บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 811 รวมตัวใหม่

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 811 รวมตัวใหม่

บทที่ 811 รวมตัวใหม่

ณ เมืองวารีเมฆา ตำหนักอ๋องเวิน

บรรยากาศในที่แห่งนี้ดูเยือกเย็นเปล่าเปลี่ยว ทุกคนกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวและตื่นตะลึง สถานที่แห่งนี้สูญเสียความครึกครื้นไปเสียแล้ว

ตอนนี้คนในตระกูลและบรรดาบ่าวไพร่ทุกคนต่างมารวมตัวกันอยู่ตรงพื้นที่ว่างภายในตำหนัก เหมือนลูกแกะรอถูกเชือด แต่ละคนล้วนมีสีหน้าหวาดกลัวขณะยืนตัวสั่นเทา

ไม่ห่างกันเท่าไรนักคือ อ๋องเวินหัวที่ถูกผูกอยู่กับเสาเหล็กหนา ผมเผ้ายุ่งเหยิง มุมปากมีเลือดไหล ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยรอยแผลน่าหวาดกลัว

โดยที่เบื้องหน้ามีเก้าอี้โยกและชายหนุ่มชุดขาวเอนหลังนอนพร้อมกับจิบสุราด้วยท่าทางสบาย ๆ อยู่

ชายหนุ่มผู้นี้มีคิ้วคม ดวงตาสุกใส ปากแดง ฟันขาว และมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเอนหลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยก แต่ก็ยังปลดปล่อยกลิ่นอายดุดันน่าเกรงขามออกมาเหมือนคมกระบี่ที่อยู่ในฝัก

นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มร่างแกร่งยืนอยู่ข้างกายชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นอีก เขามีท่าทางเย็นชาดุดัน นัยน์ตาดั่งเงาหยก กำลังยืนกอดอก ส่งสายตาเยือกเย็นมองเวินหัวที่ถูกผูกอยู่กับเสา

ทั้งสองคนได้ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักเมื่อหลายวันก่อน พวกเขาเข้าโจมตีโดยไม่บอกกล่าวสักคำ เหมือนเทพอสูรเข้ามาสังหารยอดฝีมือภายในตำหนักไปนับไม่ถ้วน ภายหลังจึงหยุดมือเมื่อจับตัวอ๋องเวินน้อยได้แล้ว

เป็นตอนนั้นเองที่ในที่สุดทุกคนก็รู้ว่าสองคนนี้มาเพื่อล้างแค้นให้เฉินซี!

ทันใดนั้น ทั้งตำหนักอ๋องเวินก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อต้านอีก และทำได้แต่มองอ๋องน้อยถูกผูกอยู่กับเสาเหล็กแล้วถูกทรมานอยู่สามวันสามคืน

บางคนรู้สึกโศกเศร้าไม่พอใจ ทนดูเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ จึงพุ่งเข้าไปหมายดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย ทว่าผลลัพธ์ก็มีเพียงความตายที่รออยู่

คนทั้งสองเป็นดั่งเทพมารไร้ผู้ต้าน ทำการเข่นฆ่าเสียจนดับความต้องการที่จะหลบหนีจนมอดไป

ดังนั้นจึงเกิดภาพที่เห็นอยู่ในตอนนี้ขึ้น ทุกคนภายในตำหนักยืนอยู่ทางด้านข้าง และมองไปทางอ๋องน้อยของพวกเขาที่กำลังถูกทรมานอย่างไม่อาจช่วยอะไรได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำอะไร ไม่กล้าพูดสักคำด้วยซ้ำ!

“ฆ่า…ฆ่าข้าเลย” ริมฝีปากอ๋องเวินน้อยแห้งผากเต็มไปด้วยเลือด มันสั่นระริก ขณะขยับส่งเสียงแหบพร่าออกมา

“อยากตายหรือ? จะให้จบง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร?” ชายหนุ่มร่างแกร่งหัวเราะเสียงเย็นออกมา เขามองเวินหัวด้วยสายตาดุร้าย คล้ายไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเวินหัวเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสี่เท่านั้น

“ไม่ต้องไปสนใจ หากเฉินซีไม่กลับมา ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ต้องลืมตาเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เอง!” ชายหนุ่มชุดขาวยกจอกสุราในมือขึ้นดื่มด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“ข้าเพียงกังวลว่า…” ชายหนุ่มร่างแกร่งขมวดคิ้ว ใบหน้าเริ่มเผยแววกังวล

แต่ยังไม่ทันพูดได้จบประโยค ชายหนุ่มชุดขาวกลับเอ่ยขัดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องห่วง เฉินซีไม่ตายง่าย ๆ แน่ เราทำได้แค่รอ …เพราะหากข้าเป็นเขา ข้าย่อมต้องกลับมาล้างแค้นแน่!”

“หากกล้าก็สังหารข้าเสียเลยสิ ไอ้พวกปีศาจ! พวกเจ้ามันไร้ซึ่งความละอายใจและชั่วร้ายนัก แม้แต่เด็กเช่นข้าก็ไม่คิดละเว้น!” ทันใดนั้นเวินหัวก็เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา จนโซ่ที่พันรอบร่างส่งเสียงกระทบกัน

“เป็นบุตรย่อมควรชดใช้ความผิดแทนบิดา มันก็ถูกต้องดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? สหายน้อยเอ๋ย หยุดทำตัวน่าสมเพชได้แล้ว เล่ห์กลกระจอกเช่นนี้จะไปหลอกใครได้? อยากตายหรือ? ข้าไม่ให้เจ้าได้สมใจหรอก” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูก

“เจ้า…” เวินหัวรู้สึกสลดใจและมีสีหน้าสิ้นหวังนัก ในขณะที่ความเสียใจแทรกซึมลึกเข้ามาภายในจิตใจ เหตุใดวันนั้นเขาต้องแนะนำให้ท่านพ่อตอบตกลงรับเงื่อนไขของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ด้วย?

…เป็นตอนนั้นเองที่มีร่างสูงปรากฏขึ้นกลางอากาศ เขามีใบหน้าหมดจดมีท่าทางไม่ธรรมดา หรือก็คือเฉินซีนั่นเอง! ในขณะนี้ชายหนุ่มกำลังเหลือบมองเวินหัวที่ถูกผูกอยู่กับเสา ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มชุดขาวและชายหนุ่มร่างแกร่งที่อยู่ทางด้านข้าง จากนั้นจึงเอ่ยน้ำเสียงประหลาดใจขึ้นมา “หลิงไป๋ มู่ขุย พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่นี่?”

ชายหนุ่มชุดขาวพลันผุดลุกขึ้นส่งเสียงประหลาดใจทันที “เฉินซี เจ้าบ้า! ในที่สุดก็มาสักที!”

ชายหนุ่มร่างแกร่งที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าแข็งทื่อไป ก่อนจะตะโกนเสียงดังขึ้น “นายท่าน!”

ที่แท้ทั้งสองคือหลิงไป๋และมู่ขุยนั่นเอง!

ชายหนุ่มไม่ได้พบกับทั้งสองตั้งแต่เขาเข้าไปในเหวเงาทมิฬ ดังนั้นการที่ได้มาพบเจอกันในตำหนักอ๋องเวินแห่งนี้ จึงทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง

แต่สำหรับผู้อื่นแล้ว เมื่อเฉินซีปรากฏตัวขึ้น ร่างของทุกคนภายในตำหนักรวมถึงเวินหัวต่างก็สั่นสะท้าน และแสดงสีหน้าซับซ้อนที่เผยความสิ้นหวังออกมาอย่างเด่นชัด

ใครจะคิดว่าผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตทุกคนในตำหนักไว้ในวันนั้นจะแปรเปลี่ยนมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันด้วยสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ได้?

เฉินซีเหินร่างลงบนพื้นแล้วเดินไปตบไหล่หลิงไป๋กับมู่ขุย จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงโล่งใจว่า “รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องรอด!”

นับตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าหลิงไป๋กับมู่ขุยโดนเยว่ฉือเล่นงาน ชายหนุ่มก็เป็นห่วงสถานการณ์ของทั้งสองมาโดยตลอด ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น

ทว่าเมื่อได้เห็นคนทั้งสองอีกครั้ง มันก็ให้รู้สึกเหมือนยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก ทั่วทั้งร่างของเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก

“เฉินซี เราจะจัดการสหายน้อยผู้นี้อย่างไรดี?” หลิงไป๋ก็รู้ดีเช่นกันว่าไม่ใช่เวลามารำลึกความหลัง เขาถามขึ้นพลางชี้ไปทางเวินหัว

ตอนนี้เด็กหนุ่มเองก็เงยหน้ามองเฉินซีเช่นกัน …อีกฝ่ายกำลังส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังมาให้

“นายท่าน เด็กคนนี้จิตใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถึงขนาดสาบานต่อเต๋าแห่งสวรรค์ก่อนที่ข้ากับหลิงไป๋จะมาถึง สาบานว่าต่อไปจะตามล้างแค้นท่าน…” มู่ขุยเอ่ยอธิบายจากทางด้านข้าง

“งั้นก็ฆ่าทิ้งเสีย” เฉินซีโบกมือขัดคำพูดของมู่ขุย

ฉัวะ!

ทันทีที่ผู้เป็นนายพูดจบ มู่ขุยพลันสะบัดแขนคราหนึ่ง สังหารเวินหัวโดยไม่มอบโอกาสให้อีกฝ่ายได้เอ่ยคำใด

“แล้วคนจากตำหนักอ๋องเวินที่เหลืออยู่เล่า?” หลิงไป๋ว่าต่อ

“ไปหาที่ดื่มกันเถอะ” เฉินซีส่ายหน้าแล้วเดินออกจากตำหนักไป

หลิงไป๋กับมู่ขุยชะงัก พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินซีไม่ขุดรากถอนโคนเสียให้สิ้น แต่ถึงจะมีความสงสัยอยู่เต็มหัวใจ ทั้งคู่ก็ยังติดตามเขาเดินออกไปอยู่ดี

เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ทุกคนในตำหนักพลันรู้สึกเหมือนน้ำหนักที่ถ่วงอยู่ในอกถูกยกออก พากันถอนหายใจโล่งอกออกมา บางคนถึงขนาดทรุดตัวลงกับพื้นเสียงดังแล้วร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ

เดิมทีคิดว่าครั้งนี้พวกเขาคงไม่รอดแล้ว คงเผชิญกับความวิบัติไปพร้อมกับอ๋องน้อยและถูกฆ่าล้างตระกูลแน่ ใครจะไปคิดว่าจะสามารถรอดพ้นมาได้?

อย่างไรแล้ว การที่ถูกฆ่าล้างตระกูลเพราะความแค้นระหว่างกันไม่ใช่เรื่องผิดปกติในโลกแห่งการบ่มเพาะ พวกเขาคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว

ส่วนคนอย่างเฉินซีที่ฆ่าแต่คนชั่วไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงผู้เดียวที่ทำเช่นนี้ แต่ก็เรียกได้ว่าหาได้ยากนัก

แต่แน่นอนว่าไม่มีใครรู้สึกซาบซึ้งต่อเฉินซี แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงการล้างแค้นเช่นกัน เพราะความแข็งแกร่งแตกต่างกันเกินไป ใครที่กล้าตะโกนคำว่าล้างแค้นออกมาอย่างไม่ยั้งคิด …คงไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย!

ฟิ้ว!

เรือเหาะสมบัติทะยานผ่านชั้นเมฆออกจากเมืองวารีเมฆา ก่อนจะหายวับไปที่เส้นขอบฟ้า

ในขณะนั้น เฉินซีและมู่ขุยกำลังนั่งขัดสมาธิกันอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่งภายในเรือเหาะสมบัติ พวกเขากำลังดื่มเหล้ากันอยู่

หลิงไป๋แปลงกลับร่างเดิมแล้ว ตอนนี้เขาจึงมีความสูงราวสามจั้งเท่านั้น เจ้าตัวกำลังนอนไขว้ขาอย่างสบายใจอยู่บนไหล่ของเฉินซี ขณะถือกระดูกเนื้อชิ้นใหญ่ที่มีหอมกลิ่น เขากินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ “อ้อ เฉินซี ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ ไม่ได้กินเนื้อย่างที่เจ้าทำมานานแล้ว”

“ข้าก็ไม่ได้กินมานานแล้วเช่นกัน” ที่ฝั่งหนึ่ง เจ้าหมีน้อยขนทองที่มีนามอาหมานเอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ในอุ้งมือมีเนื้อย่างอยู่

“นายท่านขอรับ” มู่ขุยอดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านสังหารเวินเทียนซั่วกับเวินหัวไปแล้ว แต่กลับไว้ชีวิตคนในตระกูล ข้าเกรงว่าต่อไปจะเกิดอันตรายขึ้นกับท่านได้”

เฉินซีกลับเอ่ยเสียงเรียบว่า “ความอยุติธรรมทั้งหลายล้วนมีผู้กระทำทั้งสิ้น ตัวข้ากับเวินเทียนซั่วและเวินหัวมีความแค้นต่อกัน แต่คนในตระกูลพวกนั้นไม่มี เหตุใดพวกนั้นต้องโดนร่างแหไปด้วยเล่า?”

“แต่ในใจพวกเขามีความเกลียดชังไปแล้ว ต่อไปย่อมต้องสร้างปัญหาให้ท่านแน่” มู่ขุยเอ่ยพลางขมวดคิ้ว

“ข้ารู้” เฉินซีถอนหายใจ “มู่ขุย ตัวข้าเองเคยพบเรื่องไม่คาดฝันในตระกูลตั้งแต่ยังเล็ก ย่อมรู้ดีกว่าใครว่าความเมตตาอาจนำพาความวิบัติมาได้ ทั้งยังมีคนมากมายไม่อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่ แต่สุดท้ายตอนนี้ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่ดีมีสุข ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เพราะข้าเลือกวิธีฆ่าสังหารล้างโคตรทำร้ายผู้บริสุทธิ์แต่อย่างไร แต่เพราะพึ่งพละกำลังของตนเองต่างหาก!”

มู่ขุยชะงักไป

“มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ศัตรูจึงจะเกรงกลัว ไม่กล้าลงมือผลีผลาม แต่หากเจ้าแข็งแกร่งไม่พอ …ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องถูกศัตรูสังหารอยู่ดี” เฉินซีเอ่ยเสียงไร้อารมณ์ “หรือก็คือก้าวแรกสู่การบ่มเพาะคือการบ่มเพาะจิตใจของตนเองก่อน ตัวข้าเฉินซีจะล้างแค้นเมื่อจำเป็น แต่จะไม่ยอมให้ความเกลียดชังบดบังความมีเหตุมีผล ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องประสบกับความวิบัติไปด้วยแน่ เพราะหากข้าทำเช่นนั้น… แล้วตัวข้าจะไปต่างอะไรกับผู้ครองบาปมหันต์เหล่านั้นกัน?”

ความเกลียดชังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่จะน่ากลัวเมื่อถูกมันครอบงำจิตใจ ดวงจิตแห่งเต๋าแปดเปื้อนเพราะมันต่างหาก!

“เอาล่ะ มู่ขุย เจ้าอย่าไปคิดอะไรมากเลย ก็แค่ขยะกองหนึ่ง ถึงจะมีเวลาในมือมาก แต่เราจะทำอะไรได้กัน? พอถึงตอนที่พวกนั้นแข็งแกร่งขึ้น เราก็คงกลายเป็นเซียนไปนานแล้วกระมัง คงได้ท่องใต้หล้าหลุดพ้นจากสวรรค์ทั้งเก้า และหากพวกมันไม่ใช่คนโง่เขลา ก็คงไม่กล้าตามล้างแค้นเราหรอก” หลิงไป๋ส่ายหน้าพลางเอ่ยคำ

“นั่นก็จริง” มู่ขุยพยักหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

เฉินซียิ้ม เขากำลังคิดจะเอ่ยคำขึ้น แต่กลับชะงักไปแล้วแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าช่วงเวลาที่จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีใกล้จะมาถึงแล้ว…

มันเป็นความรู้สึกลึกล้ำที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมา แต่แท้จริงแล้วกลับมีโชคชะตากำหนดไว้!

“มาเถอะ เราไปกำจัดผู้ครองบาปมหันต์อีกสองคน แล้วค่อยกลับนิกายกัน!” เฉินซีลุกขึ้นพลางเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าจริงจัง เสื้อผ้าและผมยาวพลิ้วไหวตามแรงลม ร่างกายและจิตใจสะอาดหมดจด

สองวันถัดมา

เรือเหาะสมบัติได้มาถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างเงียบเชียบ

เฉินซีกลับมาแล้ว!

ภายในเวลาไม่ถึงเค่อ ทั่วทั้งนิกายพลันเกิดความวุ่นวายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหล่าศิษย์หรือผู้อาวุโสล้วนรู้ดีว่าเฉินซีทำภารกิจ ‘ส่งต่อคบเพลิง’ และ ‘ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์’ สำเร็จแล้ว และกลับมาอย่างปลอดภัย!

กระทั่งชายหนุ่มเองก็ยังไม่คิดว่าการกลับมาของเขาจะทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นในนิกายได้ ตลอดทางมีแต่คนเดินเข้ามาทักทายไม่หยุด

แต่คำทักทายที่ผู้อื่นเรียกชายหนุ่มกลับต่างออกไป …จากที่เคยเรียกว่า ‘ศิษย์พี่เฉินซี’ ได้กลายเป็น ‘อาจารย์อาเฉินซี’ ไปเรียบร้อยแล้ว

เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างไร เขาเป็นปรามาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันตก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีตำแหน่งสูงและผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ถึงจะพบกับประมุขนิกายเวินหัวถิง ก็สามารถเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ศิษย์พี่ประมุขนิกาย’ ได้แล้ว

ระดับความอาวุโสที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงสถานะที่สูงขึ้น เหมือนเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าเขามีเกียรติและมีความแข็งแกร่งถึงระดับไหน

เมื่อเฉินซีมาถึงยอดเขาจรัสตะวันตก ก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในชุดบุรุษ กำลังยืนยิ้มรอเขาอยู่…

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท