุ่นปัจจุบัน ในเมื่อลงเขามาหาประสบการณ์ได้ ความสามารถย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน คาดไม่ถึงว่าไม่ได้ใช้แม้กระบวนท่าก็พ่ายแพ้…คนประหลาดนั่นมีลักษณะอย่างไร มีเอกลักษณ์อื่นอีกหรือไม่?”
มั่วมั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืม ใบหน้าแบบชาวตะวันออก มีสีตาและสีผมดำเหมือนกับพวกเรา ไม่มีกลิ่นอายปีศาจกำจายออกมา น่าจะไม่ใช่ยอดฝีมือฝ่ายมาร…ใช่แล้ว ข้างกายผู้อาวุโสท่านนี้ยังมีผู้หญิงที่เดาทางยากติดตามมาด้วย!”
“เอ๋?”
มั่วมั่วบรรยายลักษณะอีกเล็กน้อย “ลักษณะของผู้หญิงคนนี้คล้ายลูกครึ่งจีนฝรั่งนิดหน่อย ผมยาว หน้าตางดงาม จริงสิ เธอยังมีดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลคู่หนึ่งด้วย”
หยางไท่จื่อ…หยางไท่จื่อลื่นลงมาจากที่นั่งทันที
ผู้สืบทอดสำนักเขาพยัคฆ์มังกรผู้นี้คงไม่ได้เจอเจ้านั่นหรอกนะ? หยางไท่จื่อกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
…
“ผู้อาวุโส? ไม่เป็นไรใช่ไหม…” มั่วมั่วมองชายชราแห่งวงการนักพรตตะวันออกผู้นี้ด้วยสีหน้ากังวล
“อ้อ…ไม่เป็นไรๆ” หยางไท่จื่อยังคงแสดงท่าทางราวกับเทพเซียน ยันตัวขึ้นมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ช่วงนี้นั่งนานเกินไป ดันเป็นริดสีดวงทวารน่ะสิ”
เป็น…ริดสีดวงทวาร?
มั่วมั่วมองด้วยสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง…นักพรตชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ นักพรตผู้เปรื่องปราดถึงขนาดทนความยากลำบาก อดข้าวอดน้ำได้
ผีเท่านั้นที่จะรู้ ว่าผู้เฒ่าแห่งวงการนักพรตเป็นริดสีดวงทวารได้อย่างไร
เบาะนั่งทรงกลม ‘โทษข้าเลย?’
“แค่กๆ…”
หยางไท่จื่อไอเบาๆ สองครั้ง “ใต้หล้ามีคนประหลาดโผล่ขึ้นมามากมาย ยอดฝีมือที่เจ้าพบอาจจะเป็นผู้หาตัวจับได้ยาก ซึ่งนั่นเป็นความโชคดีของเจ้า…ถึงจะบอกว่าเจ้าได้พบกันโดยโชค ฝีมือการต่อสู้ก็ดีขึ้น แต่จำไว้ว่าไม่อาจทะนงตนอวดดีได้ ต้องรู้ว่าข้าและนักพรตคนอื่นๆ ต้องทำตามขั้นตอน ดั่งยืนอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก”
“คำแนะนำของผู้อาวุโส ผู้น้อยจะจำให้ขึ้นใจ” มั่วมั่วพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า…เขายังคงเป็นเด็กดีที่ให้ความเคารพผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นอย่างมาก
“อืม เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยแล้ว” แล้วหยางไท่จื่อก็โบกมือพูดว่า “เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้ามาด้วยเรื่องอะไร ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันดีกว่า”
“ผู้น้อยรับทราบ”
หลังจากจ่านเอ๋อร์พามั่วมั่วไปพักผ่อนที่ห้องรับรองแขกตามคำสั่งของหยางไท่จื่อแล้ว เขาก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว “อาจารย์ๆ ข้าอยากได้มือถือ!”
หยางไท่จื่อตะลึงพลางถามว่า “เจ้าอยากได้มือถือไปทำอะไร?”
จ่านเอ๋อร์คิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า “ข้าอยากเข้ากลุ่ม! กลุ่มแชทของพวกท่าน!”
หยางไท่จื่อพูดอย่างเฉยชาว่า “นั่นเป็นของเล่นทางโลก จะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ อีกอย่าง ข้างในนั้นมีแต่พวกผีปีศาจ เอะอะก็เอาแต่ขออั่งเปา ทำได้แค่รักษาคุณธรรมเอาไว้ เจ้ายังเด็กนัก ตอนนี้เข้าไปก็มีแต่ขัดความก้าวหน้าในชีวิต!”
จ่านเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “งั้นข้าไม่เข้าแล้ว แต่ข้าต้องการมือถือ!”
หยางไท่จื่อพูดสบถว่า “ข้าบอกแล้วไง นั่นเป็นของขัดความก้าวหน้าในชีวิต!”
“แต่ท่านอาจารย์ก็จับมือถืออยู่ทุกวันแท้ๆ!” จ่านเอ๋อร์พูดเปิดโปงโดยไม่ลังเล “ตอนปิดก็เหมือนกัน!”
“เชอะ!” หยางไท่จื่อสะบัดแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ข้าในฐานะอาจารย์ต้องทำความเข้าสภาพทางโลกและขอคำแนะนำจากวงการนักพรต เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
จ่านเอ๋อร์พูดเชิงตำหนิ “เหลวไหล! ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าท่านกำลังดูไลฟ์! ยังพูดว่าอะไร ‘คลั่งชุดผู้หญิง’ อีกด้วย อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ!”
หยางไท่จื่อ…หยางไท่จื่อลื่นลงมาจากที่นั่งอีกครั้ง
…
วันต่อมา มั่วมั่วก็ได้รับกล่องโบราณใบหนึ่งมาจากหยางไท่จื่อ อีกทั้งยังพาจ่านเอ๋อร์ออกไปจากอารามที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนี้ตามคำสั่งของหยางไท่จื่อ
…
…
ตอนที่ภูตดำหมายเลขเก้าเดินเข้าไปในห้องโถงของสมาคม ก็เห็นเจ้าของสมาคมกำลังใช้แก้วใบหนึ่ง ค่อยๆ เทน้ำสะอาดลงไปในกระถางดอกไม้ใบเล็ก
ถ้าหากเขาดูไม่ผิดละก็ ที่ปลูกอยู่ในกระถางเล็กๆ ใบนี้น่าจะเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ชื่อสโตนฟลาวเวอร์
“นายกลับมาแล้วเหรอ”
เจ้าของร้านลั่ววางแก้วน้ำในมือ แล้วหันไปยิ้มพลางพูดกับภูตดำหมายเลขเก้า
ภูตดำหมายเลขเก้ารีบเดินเข้ามา ก่อนก้มหัวพูดด้วยความเคารพว่า “นายท่านเรียก กระผมเลยรีบกลับมาทันที ไม่ทราบว่านายท่านจะสั่งอะไรหรือ?”
แต่เขาก็เดาได้คลุมเครือว่า บางทีอาจจะเกี่ยวกับผลงานในช่วงนี้…เขาไม่มีผลงานใหม่ๆ มานานแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ถึงสมาคมไม่ได้บังคับให้ทูตภูตดำต้องกลับมาคารวะนายท่านทุกวัน แต่นายท่านคนใหม่กลับมาจากต่างประเทศระยะหนึ่งแล้ว เขากลับยังไม่ได้มาคารวะเลย…คงดูไม่ค่อยดีเท่าไร
ลั่วชิวรับน้ำเปล่าแก้วหนึ่งมาจากมือโยวเย่ หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งถึงพูดเสียงเบาว่า “หมายเลขเก้า ยังจำเรื่องที่ฉันถามนายครั้งที่แล้วได้ไหม?”
ภูตดำหมายเลขเก้ารีบเงยหน้าขึ้นทันที