บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 844 คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 844 คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว

บทที่ 844 คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว

ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากห้องโถง เหลียงปิงพลันปล่อยมือของนาง และแยกตัวออกจากเฉินซีอย่างสง่างาม ก่อนจะเดินเคียงข้างเขาไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว

ห่างไกลออกไป มีศาลาถูกจัดเรียงเป็นแถวอย่างเรียบร้อยซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้อันเก่าแก่ เงียบสงบ และสง่างาม

ในตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกทอประกายแสงสีส้มออกมาปกคลุมดอกไม้และสมุนไพรทั้งสองด้านของเส้นทางด้วยชั้นแสงสีแดงที่น่าหลงใหล

ความรู้สึกสูญเสียเล็กน้อยที่มองไม่เห็นวาบขึ้นในใจของเฉินซี ก่อนที่เขาจะกลับมาเป็นปกติ “ในเมื่อเจ้าไม่ชอบ เหตุใดจึงไม่ปฏิเสธเขาไปตรง ๆ เล่า?”

เหลียงปิงขมวดคิ้ว ราวกับนางไม่เต็มใจจะพูดคุยเรื่องนี้กับเฉินซี แต่คิ้วของหญิงสาวก็คลายลงอย่างรวดเร็วขณะที่พูดว่า “ตอนนี้ข้าอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถพูดเช่นนั้นออกไปตรง ๆ ได้”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความเย็นชาพลันปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของนาง “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากเฟิงหลูหยางต้องการหาเรื่องเจ้า ข้าจะให้เขาจ่ายชดใช้ในราคาที่เขาไม่อาจทนได้ ข้าแค่หวังว่าเขาจะฉลาดขึ้นเล็กน้อยและหยุดก่อนที่มันจะเลยเถิดไปกว่านี้”

เฉินซีไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเห็นแล้วว่าเหลียงปิงไม่ต้องการคุยเรื่องนี้กับตน เพราะถึงอย่างไร พวกเขาสองคนก็ไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน ดังนั้นการพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ถ้ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ก็ค่อนข้างไม่เหมาะสมนัก

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอายุเท่าไร?” เหลียงปิงถามอย่างกะทันหัน

เฉินซีตกใจ ก่อนจะมองนางด้วยความสงสัยแล้วส่ายหัว

“ข้าได้พบกับอาหลีของเจ้าเมื่อ 1,936 ปีก่อน และข้ารับช่วงควบคุมกองกำลังของตระกูลเหลียงในพิภพยันต์อักขระต่อจากพ่อของข้าเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว”

เหลียงปิงกอดอกด้วยมือทั้งสองข้าง ขณะที่เสื้อผ้าซึ่งรัดรูปของนางทำให้ส่วนโค้งของรูปร่างและเอวที่เพรียวบางถูกเปิดเผยอย่างเต็มที่ ราวกับปีศาจที่เปี่ยมเสน่ห์ชวนสั่นคลอนหัวใจและจิตวิญญาณ

นางเม้มปากสีแดงมีเสน่ห์ของตนเองเบา ๆ ดวงตาใสของหญิงสาวจ้องมองไปยังระยะไกลและพูดอย่างเฉยเมย “หลายปีที่ผ่านมา ตลอดช่วงชีวิตของข้าได้เห็นอัจฉริยะอายุน้อยทุกประเภทจากภพเซียน ภพมนุษย์ และยมโลกมานับไม่ถ้วน แต่สุดท้าย ข้าก็พบว่าผู้ชายที่สามารถดึงดูดความสนใจของข้าได้จำต้องมีจุดสำคัญอย่างน้อยสองจุด แต่โชคไม่ดีที่จนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เคยเจอผู้ชายแบบนั้นเลย นายน้อยเฟิงหลูหยางจากภพเซียนผู้นั้นนับว่ายังห่างไกลอยู่มาก”

เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “สองจุดไหน?”

เหลียงปิงไม่ได้ปกปิดมันและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ประการแรก เขาจะต้องสามารถทำให้ข้ารู้สึกว่าถูกกดข่มได้ ประการที่สอง ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือความสามารถ เขาจะต้องอยูุ่เหนือกว่าและปราบข้าได้อย่างสมบูรณ์”

เฉินซีตกตะลึง เขาไม่เคยคาดคิดว่าเหลียงปิงจะมีความคิดแปลก ๆ ในการเลือกคู่ครองของตน การรู้สึกว่าถูกกดข่มนั้นสำคัญจริงหรือ?

เขารู้สึกว่าการรับรู้ของหญิงสาวดูค่อนข้างผิดปกติ…

จู่ ๆ นางก็หันกลับมามองเฉินซี “เจ้าจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ไปก็ได้”

ความหมายในคำพูดของนางคือ เจ้ายังห่างไกลจากสิ่งที่ข้ากล่าว และเป็นเพราะข้าไม่สนใจเจ้า หรือบางทีเพราะเจ้าทำให้ข้ารู้สึกสนใจไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่ข้าบอกสิ่งเหล่านี้กับเจ้า

ไม่ว่าเฉินซีจะเป็นคนโง่หรือไม่ คำถามนี้ก็ยังคงนับว่าโง่เขลาเกินไป

แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจสิ่งที่นางกล่าวดี จึงลูบจมูกในขณะที่คิดในใจด้วยความขบขันเล็กน้อย ‘ข้าไม่ได้นิสัยเสียขนาดนั้น ข้ายึดถือว่าผู้หญิงเป็นเป้าหมายที่ต้องพิชิต ถ้าอยากให้พิชิต มันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีอารมณ์ทำหรือไม่…’

“เจ้าสามารถอยู่ที่นี่และพักผ่อนได้เต็มที่ หากต้องการจะออกจากที่พัก เจ้าสามารถขอให้ลุงหลานไปกับเจ้าได้ แม้ว่ามณฑลจักรพรรดิตะวันออกจะเป็นอาณาเขตของข้า แต่ตอนนี้เพราะการเปิดตัวของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ทำให้ผู้คนทุกประเภทเข้ามายังเมืองนี้ ดังนั้นเจ้าควรระมัดระวังไว้หน่อยจะดีกว่า”

เหลียงปิงหยุดอยู่ตรงหน้าศาลาที่สร้างจากไม้ไผ่สีเขียวหยก จากนั้นนางจึงหันไปมองเฉินซี “ในใจของข้า เจ้าสำคัญกว่าคนอื่นมาก แน่นอน เจ้าไม่ควรเข้าใจผิดว่าข้าหมายความเป็นอื่น”

ทันทีที่พูดจบ เหลียงปิงพลันหันหลังกลับและจากไป

เฉินซียักไหล่ จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในศาลาหลังเล็ก หลังจากที่ร่างบางและสง่างามของเหลียงปิงหายลับไปจากสายตา

ภายในพื้นที่ที่มีภูมิทัศน์งดงามทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลจักรพรรดิตะวันออก

หลัวจื่อเซวียนยกยิ้มที่มุมปากของเขา ในขณะที่จ้องมองไปยังเหล่านายน้อยและคุณหนูจากภพเซียนที่กำลังดื่มกินอย่างสนุกสนาน

นายน้อยและคุณหนูจากภพเซียนเหล่านี้มีทั้งหมดห้าคน ชายสี่คน หญิงหนึ่งคน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นแขกผู้มีเกียรติที่หลัวจื่อเซวียนเชิญมาด้วยความยากลำบาก ทุกคนต่างก็เป็นตัวตนที่ยอดเยี่ยมจากภพเซียน และมีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ให้พึ่งพา

ดังนั้นหลัวจื่อเซวียนจึงได้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับลูกหลานเซียนเหล่านี้อย่างเต็มที่ และเกรงกลัวอย่างยิ่งว่าจะเผลอพลั้งละเลยพวกเขาไป

ตัวอย่างเช่น คฤหาสน์หรูหราที่อยู่ตรงหน้าแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นที่ตระกูลหลัวก่อสร้างขึ้น และถูกซ่อนไว้อย่างดีในมณฑลจักรพรรดิตะวันออก ถ้าไม่ใช่เพื่อความสำเร็จของปฏิบัติการครั้งนี้ หลัวจื่อเซวียนย่อมจะไม่ใช้ประโยชน์จากสถานที่นี้เด็ดขาด

เพราะถึงอย่างไร ที่นี่ก็คืออาณาเขตของตระกูลเหลียง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะทำให้ฐานที่มั่นแห่งนี้ถูกทำลายลงได้

“ศิษย์น้องหลัว เราจะไปหาผู้หญิงคนนั้นได้เมื่อไรหรือ?” ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมหลากสีงดงามยิ้มกว้างขณะที่ถามออกมา

“ศิษย์พี่หนาน โปรดอดใจรออีกสักสองวัน เราเพิ่งมาถึงมณฑลจักรพรรดิตะวันออก มันจึงไม่สายเกินไปที่ศิษย์พี่หนานจะลงมือ หลังจากที่ข้าตรวจสอบทุกอย่างแล้ว”

หลัวจื่อเซวียนตอบอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มในชุดคลุมหลากสีคนนี้มีชื่อว่าหนานซิ่วชง เป็นคนที่มีภูมิหลังและความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่คนทั้งห้านี้ จนแม้แต่ตัวเขาที่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลหลัว ทว่าหลัวจื่อเซวียนก็ยังไม่กล้าไม่เคารพอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

“โอ้?” หนานซิ่วชงยิ้มอย่างมีเลศนัยและพยักหน้า “เอาล่ะ เราจะเดินทางไปยังตระกูลเหลียงกันหลังจากที่ศิษย์น้องหลัวจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

หลัวจื่อเซวียนรีบขอบคุณอย่างรวดเร็ว

“แต่ข้าได้ยินมาว่าเหลียงปิงคนนั้นอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับอย่างนั้นหรือ?” ผู้หญิงที่เย็นชาและหยิ่งผยองที่อยู่อีกด้านหนึ่งกล่าวขึ้น

นางสวมชุดกงจวงสีฟ้าที่มีชายเสื้อที่ไม่เหมือนใคร มันมีลักษณะเหมือนกลีบดอกไม้ที่ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ คล้ายดอกบัวที่บานกลับหัว นางแต่งตัวเหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ รูปร่างหน้าตางดงามมาก แต่ปลายคิ้วและหางตากลับเย็นชาและเฉยเมยเสียจนไม่น่าเข้าใกล้

หัวใจของหลัวจื่อเซวียนสั่นสะท้าน แต่เขาพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้องแล้ว”

คุณหนูผู้นี้มีนามว่าเหวินเหรินเยี่ย ต้นกำเนิดของนางนั้นค่อนข้างลึกลับ ว่ากันว่านางเป็นลูกหลานของเผ่าโบราณในภพเซียน ก่อนหน้านี้หนานซิ่วชงถึงขนาดสั่งตัวเขาอย่างจริงจังว่าต้องปฏิบัติต่อหญิงสาวคนนี้อย่างดี และระมัดระวังเป็นพิเศษ

ดังนั้นเมื่อได้ยินนางถาม หลัวจื่อเซวียนจึงไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย

หนานซิ่วชงที่อยู่ใกล้เคียงหัวเราะเบา ๆ “เท่าที่ข้ารู้ แม่นางน้ำแข็งคนงามผู้นั้นมีอายุยืนยาวมานับพันปี ด้วยภูมิหลังของตระกูลเหลียง ทั้งทรัพยากรและเงินตรา การจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนลึกลับย่อมเป็นเรื่องปกติ”

“ฮ่า ๆ เช่นนั้นนางก็เป็นหญิงชราแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งหัวเราะเสียงดัง

คนอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

หลัวจื่อเซวียนที่ได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจและรำคาญ หากเหลียงปิงเป็นหญิงชรา แล้วเช่นนั้นเขาเป็นอะไร คนโง่ตาบอดที่ต้องการแต่งงานกับหญิงชราหรือไร?

“เจ้าคิดผิดแล้ว สำหรับผู้บ่มเพาะอายุย่อมไม่ใช่ปัญหา ยิ่งกว่านั้น ในภพเซียน ท่ามกลางบรรดาวัตถุโบราณที่มีอายุยืนยาวกว่าหมื่นปีเองก็มีสตรีที่งดงามดุจสาววัยเยาว์อยู่ไม่น้อย”

เหวินเหรินเยี่ยทัดผมสีดำขลับไว้ที่ข้างหูของนาง และพูดอย่างเฉยเมยว่า “โดยเฉพาะการบ่มเพาะของนางที่ท่ามกลางผู้คนในที่แห่งนี้ ยังไม่มีใครเทียบเคียงกับนางได้เลย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของคนอื่น ๆ พลันกลายเป็นน่าเกลียดเล็กน้อย

เหวินเหรินเยี่ยกำลังพูดความจริง แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการเคารพในฐานะลูกหลานของเซียน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเทียบกับเหลียงปิงได้เลย เนื่องจากเวลาในการบ่มเพาะที่สั้นกว่า แม้แต่หนานซิ่วชงซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังอยู่เพียงขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่เท่านั้น

“ฮึ่ม! ระดับการบ่มเพาะสูงแล้วอย่างไร? แม้นางจะอยู่ขอบเขตเซียนทองคำ นางก็ต้องยอมจำนนต่อพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ดี!” ชายหนุ่มแค่นเสียงเย็นและเย่อหยิ่ง

“ถูกต้อง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเริ่มทำสงครามกับตระกูลเหลียง ทว่าด้วยกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเราแต่ละคน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหลียงปิงต้องคิดคำนวณให้ดี ก่อนที่จะยอมจำนนโดยดุษณี” อีกคนหนึ่งพูดอย่างมั่นใจ

“พึ่งพาภูมิหลังของเราเพื่อรังแกผู้อื่น? เป็นความคิดที่ดี” เหวินเหรินเยี่ยพยักหน้าด้วยท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง ปราศจากความละอายอย่างสิ้นเชิง

สำหรับลูกหลานของเซียนเช่นพวกเขา มันคงเป็นเรื่องงี่เง่าหากมีอำนาจแต่ไม่ได้ใช้มัน

หลัวจื่อเซวียนลอบเห็นด้วยในใจ นายน้อยและคุณหนูจากภพเซียนเหล่านี้นับว่าไม่โง่ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็รู้ว่าสิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดคือพลังที่อยู่เบื้องหลัง

และสิ่งที่เขาให้ความสำคัญก็คือสิ่งนี้!

หนานซิ่วชงหัวเราะอย่างสบาย ๆ ขณะที่พูดอย่างไม่เร่งรีบ “เซียนลึกลับ? ฮ่า ๆ ถ้ามันเป็นการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายจริง ๆ มันก็ไม่แน่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”

คำพูดของหนานซิ่วชงเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเย่อหยิ่ง ราวกับเขาได้รับชัยชนะมาแล้ว

หลัวจื่อเซวียนตกตะลึง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองคนอื่น ๆ และพบว่าการแสดงออกของพวกเขาค่อนข้างผ่อนคลาย ทั้งยังดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ตัวหลัวจื่อเซวียนจะเข้าใจในทันทีว่า นายน้อยและคุณหนูจากภพเซียนเหล่านี้อาจถือไพ่ตายบางอย่างไว้กับตัว ซึ่งมันเพียงพอที่จะทำให้เซียนลึกลับอย่างเหลียงปิงต้องหวาดกลัว!

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลัวจื่อเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นี่คือความแตกต่างด้านทรัพยากรและความแข็งแกร่งของภูมิหลัง ในภพมนุษย์ ใครจะกล้าเผชิญหน้ากับเซียนลึกลับเช่นนี้กัน?

ไม่ต้องพูดถึงเซียนลึกลับ เพียงเซียนสวรรค์ก็ไม่มีใครกล้ารุกรานแล้ว!

ทันใดนั้น คนรับใช้ที่ยืนอยู่ไกล ๆ ผู้หนึ่งก็มองมาทางหลัวจื่อเซวียนอย่างมีความหมาย ทว่าเขาไม่ขยับหรือเปลี่ยนแปลงท่าที เพียงลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินผละออกมา

“พูด!” ท่าทางของหลัวจื่อเซวียนเปลี่ยนไปทันที เมื่อเผชิญหน้ากับคนรับใช้จากตระกูลของตนเอง เขาจึงเผยท่าทีเอาแต่ใจ เย่อหยิ่ง และเจ้ากี้เจ้าการออกมา

“นายน้อย ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าเหลียงปิงนำกองกำลังของนางไปทักทายชายหนุ่มผู้หนึ่งด้วยตัวเองทางด้านนอกเมือง เมื่อยามเที่ยงวันนี้ ดูจากรูปร่างหน้าตาของเขา คนผู้นั้นน่าจะเป็นเฉินซี” คนใช้พูดเสียงเบา

“เฉินซี?” หลัวจื่อเซวียนสับสน เขาจำชื่อนี้ไม่ได้

“เป็นสหายผู้ทำลายกลุ่มวิญญาณทมิฬในเมืองนกนางแอ่นแดงขอรับ” คนรับใช้อธิบาย “แม้เด็กคนนั้นจะอ่อนแอ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสำคัญต่อเหลียงปิงมาก บางทีในการปฏิบัติการครั้งนี้ เราอาจเริ่มจากเขา!”

“เป็นเขา!”

ดวงตาของหลัวจื่อเซวียนเป็นประกาย หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวก็พูดขึ้น “ไปตรวจสอบรายละเอียดของเด็กคนนี้มา ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิด และรายงานให้ข้าทราบทันทีที่มีโอกาส”

“ขอรับ!” คนรับใช้เดินออกไป

“เฉินซี…”

หลัวจื่อเซวียนตกอยู่ในความคิด ‘เขาเป็นเพียงเด็กน้อยระดับขอบเขตสถิตกายาผู้หนึ่ง แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากสุนัขตัวเมียเหลียงปิง? เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีความลับบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? แต่ไม่เป็นไร หลังจากที่ข้าจับเจ้าตัวน้อยนี่ได้ บางทีเราอาจจะค้นพบทุกอย่าง ถึงเวลานั้น เมื่อข้าไปเยือนหน้าประตูพร้อมนายน้อยจากภพเซียน นางยังจะกล้าปฏิเสธข้าอยู่อีกหรือไม่?’

ในเวลาเดียวกัน เทียบเชิญสีทองอันงดงามพลันปรากฏขึ้นภายในห้องของเฉินซี เขาประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเปิดออกดูชายหนุ่มก็เข้าใจในทันที ก่อนที่ความรู้สึกหมดหนทางจะปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาพร้อมความคิดสายหนึ่งในใจ…

ความสามารถในการควบคุมตนเองของสหายคนนี้ …ช่างย่ำแย่เสียเหลือเกิน!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท