บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 850 สถานการณ์ตึงเครียด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 850 สถานการณ์ตึงเครียด

บทที่ 850 สถานการณ์ตึงเครียด

รูปร่างของคนผู้นี้ไม่ได้สูงนัก เสื้อคลุมสีดำสนิทที่สวมใส่อยู่จึงทำให้เขาดูโดดเด่นสะดุดตา หากพินิจจากโครงร่างแล้ว เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นมนุษย์

ทว่าเมื่อสายตาของเฉินซีสบประสานกับดวงตาของบุคคลลึกลับนี้ อีกฝ่ายพลันรู้สึกตัวและจ้องกลับมายังเฉินซี!

ฉับพลันนั้นเอง เขารู้สึกราวกับตนเองกำลังตกลงไปในหุบเหวลึก หมดหนทางจะปีนป่ายขึ้นไปด้านบนเพื่อควานคว้าอากาศหายใจ ในที่สุด ชายหนุ่มก็จำต้องถอนสายตาออกมาตามสัญชาตญาณ

ตอนนั้น แผ่นหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น!

ในที่สุดเฉินซีก็ตระหนักได้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ขณะที่เขาเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารจากหมู่บ้านจินซางไปยังเมืองนกนางแอ่นแดง ชายหนุ่มเคยพบกับชายชุดดำผู้นี้มาก่อนครั้งหนึ่ง ตอนนั้น ชายในอาภรณ์ดำทมิฬนี้เพียงแค่สำแดงพลังออกมาเล็กน้อย ก็เกือบทำให้เขาถูกลากเข้าไปสู่หุบเหวอนธการ และหากไม่ใช่เพราะตัวเขาสามารถควบคุมรัศมีของตนไว้ด้วยพลังได้ วันนั้นเฉินซีก็คงจะตกตายไปแล้ว

ยามนั้น เขาประเมินไว้คร่าว ๆ ว่าชายผู้นี้จะเป็นเซียนสวรรค์หรือไม่ก็ยิ่งใหญ่กว่านั้น!

อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ายอดคนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะมาปรากฏตัวอย่างกะทันหันเพื่อช่วยเหลือหนานซิ่วชงให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเหลียงปิง หรือว่าพวกเขาจะเป็นพรรคพวกกัน?

การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของชายชุดดำ ทำให้ทุกคนที่อยู่บนระเบียงตกใจจนดวงตาเหลือกโปน แขกผู้ขี้ขลาดตาขาวบางคนเริ่มถอยห่างออกไปเงียบ ๆ

…ในเวลาไม่นาน ที่ระเบียงก็เหลือเพียงเหลียงปิง เฉินซี เถิงหลาน หลัวจื่อเซวียน และอีกไม่กี่คนเท่านั้น

เฉินซียืนอยู่ข้างกายเฟิงหลูหยาง พวกเขาถูกพาไปยืนอยู่ด้านหลังเถิงหลานที่กำลังโบกมือ

อีกฟากหนึ่ง หลังจากชายชุดดำช่วยเหลือหนานซิ่วชงได้สำเร็จ เจ้าตัวก็ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้าหลัวจื่อเซวียนโดยไม่พูดอะไร มีเพียงดวงตาเย็นยะเยือกที่แสนดุดันนั่นเท่านั้นที่กวาดตามองไปยังเหลียงปิงและเถิงหลานด้วยความรู้สึกซึ่งไม่อาจคลายใจ

“ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ… หลัวจื่อเซวียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะพยายามไม่น้อย” เหลียงปิงทอดสายตายังชายในชุดคลุมสีดำทั้งดวงหน้าเฉยเมย

“หึ! ช่วยไม่ได้ ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ความพยายามเพื่อสู่ขอเจ้า อีกอย่าง มันก็เป็นวิธีที่ดีในการแสดงความจริงใจไม่ใช่หรือ?” หลัวจื่อเซวียนพูดด้วยเสียงเย็นชา

“น่าเสียดายที่เจ้าลืมไปว่าที่นี่คือดินแดนของตระกูลเหลียงของข้า หาใช่มณฑลบรรพบุรุษอสูรของเจ้าไม่ หากข้าต้องการกำจัดพวกเจ้าทิ้งแล้ว ก็ไม่มีใครหยุดข้าได้!” เหลียงปิงพูดอย่างไม่ยี่หระ

“เป็นการตัดสินใจที่มีราคาแพงไม่น้อย” หลัวจื่อเซวียนเย้ยหยัน “เจดีย์ต้าเหยี่ยนกำลังจะเปิดในอีกสี่วันข้างหน้า เจ้ากล้าทำอะไรหุนหันในช่วงเวลาที่เปราะบางเช่นนี้จริง ๆ น่ะหรือ?”

หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลัวจื่อเซวียน ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและจิตสังหารอย่างไม่คิดปิดบัง “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าทุกคน ออกไปจากมณฑลจักรพรรดิตะวันออกเสีย อย่าบีบให้ข้าต้องลงมือ”

ชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจในสิ่งที่ได้ยินแม้แต่น้อย เขากลับตอบนางด้วยน้ำเสียงไม่รีบร้อน “ข้าแนะนำให้เจ้าแต่งงานกับข้าจะเป็นการดีที่สุด ตอนนี้ทั้งตระกูลกู่และตระกูลอินล้วนแต่สวามิภักดิ์ต่อข้าแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีผู้อาวุโสที่น่าเกรงขามอีกมากมายที่อยู่ฝั่งเดียวกับข้า หากเจ้ายังดื้อรั้นต่อไป มันก็รังแต่จะทำให้เรายิ่งบาดหมางกันเสียเปล่า ๆ ถึงตอนนั้น ผลที่จะตามมาก็หาใช่สิ่งที่เจ้าจะรับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมดได้!”

ทันทีที่พูดจบ หลัวจื่อเซวียนก็พาหนานซิ่วชง และคนอื่น ๆ ออกไปจากระเบียงพร้อมกับชายชุดดำ ก่อนจะหายวับไปในชั่วพริบตา

เหลียงปิงจ้องมองคนพวกนั้นจนกระทั่งลับสายตาไป ไม่นาน นานนางก็ได้พึมพำขึ้นมาเสียงเบา “เสียดายเหลือเกินที่ข้าไม่ฆ่าไอ้สารเลวนั่นตั้งแต่แรก”

เถิงหลานขมวดคิ้ว แววตาที่แฝงด้วยความเจ็บปวดของหญิงสาวทำให้ดวงตาของเขารื้นไปด้วยน้ำตา “คุณหนูใหญ่ ท่านทำได้ดีที่สุดแล้ว”

“สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก จากข้อมูลที่ข้าได้รับ หลัวจื่อเซวียนมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับอย่างน้อยสามคน หรือมากกว่านั้นอยู่ฝั่งเดียวกับเขา หากเขาร่วมมือกับตระกูลกู่และตระกูลอินแล้วละก็ ผลลัพธ์ที่ตามมาคงยากจะคาดเดา” เหลียงปิงส่ายหน้า บัดนี้ หญิงสาวผู้มีสัมผัสอันเด็ดเดี่ยวและมั่นคงกำลังแสดงความอ่อนไหวและอ่อนแอออกมาทางสีหน้า แม้มันจะเพียงชั่วขณะหนึ่ง ทว่าเฉินซีก็รับรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดเพียงไร นางหาได้ผ่อนคลายอย่างที่เห็นภายนอกไม่!

เนื่องจากการปรากฏตัวอย่างไม่ทันตั้งตัวของบุรุษชุดดำ เขาจึงไม่มีช่องว่างให้ขัดจังหวะ อย่างไรเสีย การต่อสู้กับคนระดับนั้นยังห่างไกลจากสิ่งที่คนคนเดียวอย่างเขาจะเข้าไปยุ่งได้

ทว่าตอนนั้นเอง ชายหนุ่มอดถามขึ้นมาไม่ได้ “เจดีย์ต้าเหยี่ยนอันตรายมากเพียงใด?”

เหลียงปิงชะงัก คล้ายไม่ได้เต็มใจจะพูดถึงเรื่องดังกล่าวในเวลานี้ “เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง ตอนที่ขึ้นไปบนเจดีย์ ก็เป็นเพียงการทดสอบความรู้ความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งยันต์อักขระเท่านั้น ไม่ได้มีอันตรายใด ๆ สิ่งที่น่ากลัวจะเกิดขึ้นก็หลังจากที่เจ้าขึ้นไปบนยอดเจดีย์แล้ว”

ขณะพูด สีหน้าของหญิงสาวก็เคร่งขรึมในทันใด เผยท่าทีเย็นชาและเย่อหยิ่งอย่างเคย นางมองไปยังเฟิงหลูหยางด้วยความเย็นชาก่อนพูดว่า “นายน้อยเฟิง สิ่งที่เจ้าทำวันนี้ทำให้ข้าผิดหวังมาก”

ใบหน้าของเฟิงหลูหยางเปลี่ยนสีไปมา ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า เหลียงปิงน่าจะรู้เรื่องทั้งหมดที่ตนเองทำ!

ชายหนุ่มพูดอย่างเร่งรีบ “อาปิง ฟังข้า…”

เหลียงปิงโบกมือขัดจัดหวะ “เจ้าเองก็ออกไปจากมณฑลจักรพรรดิตะวันออกเสีย ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าข้าหยาบคายเลย!”

พูดจบ หญิงสาวก็พาเถิงหลานกับเฉินซีจากไปด้วยลำแสงที่พาดผ่านระเบียง ทิ้งเฟิงหลูหยางกับข้ารับใช้สองคนไว้เพียงลำพัง

เขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกล้าตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดในคราวเดียว!

‘หรือว่าก่อนหน้านี้ข้าจะคิดผิดไป?’

‘เจ้านั่นเป็นแค่เพียงสหายเต๋าขอบเขตสถิตกายาไม่ใช่หรือ? ใครจะไปรู้เล่าว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งจนน่าตกใจเช่นนี้ หากข้ารู้มาก่อนมีหรือจะไปทำกับเขาเช่นนั้นกัน!?’

เฟิงหลูหยางคับแค้นใจจนรู้สึกมวนท้องไปหมด เมื่อเห็นว่าไม่มีที่ระบายก็ยิ่งโกรธเป็นเท่าทวี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็พลันบิดเบี้ยว

“นายน้อย แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ” เหวินจิวถามอย่างจริงจัง

“ไปกันเถอะ! ไปจากมณฑลจักรพรรดิตะวันออก!” ผู้เป็นนายกัดฟันกรอด “ในเมื่อเหลียงปิงกล้าตัดรอนข้า ก็จะหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้!”

สิ้นคำพูด โต๊ะที่อยู่ห่างจากขาเขาพลันถูกเตะจนกระเด็น ก่อนที่ตัวคนจะเคลื่อนไหวด้วยความเร็วประหนึ่งแสงที่พาดผ่านอากาศ

เหวินจิวกับเหวินเผิงต่างมองหน้ากันและกันไปมา ทั้งสองถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้และรีบไล่ตามผู้เป็นนายไป

คนทั้งสองสัมผัสได้ราง ๆ ว่านายของตนคงจะเกลียดเหลียงปิงเข้าให้แล้วหลังจากเหตุการณ์นี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางแล้วด้วยซ้ำ

ณ ห้องโถงใหญ่ในจวนจักรพรรดิตะวันออก

เถิงหลานลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยปากถาม “คุณหนูใหญ่ เฟิงหลูหยางเป็นศิษย์ของตระกูลเฟิงแห่งภูเขาแสงประเสริฐในภพเซียน อีกทั้งความสัมพันธ์ของตระกูลเขากับตระกูลเหลียงก็กลมเกลียวลึกซึ้ง ที่ท่านตัดสินใจเช่นนี้ดูจะ…”

“รุนแรงเกินไป?” เหลียงปิงตอบอย่างใจเย็น “การเก็บคนที่ขาดความรอบคอบ ขี้ขลาดตาขาว ทั้งยังเห็นแก่ตัวไว้ข้างกายนั้น หาได้มีประโยชน์อันใด สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นตัวภาระชิ้นใหญ่ของเราแทน”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ นางจึงเงยหน้ามองเฉินซีก่อนจะเอ่ย “ข้าจะพาเจ้ากับลุงหลานไปที่นครหลวงสี่จักรพรรดิเพื่อเข้าสู่เจดีย์ต้าเหยี่ยนในอีกสามวัน แน่นอนว่าเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพวกเรา”

เฉินซีถามเสียงประหลาดใจ “แค่พวกเราสามคนหรือ?”

“จะไปกี่คนก็ไม่ได้สำคัญอะไร ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะไม่ไปเลย” เหลียงปิงตอบอย่างไม่ยี่หระ ดวงหน้าของนางเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและมั่นใจ “แน่นอนว่าในภายหน้าเราจะต้องพบกับศัตรูที่รับมือยาก ดังนั้นสำหรับคนธรรมดาแล้ว มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่”

เฉินซีชะงัก เขาเห็นด้วยกับที่นางพูด อย่างไรเสีย นางก็เป็นถึงเซียนลึกลับที่มีพลังอันน่าเกรงขามยิ่งกว่าเซียนสวรรค์ การที่นางพูดเช่นนี้มีหรือเขาจะไม่เชื่อ?

เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องของตนเอง ขณะกำลังสำรวจปราณแท้ในร่างกาย

เหลือเวลาอีกสี่วัน เจดีย์ต้าเหยี่ยนก็จะถูกเปิดออก และเขาต้องการจะใช้ช่วงเวลาที่เหลือนี้ไปกับการปรับร่างกายให้เข้าสู่สภาวะสูงสุด

อันที่จริง แม้ว่าเหลียงปิงจะไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับการเดินทางไปยังเจดีย์ต้าเหยี่ยน ทว่าจากการสังเกตในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มก็รับรู้ผ่านการสำรวจผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมได้ว่าการแข่งขันนี้ดุเดือดเพียงไร

เหลียงปิงเป็นเซียนลึกลับ ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเหลียงแห่งมณฑลจักรพรรดิตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งพิภพยันต์อักขระ อีกทั้งนางยังมียอดฝีมือผู้ยากหาใครเทียบได้อย่างเถิงหลานอยู่เคียงข้าง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หญิงสาวก็ยังไม่อาจคลายความกังวลได้!

ในอีกฟากหนึ่ง ฝ่ายของหลัวจื่อเซวียนไม่เพียงประกอบด้วยตระกูลกู่กับตระกูลอิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งพิภพยันต์อักขระเท่านั้น แต่เขายังรวบรวมผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับได้ไม่น้อยกว่าสามคน การรวมตัวที่ยิ่งใหญ่นี้ ทำให้แม้แต่ตัวเฉินซีก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นแห่งความน่าสะพรึงกลัว

หากไม่ใช่เพราะหลียาง ศิษย์พี่ของเขาเป็นคนทิ้งเขาไว้ให้อยู่ฝั่งเดียวกับเหลียงปิง ชายหนุ่มก็คงรู้สึกว่าการเรียกหาขวัญกล้ายามที่ต้องเผชิญกับ ‘อีกฝ่าย’ ที่แข็งแกร่งเช่นนี้เป็นเรื่องยากยิ่ง

เมื่อจิตใจของเฉินซีกลับมาสงบและปลอดโปร่งได้ไม่นาน ชายหนุ่มจึงเริ่มกำหนดลมหายใจและทำสมาธิอีกครั้ง

ก่อนที่เขาจะเข้าสู่พิภพยันต์อักขระ การบ่มเพาะปราณแท้ได้มาถึงขอบเขตสถิตกายาขั้นสูงสุดแล้ว แม้แต่การขัดเกลากายาของเขาก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์

ซึ่งหากต้องการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง วิธีเดียวที่จะทำได้ก็คือเข้าไปในเจดีย์ต้าเหยี่ยน และเก็บเคล็ดวิชาลึกลับที่ถูกวางไว้บนยอดเจดีย์ ก่อนจะใช้มันเพื่ออำพรางสถานะ ‘สิ่งแปลกปลอม’ และหลีกเลี่ยงการตรวจพบของเต๋าแห่งสวรรค์ในโลกทั้งสามพันใบ

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การบ่มเพาะของเขาตกอยู่ในสภาวะคอขวด ไม่สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งไปมากกว่านี้ ดังนั้นเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ เขาจึงจำต้องเข้าไปในเจดีย์ต้าเหยี่ยน

ถึงอย่างนั้น แม้ว่าการบ่มเพาะของเฉินซีจะไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกพอใจ ด้วยอย่างน้อยก็ได้รับพลังธรรมเทพมาเป็นจำนวนมาก!

ปัจจุบัน แดนฮุ่นตุ้นของเขานั้นเรืองรองไปด้วยแสงทองธรรมเทพที่ไพศาล และเปี่ยมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ มันอาบไล้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบนิ่ง ร่มเย็น และเป็นระเบียบเรียบร้อย

ในขณะเดียวกัน ‘แก่นหัวใจ’ ซึ่งถูกหลอมรวมด้วยพลังลึกลับที่มาจากดวงจิตแห่งเต๋าของเขา ก็ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มันเต้นเป็นจังหวะที่มั่นคงประหนึ่งหัวใจอันแข็งแกร่งได้ถือกำเนิดขึ้นภายในนั้น

คล้ายมีอีกหนึ่งชีวิตก่อตัวขึ้นในแก่นหัวใจของเขา ยามใดที่พลังลึกลับจากดวงจิตแห่งเต๋าเพิ่มจำนวนขึ้น เมื่อนั้น ชีวิตนี้ก็จะถือกำเนิดและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

นี่คือความลึกล้ำของพลังธรรมเทพ มันเชื่อมโยงกับพลังลึกลับที่มาจากดวงจิตแห่งเต๋า ยิ่งชายหนุ่มมีพลังธรรมเทพมาเท่าไร พลังลึกลับก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งสองสิ่งส่งเสริมกันและกันได้อย่างน่าอัศจรรรย์

เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปสามวัน

เฉินซีซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิพลันลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาสงบนิ่งและลึกซึ้งประหนึ่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

ในตอนนี้เอง ชายหนุ่มพลันนึกถึงคำพูดของศิษย์พี่หลียางก่อนที่นางจะจากไปขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “การจะขึ้นไปบนเจดีย์ต้าเหยี่ยนนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้า”

เขาอยากรู้เหลือเกินว่าศิษย์พี่หญิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้พูดเช่นนั้น

หรือบางทีที่นั่นจะมีความลับบางอย่าง?

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยืนขึ้นและผลักประตูเปิดออก ภาพที่เขาเห็นคือเถิงหลานกับเหลียนปิงที่มารอเขาอยู่ที่นี่ได้สักพักใหญ่แล้ว!

วันนี้เหลียงปิงสวมชุดนักรบสีดำสนิทที่ดูไม่คุ้นตานัก ทว่ามันกลับส่งให้นางดูหาญกล้าและทะมัดทะแมง ดั่งดอกเหมยกุยสีดำแรกแย้ม ซึ่งเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและมั่นคง สร้างความรู้สึกสูงค่าและยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นในใจของผู้พบเห็น

การแต่งกายเช่นนี้เหมาะสมสำหรับการต่อสู้อย่างยิ่ง มันแตกต่างจากเสื้อผ้ารัดรูปหน้าตาประหลาดที่นางนิยมสวมใส่ เพราะมันรัดรูปและเผยเสน่ห์เย้ายวนเกินไป จึงไม่เหมาะกับการสวมใส่เวลาต่อสู้

“ไปกันได้แล้ว” เหลียงปิงมองไปยังเฉินซีและไม่ได้พูดอะไรอีก นางสะบัดมือขาวผ่อง ก่อนจะหยิบสมบัติอมตะระดับจักรวาล ‘กระสวยแสงเงิน’ ออกมา จากนั้นพวกเขาก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วอย่างแสงสีเงินทะลุผ่านผืนฟ้าและเลือนหายไปในชั่วพริบตา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท