บทที่ 863 ข้ามาช้าไป
บทที่ 863 ข้ามาช้าไป
เมื่อเฉินซีมาถึงชั้นแปดของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ทุกคนรวมถึงบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับต่างไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของชายหนุ่ม เนื่องจากเขากำลังยืนอยู่ในพื้นที่ว่างแห่งมิติ
พื้นที่ว่างแห่งมิติที่กว้างใหญ่นี้ทั้งลึกล้ำและดำสนิท มันเป็นข้อจำกัดที่น่ากลัวประเภทหนึ่งภายในเจดีย์ต้าเหยี่ยนที่อยู่ระหว่างชั้นแปดและชั้นเก้า หากไม่ได้อาศัยสมบัติอมตะอย่างไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนอมตะก็ยังยากที่จะก้าวผ่านไป
เฉินซีไม่ต้องการเปิดเผยร่องรอยของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ว่างแห่งมิติ พร้อมกับลอบสังเกตสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเจดีย์ชั้นที่แปดอย่างใจเย็น
เขาเห็นหลัวจื่อเซวียนกำลังระเบิดหัวเราะอย่างพึงพอใจขณะที่ตั้งใจจะจับตัวเหลียงปิงเอาไว้ พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มก็เห็นเถิงหลานได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการเข้าช่วยเหลือคุณหนูของตน ทว่าตอนนี้เฉินซีก็ทำได้เพียงพูดคุยกับหม้อใบจิ๋วเท่านั้น
ชายหนุ่มรู้ดีแก่ใจว่า ด้วยความแข็งแกร่งที่เขามีในตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับเลย เพียงแค่แรงกดดันที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากคนเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตเขาแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันและอันตรายเช่นนี้ มีเพียงพลังของหม้อใบจิ๋วเท่านั้นที่จะมอบโอกาสรอดชีวิตให้แก่เขาได้
กระนั้นคำตอบจากหม้อใบจิ๋วก็ทำให้หัวใจของเขามืดมน
เหตุผลนั้นง่ายมาก เจ้าหม้อใบจิ๋วบอกชายหนุ่มอย่างตรงไปตรงมาว่ามันเพิ่งฟื้นตัว ความแข็งแกร่งจึงด้อยกว่าเมื่อก่อนมาก ถึงจะจับมันขัดเกลาหรือให้กลืนกินสมบัติศักดิสิทธิ์เข้าไปมากมายเพียงไหนในตอนนี้ ก็ไม่อาจทำให้มันแข็งแกร่งมากพอจะรับมือกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับได้
มันทำได้เพียงช่วยเฉินซีให้ออกไปจากเจดีย์อย่างปลอดภัยเท่านั้น ส่วนการช่วยเหลือเหลียงปิงและเถิงหลานให้รอดพ้นจากเงื้อมมือคนพวกนั้นคงเป็นไปไม่ได้
หม้อใบจิ๋วปฏิเสธอย่างหนักแน่น ต่อให้จะยั่วยุให้โกรธแค่ไหนมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เฉินซีรู้ดี เจ้าหม้อใบจิ๋วใบนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าไร้ความรู้สึก
นอกจากเขาแล้ว มันไม่ได้แยแสต่อชีวิตของคนอื่น ๆ เลย
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีทำได้เพียงเลิกล้มความตั้งใจที่จะพึ่งพาหม้อใบจิ๋วเพื่อสู้กับหลัวจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ ทว่าเขาก็ไม่ได้ถอดใจที่เสาะแสวงหนทางในการช่วยเหลือเหลียงปิงและเถิงหลาน
หม้อใบจิ๋วก็คือหม้อใบจิ๋ว มันทำแค่หน้าที่ของตนเท่านั้น ส่วนเฉินซีก็คือเฉินซี เขาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายต่อความเป็นความตายของเหลียงปิงกับเถิงหลาน
ใช่ หากเขาพุ่งออกไปแล้ว ก็มีเพียงความตายที่รออยู่ เรื่องนั้นชายหนุ่มรู้ดี แต่ถึงอย่างนั้น พอได้เห็นหลัวจ้านเป่ยและคนอื่น ๆ กำลังจะจัดการคนทั้งสอง หัวใจของเขาก็สั่งให้พุ่งออกไปอย่างไม่ลังเล
ที่ทำไปก็เพราะหัวใจเรียกร้องเท่านั้น!
นี่แหละคือเฉินซี ชายผู้ปฏิบัติต่อศัตรูอย่างโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ต่อหน้าคนเหล่านั้นแล้ว เขาเป็นดั่งเทพสังหารผู้เยือกเย็น ทว่าสำหรับผู้เป็นสหาย เขาก็พร้อมที่แลกทุกอย่างเพื่อปกป้องเอาไว้
ชายหนุ่มตระหนักแก่ใจดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเหลือเหลียงปิงและเถิงหลาน อีกทั้งเขาอาจจะตายไปพร้อมกับคนทั้งสอง และชายหนุ่มก็ยังตระหนักดีว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือการอดทนรอให้ความแข็งแกร่งของตนกลายเป็นที่น่าเกรงขาม แล้วจึงค่อยกลับมาทวงแค้นให้แก่เหลียงปิงและเถิงหลานอีกครั้ง
แต่หากทำเช่นนั้น เขาไม่มีวันสงบใจไปชั่วชีวิต
เต๋าของชายหนุ่มนั้นไม่เหมือนใคร คนที่ทำเพียงเฝ้าดูเพื่อนของตนตายตกไปต่อหน้าต่อตา ไม่มีวันจะเป็นเฉินซีอย่างแน่นอน!
เพียงชั่วพริบตา หลัวจ้านเป่ยก็คำรามลั่นประหนึ่งสวรรค์ส่งสายฟ้าฟาดลงยังพื้นดิน เขาตรงเข้าไปคว้าที่ศีรษะของเฉินซีในทันที
การจับกุมครั้งนี้ช่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย ยิ่งเป็นมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่สามารถฉีกกระชากฟ้าดินออกจากกันด้วยแล้ว เพียงแค่กลิ่นอายของมันก็มากพอจะทำลายวิญญาณของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!
กระนั้น เฉินซีก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี หลังจากที่เขาฟันแขนของหลัวจื่อเซวียนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มก็หอบร่างของตนล่าถอยกลับไปข้างในพื้นที่ว่างแห่งมิติที่อยู่ทางด้านหลังในทันที
ปั้ง!
การโจมตีนี้ของหลัวจ้านเป่ยคล้ายกำลังปะทะกับหุบเหวลึก มันไม่สามารถทำลายสิ่งใดได้ด้วยสมบัติของพื้นที่ว่างแห่งมิติ แม้มันจะอยู่ห่างจากเฉินซีเพียงปลายเล็บ ทว่ากลับไม่อาจสร้างบาดแผลภายนอกให้ชายหนุ่มได้
แต่แม้เฉินซีจะหลบเลี่ยงการโจมตีครั้งนี้ได้สำเร็จ ทว่าแรงสั่นสะเทือนจากพลังโจมตีก็ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน เลือดซึ่งไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายสูบฉีดอย่างรุนแรงประหนึ่งถูกทุบอย่างหนักด้วยกระบองขนาดใหญ่ เขาแทบจะกระอักเลือดออกมา
นี่คือพลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ผู้เป็นยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป พวกเขาครอบครองกฎ และยิ่งใหญ่กว่าเซียนสวรรค์ หาใช่สิ่งที่พลังจากภพมนุษย์จะสามารถต้านทานได้!
“หืม? ไอ้บัดซบนี่มันจะโชคดีเกินไปแล้ว! ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าถึงความลึกล้ำของข้อจำกัดต่าง ๆ ที่อยู่ในเจดีย์แล้วสินะ อีกทั้ง เคล็ดวิชาที่อยู่ในชั้นสิบก็น่าจะตกเป็นของเจ้าแล้วจริง ๆ” หลัวจ้านเป่ยตกตะลึงเมื่อเห็นว่าตนโจมตีพลาดเป้า เขามองไปยังเฉินซีที่อยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าแห่งมิติและเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที บัดนี้ แววตาของเจ้าตัวไม่เพียงมีจิตสังหาร แต่ยังเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งโลภะ!
ทันใดนั้น เสียงตะโกนของเขาก็ดังขึ้น “สหายเต๋าน้อย รีบส่งเคล็ดวิชานั้นมาโดยเร็ว แล้วข้าจะทำให้ศพของเจ้ายังครบสมบูรณ์ มิฉะนั้น หากข้าลงมือเอง ผลที่ตามมาคงเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!”
หากไม่ใช่เพราะมิติที่กีดขวางไว้ เขาก็คงจะบดขยี้อีกฝ่ายทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าหากตนทุ่มสุดกำลัง พื้นที่ว่างแห่งมิตินี้ก็หาได้รับมือยากไม่ ทว่าสิ่งที่เขากังวลก็คือระดับการบ่มเพาะที่ต่ำต้อยของเฉินซีนั้นไม่คู่ควรแก่การทุ่มพลังอันมหาศาล
หากเขาฝืนลงมือ จะเป็นการยกยออีกฝ่ายเสียเปล่า ๆ
“ปล่อยพวกเขาไป แล้วข้าจะมอบเคล็ดวิชาให้แก่เจ้า ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครได้ไปทั้งนั้น!” น้ำเสียงของเฉินซีเฉยชาเช่นเดียวกับสีหน้าของเขา ชายหนุ่มไม่ได้หวั่นเกรงต่อคำขู่ของหลัวจ้านเป่ยแต่อย่างไร
“ไม่ได้นะ!” เหลียงปิงที่อยู่ไกลออกไปตะโกนขึ้นมา
ทว่าไม่นาน หญิงสาวก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก เถิงหลานนั้นได้รับบาดเจ็บหนักปางตาย ส่วนนางก็ใกล้จะหมดแรงเต็มที เรียกได้ว่าพวกเขาตกอยู่ท่ามกลางวิกฤตที่รายล้อมไปด้วยชายชุดดำ กู่จิ่วเจิน และอินปี้อวิ้น
“จะตายอยู่รอมร่อแล้วยังจะดื้อรั้นอยู่อีก!? เวรเอ๊ย! จับตัวเจ้าได้เมื่อไร ข้าจะทำให้เจ้าต้องอับอายจนถึงตายอย่างแน่นอน!” หลัวจื่อเซวียนพูดเย้ยหยัน มุมปากของเขาเหยียดยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
“บัดซบ! ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่ก็ยังดึงดันคิดจะต่อรอง เจ้านี่มันแยกแยะอะไรควรอะไรไม่ควรไม่ได้หรืออย่างไร!” หลัวจ้านเป่ยก่นด่าพร้อมด้วยคิ้วขมวด
“คำถามมีอยู่ว่าจะตกลงหรือไม่แค่นั้น” เฉินซียังคงสงบนิ่ง ปราศจากความเกรงกลัว
“เจ้ากล้าดียังไง! ข้าน่ะฆ่าพวกเด็กหนุ่มอย่างเจ้ามานับไม่ถ้วน! เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าต้องการเป็นคนต่อไป?” หลัวจ้านเป่ยชี้หน้าเฉินซีอย่างเดือดดาล จิตสังหารในดวงตาพลันวาววับดังอสนีบาต เจ้ามดปลวกตัวจ้อย คิดจะยั่วโทสะข้าไปถึงเมื่อไรกัน?
เฉินซีจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย
“ลุงสาม ท่านอย่าได้เปลืองน้ำลายไปกับเจ้าเด็กนั่นเลย ข้าจะมอบกระบี่สะบั้นเต๋าให้แก่ท่าน จงทำลายมิตินั่นและจัดการมันเสีย!” หลัวจื่อเซวียนคำรามพลางสะบัดข้อมือ เกิดเป็นแสงหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่บนมือของหลัวจ้านเป่ย
มันเป็นกระบี่สัมฤทธิ์โบราณที่มีหน้าตาธรรมดา ผิวสัมผัสของมันหยาบกระด้างเล็กน้อย ทว่าเมื่อมันตกไปอยู่ในมือของหลัวจ้านเป่ย มันกลับเปล่งกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมามหาศาล ราวกับมันจะสามารถฉีกกระชากมหาเต๋าและทำให้สวรรค์ตกอยู่ในความโกลาหล!
กระบี่สะบั้นเต๋า!
หนึ่งในสมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลซึ่งยิ่งใหญ่เทียบเคียงได้กับไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ ตราประทับเทพปฐพี และเจดีย์สยบพิภพ มันถูกครอบครองไว้โดยบรรพบุรุษอสูรหลัวซาง กฎแห่งเต๋าสวรรค์ภายในพิภพยันต์อักขระนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบี่สะบั้นเต๋า!
กระบี่สะบั้นเต๋าในมือของหลัวจื่อเซวียนถือเป็นของลอกเลียน แต่มันก็หาใช่สิ่งที่สมบัติอมตะทั่วไปจะเทียบเทียมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่มันมีร่องรอยรัศมีแห่งกระบี่สะบั้นเต๋าของจริงสถิตอยู่ภายในนั้น ก็ทำให้มันมีความลึกล้ำอย่างมาก และเพียงพอที่จะจัดการกับข้อจำกัดต่าง ๆ ภายในเจดีย์ต้าเหยี่ยนในระดับหนึ่ง
เฉินซีหรี่ตาลงเมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาดูเอาจริงเอาจังมากขึ้น
อีกด้านหนึ่ง หลัวจ้านเป่ยระเบิดเสียงหัวเราะที่ทรงพลังก่อนจะพูดว่า “ดี! ดีจริง ๆ! เจ้ามดปลวกสู้อุตส่าห์อดทนมาได้ถึงตอนนี้ การได้ตายด้วยกระบี่สะบั้นเต๋าก็นับเป็นวาสนาแล้ว!”
ขณะที่เจ้าตัวพูด เท้าทั้งสองก็ย่างกรายไปเบื้องหน้าพร้อมกับปราณเซียนที่สั่นสะเทือน ร่างกายของเขาผสานเข้ากับกฎ ส่งผลให้หลัวจ้านเป่ยดูคล้ายกับเทพผู้โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ก่อนที่กระบี่สะบั้นเต๋าในมือ จะพลันกลายเป็นลำแสงที่ตัดผ่าท้องฟ้ายามฟาดฟันลงมา!
ตู้ม!
พลังของสมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลยามอยู่ในมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับเป็นอย่างไรน่ะหรือ?
ก่อนหน้านี้ เฉินซีก็ไม่อาจให้คำตอบที่ชัดเจนได้ ทว่าตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ประสบกับมันด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่คมกระบี่มาไม่ถึงตัวเขาด้วยซ้ำ แต่มันกลับทำให้ร่างกายแข็งทื่อ พลังปราณหยุดไหลเวียนไปชั่วขณะ สภาพของเฉินซีในตอนนี้ไม่ต่างจากคนธรรมที่ดำดิ่งลงไปในห้วงทะเลลึก แม้เพียงการตะเกียกตะกายหาอากาศ ก็นับเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่แล้ว!
มันน่าสะพรึงเกินไป!
สยดสยองเกินพรรณนา!
ราวกับว่าเต๋าแห่งสวรรค์ และทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้สามารถถูกทำลายล้างได้ง่ายดายผ่านการตวัดกระบี่ แน่นอนว่ามันได้สร้างความสิ้นหวังให้แก่ผู้คนที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้
ปั้ง!
พื้นที่ว่างแห่งมิติถูกฉีกออกอย่างง่ายดาย ฉับพลันนั้น ปราณกระบี่ก็ฟาดฟันลงมา ทำให้เฉินซีรู้สึกว่าแม้แต่การขยับนิ้วก็เป็นเรื่องยากเย็น
“ผู้อาวุโส ท่านจะไม่ทำอะไรสักอย่างเลยหรือ!?” มีหรือที่เฉินซีจะยอมนั่งรอความตาย เขาหมายจะขอความช่วยเหลือจากหม้อใบจิ๋วนี้เพื่อหลบหลีกจากการโจมตีที่น่าสะพรึงขวัญเป็นการชั่วคราว
ม้อใบ
ทว่ามันกลับยังคงตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีการตอบสนองแม้เพียงนิด
ท่ามกลางช่วงเวลาวิกฤตนี้ เฉินซีไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ขึ้น ความรู้สึกที่แสนซับซ้อนหนึ่งผุดขึ้นมาภายในใจ
หรือว่าข้าจะต้อง…
ทันทีที่ความคิดนี้แวบขึ้นมา เฉินซีก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาถูกใครบางคนคว้าเอาไว้ และทำให้เขาหลีกพ้นจากภยันตรายที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ตึ้ง!
ปราณกระบี่ที่ถูกปลดปล่อยจากกระบี่สะบั้นเต๋าส่งเสียงดังกึกก้อง มันตัดผ่านพื้นที่ว่างแห่งมิติให้เกิดเป็นรอยแยกขนาดมหึมา พลังของมันรุนแรงประหนึ่งจะแยกหยินหยางออกจากกันพร้อมทั้งผ่าโลกทั้งใบ
เฉินซีตกใจมาก เขารู้ว่าหากตัวเขาถูกดึงออกไปช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เขาก็คงได้ตายสมใจจริง ๆ
“ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านเคลื่อนไหวแล้ว ก็อย่าแกล้งให้ข้าต้องกลัวเลย…” เฉินซียิ้มขมขื่น เขายังหวาดกลัวไม่หายเมื่อนึกถึงการโจมตีเมื่อครู่นี้
คงจะมีแต่ต้องเผชิญหน้ากับพลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับเท่านั้น ที่จะให้ได้เข้าใจลึกซึ้งว่ามันน่ากลัวเพียงไร
ทว่าหม้อใบจิ๋วก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
ชายหนุ่มอดสับสนไม่ได้ ทันใดนั้นเอง เสียงที่ไพเราะหนึ่งพลันดังขึ้นที่ข้างหู “ศิษย์น้องเล็ก ขอโทษด้วยที่ข้ามาช้าไปเสียหน่อย”
เมื่อเสียงที่คุ้นเคยนี้กระทบโสตประสาท ร่างกายของเฉินซีก็พลันแข็งทื่อก่อนจะเอี้ยวคอมองตามเสียง นัยน์ตาของเขาสะท้อนภาพของศิษย์พี่หลียางผู้มีใบหน้างดงามในชุดบุรุษเพศ ดวงตาที่กระจ่างใสและลึกล้ำของนางปรากฏแววตำหนิตัวเองฉายชัด นางตบไหล่ของเขาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกผิด
ทันใดนั้น เฉินซีที่กำลังกังวลก็ผ่อนคลายใจลง ราวกับว่าตราบใดที่หลียางอยู่ที่นี่ เขาจะไม่มีวันต้องเผชิญกับอันตรายใด ๆ แม้ฟ้าจะถล่มลงมาก็ตาม
ตอนนี้เอง บรรยากาศภายในชั้นที่แปดของเจดีย์พลันสงบนิ่ง
ทั้งชายชุดดำ กู่จิ่วเจิน และอินปี้อวิ้นหยุดการโจมตีในทันที แววตาของเหลียงปิงและเถิงหลานนั้นสว่างวาบด้วยความหวังอีกครั้ง ขณะที่หลัวจื่อเซวียนและหลัวจ้านเป่ยมีสีหน้าที่มืดมนด้วยความประหลาดใจและงุนงง
เนื่องจากทุกคนจดจำหลียางได้ทันทีที่สบตากับนาง นี่คือหญิงสาวที่เคยขึ้นไปบนยอดเจดีย์เมื่อสามพันปีก่อนไม่ผิดแน่!
ทำไมจู่ ๆ นางถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?
นัยน์ตาของหลัวจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ วูบไหวด้วยความคลางแคลง
“อย่ากังวลไป ทุกคนที่ทำให้เจ้าต้องขุ่นเคืองในวันนี้จะไม่มีใครหลบหนีไปได้” หลียางจรดปลายนิ้วของนางลงบนไหล่เฉินซี ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนประหนึ่งพี่สาวที่กำลังปลอบโยนน้องชาย
ทว่าเมื่อนางหันกลับไปเผชิญหน้ากับหลัวจื่อเซวียนและคนอื่น ๆ สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก!