บทที่ 869 ถือข้าเป็นศัตรู
บทที่ 869 ถือข้าเป็นศัตรู
“นี่คือแดนภวังค์ทมิฬหรือ?” ดวงตาที่สุกใสของเหลียงปิงกวาดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง นางอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม “อย่างที่คาดไว้ มันเป็นโลกที่กว้างใหญ่ซึ่งใกล้กับภพเซียนมากที่สุด อีกทั้งยังมีข้อจำกัดโบราณมากมาย และข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากที่ปลีกวิเวกอย่างสันโดษ”
“พวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหนเชียว?” เฉินซีระงับความคิดของเขาและเอ่ยถาม
“ข้าไม่แน่ใจ ข้าจะรู้ก็ต่อเมื่อเราต่อสู้กัน” เหลียงปิงตอบ
นางเป็นเซียนลึกลับ และได้บ่มเพาะญาณมหาเทวะอมตะตั้งนานมากแล้ว เพียงแค่กวาดออกไปเบา ๆ ก็สามารถตรวจสอบโลกใบเล็ก ๆ ได้ทั้งหมด แต่เมื่อมาถึงแดนภวังค์ทมิฬ หญิงสาวก็ต้องตระหนักว่า มีสถานที่บางแห่งที่ญาณมหาเทวะอมตะของตนไม่สามารถตรวจสอบได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แดนภวังค์ทมิฬนั้นกว้างใหญ่เกินไป และมีข้อจำกัดโบราณมากมายมหาศาล ทำให้นางไม่กล้าฝืนตรวจสอบ
เฉินซีกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “ไปกันเถอะ ตามข้ากลับไปที่นิกายของข้าก่อน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต่อสู้”
เหลียงปิงอดกลอกตาใส่เขาไม่ได้ “ข้าเป็นพวกที่ชอบสร้างปัญหาหรือไร?”
“ไม่แน่นอน” เฉินซีตอบอย่างจริงจัง จากนั้นเขาจึงหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าแค่กังวลว่าจะมีคนอื่นทำให้เจ้าขุ่นเคือง”
“ทำไมหรือ?” เหลียงปิงเลิกคิ้วขึ้น
“เพราะเจ้างามเกินไป” เฉินซียักไหล่
เหลียงปิงตกตะลึง ในขณะที่แววความโกรธค่อย ๆ รวมตัวกันในดวงตาที่สุกใส ในที่สุดหญิงสาวก็ตระหนักได้ว่า ยิ่งตนเองปล่อยให้เขากระทำตามอำเภอใจมากเท่าใด ตัวบัดซบนี่ก็ยิ่งไม่เกรงใจมากเท่านั้น ตอนนี้เขากล้าเย้าแหย่นางต่อหน้าแล้วจริง ๆ!
“อย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าเพียงกล่าวความจริง” เฉินซีสังเกตเห็นว่าสถานการณ์คล้ายไม่ค่อยดี เขาจึงรีบอธิบายทันที “แม้แต่เจ้าก็รู้ดีว่าการงดงามเกินไปบางครั้งก็เป็นบาป และเป็นเรื่องง่ายสำหรับบางคนที่จิตอกุศลจะทำเรื่องเลวร้าย”
เหลียงปิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ แต่ในใจของนางกลับเป็นทุกข์ หญิงสาวสงสัยมากว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงต่อหน้าตัวบัดซบน้อยคนนี้ และไม่สามารถทุบตีหรือดุด่าเขาได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับนางจริง ๆ!
…
เมื่อมีเหลียงปิงอยู่ด้วย เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ เทือกเขาที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองตั้งอยู่ ก็ปรากฏตรงหน้าของเฉินซี
แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้ชายหนุ่มตกใจอย่างมาก เทือกเขาที่อยู่ตรงหน้าเขาได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิง ภูเขานับไม่ถ้วนต่างถูกปกคลุมด้วยม่านพลังที่มีรูปร่างเหมือนเปลือกไข่
เฉินซีรู้สึกได้ถึงปราณวิญญาณ ปราณที่น่าสะพรึงกลัว ปราณเซียน และกระแสลมที่ทรงพลังต่าง ๆ ได้หลอมรวมเข้ากับม่านพลังอย่างไม่หยุดยั้ง
มีศิษย์จำนวนมากพุ่งทะยานอยู่ภายในเทือกเขาของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง บ้างก็กำลังหลอมโอสถ บ้างกำลังตีกระบี่ หรือบางคนกำลังต่อสู้และขัดเกลาฝีมือกันและกัน ทั่วทั้งนิกายเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียดและวุ่นวาย ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เงียบสงบ และปราศจากความกังวลเช่นเมื่อก่อน ราวกับมันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“เป็นค่ายกลเซียนที่ทรงพลังมาก” เหลียงปิงจ้องมองมันสักพัก ก่อนจะกล่าวว่า “นี่คือนิกายที่เจ้าเข้าร่วมหรือ? แม้ว่ามันจะน่าเกรงขาม แต่ก็ด้อยกว่าเขาเทพพยากรณ์มาก” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“นี่คือภพมนุษย์ หาใช่ภพเซียนไม่” เฉินซีรีบแก้ต่าง
“โอ้ ข้าลืมไปว่าเจ้ามีพลังแค่ขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น และการเข้าร่วมนิกายนี้เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจจริง ๆ” แม้ว่าเหลียงปิงจะแสดงความเข้าใจ แต่ท่าทางของนางยังคงเย็นชา หญิงสาวไม่ได้แสดงความเคารพแม้แต่น้อยเมื่อกล่าวถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
นี่คือความหยิ่งผยองของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับในพิภพยันต์อักขระ สถานะของนางเหมือนกับเป็นจ้าวเหนือหัวที่ควบคุมโลก ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ให้ความสนใจกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมากนัก
แน่นอนว่าเฉินซีเข้าใจเรื่องนี้ และไม่ได้โต้เถียงกับเหลียงปิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็บินไปที่ทางเข้าของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
“เจ้าคือใคร? รีบแจ้งนามซะ!” เฉินซีไม่ได้ปกปิดรูปร่างของเขา ถึงอย่างไร เขาก็เป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และมีอำนาจเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก ดังนั้นสถานะของชายหนุ่มจึงสูงส่ง แต่เมื่อเข้าใกล้ทางเข้าของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ศิษย์สองสามคนพลันบินออกมาจากภายในม่านพลังทันที
หนึ่งในนั้นตะโกนใส่เฉินซี “สำนักกระบี่เก้าเรืองรองของข้าต้องเตรียมงานสำคัญในเดือนนี้ ดังนั้นเราจึงปิดประตูไม่ให้ผู้บุกรุกและแขกทุกคนเข้ามา สหายเต๋าเอ๋ย โปรดรีบจากไปเถิด”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เหลียงปิงมองไปที่เฉินซีด้วยท่าทางแปลก ๆ เพราะระหว่างทางที่มาที่นี่ นางได้ยินเฉินซีกล่าวว่าเขาเป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และมีสถานะสูงส่ง แต่เหตุใดศิษย์ที่เฝ้าทางเข้านิกายจึงจำเขาไม่ได้?
เฉินซีก็ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นสายตาของเขากวาดไปรอบ ๆ เล็กน้อย สังเกตว่าการบ่มเพาะของศิษย์เหล่านี้อยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และการบ่มเพาะของพวกเขาอาจถือว่าไม่เลว แต่ใบหน้าของพวกเขากลับไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะเข้าร่วมนิกายเมื่อไม่นานมานี้
แต่ชายหนุ่มไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องแปลก เพราะนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะต้องเริ่มเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน หากกลียุคของทั้งสามภพใกล้อุบัติ ดังนั้นนิกายจึงเริ่มขยายกองกำลัง
“ข้าชื่อเฉินซี นี่คือตราคำสั่งของข้า” เฉินซีตวัดนิ้วของเขา ทำให้ป้ายคำสั่งกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
“ท่านว่ากระไรนะ? ท่านคือผู้อาวุโสเฉินซี?” ทันทีที่เหล่าศิษย์ได้ยินสิ่งนี้ และพินิจป้ายคำสั่งในมือ คนทั้งหมดต่างก็จะตกใจ และใบหน้าแสดงท่าทางระแวดระวังออกมา
“หืม?”
เฉินซีขมวดคิ้ว รู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้ชายหนุ่มถือได้ว่าเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬก็รู้จักเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ชื่อเสียงของเขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาในท้องฟ้ายามเที่ยง
แต่เมื่อศิษย์เหล่านี้เห็นเขาในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ทักทายด้วยความเคารพเท่านั้น พวกเขายังแสดงท่าทีระแวดระวังอีกด้วย “หรือว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในนิกาย?”
ทันใดนั้น ความคิดมากมายแวบขึ้นมาในใจของเฉินซี และสีหน้าของเขาก็มืดมนเล็กน้อย เพราะมีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น และมันแตกต่างจากปกติ!
เฉินซีกลับมาอย่างตื่นเต้น แต่กลับถูกปิดประตูใส่หน้า และถึงขนาดที่ศิษย์เหล่านี้แสดงความระแวดระวังต่อเขามากขนาดนี้ หลังจากค้นพบตัวตนของเขา ทั้งหมดนี้มันน่าผิดปกติเกินไป!
“ไปกันเถอะ พวกเขาเป็นเพียงศิษย์ที่ไม่รู้เรื่อง ข้าไม่ได้คาดหวังให้เจ้าเห็นข้าทำตัวเองอับอาย” เฉินซีหันกลับมา และมองไปที่เหลียงปิง ก่อนจะทะยานไปทางนิกาย เขาต้องการดูว่าใครกล้าขัดขวางเขา!
เหลียงปิงย่อมไม่คัดค้าน จากนั้นนางก็ไล่ตามเขาอย่างใกล้ชิด
หนึ่งในนั้นคือตัวตนที่ท้าทายสวรรค์ในขอบเขตสถิตกายาขั้นสมบูรณ์ ในขณะที่อีกคนนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า และนางเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ซึ่งยอดเยี่ยมและน่าเกรงขามยิ่งกว่าเซียนสวรรค์
ในทันทีที่พวกเขาเคลื่อนตัวออกไป กลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ทำให้เหล่าศิษย์ที่เฝ้าประตูทางเข้าหวาดกลัวจนสีหน้าของพวกเขาซีดเซียว และรีบซ่อนตัวในม่านพลังที่ปกคลุมท้องฟ้า
“บัดซบ!”
“มีศัตรูบุกรุก! มีศัตรูบุกรุก!”
หลังจากที่ศิษย์เหล่านั้นเข้าสู่ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ พวกเขาก็ตะโกนออกมาซ้ำ ๆ โดยตั้งใจที่จะเตือนทุกคน ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ!
“ศัตรูบุกหรือ?”
เฉินซียิ่งโกรธเมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ ในเวลาเดียวกัน เขายิ่งแน่ใจว่า ช่วงที่ตนเองไปจากนิกาย จะต้องมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
ปัง!
เขายื่นมือออกไปและคว้าจับ ทำให้มวลพายุที่น่าสะพรึงกลัวมาบรรจบกันที่ฝ่ามือ และมันได้กลายเป็นมือมหึมาที่ก่อตัวขึ้นจากพายุ ก่อนที่มันจะคว้าตรงไปยังม่านพลังที่ปิดผนึกนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเอาไว้
ทันใดนั้น ม่านพลังเริ่มสั่นอย่างรุนแรงและส่งเสียงกึกก้องที่ฟังดูเหมือนเสียงฟ้าร้องนับไม่ถ้วน ซึ่งแรงทำลายของมันก็น่าตกตะลึงยิ่ง!
ด้วยพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของเฉินซี การโจมตีของเขาครั้งนี้เพียงพอที่จะทำลายภูเขานับพันลูก เผาผลาญแอ่งน้ำจนแห้งเหือด และการทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปนั้นง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับค่ายกลป้องกันที่ยิ่งใหญ่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พลังทำลายมันกลับไม่เพียงพอและสลายไปทันที
“หากข้าจำไม่ผิด นี่คือค่ายกลเซียนโบราณ มันเชื่อมต่อกับฟ้าดินและกักเก็บเบญจธาตุไว้ อีกทั้งยังอาศัยพลังจักรวาล เพื่อคงสภาพการทำงานของมัน หากเป็นเซียนสวรรค์ทั่วไป พวกเขาจะถูกขังอยู่ในนั้นเช่นกัน” เหลียงปิงกล่าวจากด้านข้าง “เจ้าต้องการให้ข้าทำลายมันหรือไม่?”
คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น ก่อนเขาจะส่ายศีรษะเป็นเชิงบอกว่าไม่จำเป็น ในเวลาเดียวกัน ที่หว่างคิ้วของชายหนุ่มพลันมีดวงตาแนวตั้งเปิดออก จากนั้นเขาก็เริ่มตรวจสอบมันด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มพลันสว่างวาบ ในขณะที่เขากล่าวว่า “ตามหลังข้ามา เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ”
เหลียงปิงตกตะลึง ผ่านไปนานแค่ไหนกัน? แต่เขากลับมองเห็นจุดอ่อนของค่ายกลเซียนโบราณนี้แล้ว?”
“บังอาจ!”
“ไอ้โจรชั่ว! เจ้ากล้าบุกรุกนิกายอย่างอุกอาจได้อย่างไร! เจ้ารนหาที่ตาย!”
“นั่นไม่ใช่โจรชั่ว นั่นคือผู้อาวุโสเฉินซี…”
“ข้ารู้!”
ในขณะนี้ ศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งได้พุ่งเข้ามาปรากฏตัวเบื้องหลังค่ายกลใหญ่ และพวกเขาต่างก็ก่นด่าเฉินซีจากด้านหลังม่านพลังอย่างไม่รู้จบ
ฟิ้ว!
ในช่วงเวลาต่อมา พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างแวบเข้ามาต่อหน้าต่อตา จากนั้นมีร่างสองร่างปรากฏขึ้น มันทำให้ศิษย์เหล่านั้นตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า ค่ายกลใหญ่คุ้มนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายของพวกตนจะถูกทะลวงผ่านอย่างง่ายดาย!
“เร็วเข้า! รีบรายงานให้ผู้อาวุโสทราบโดยเร็ว…” มีศิษย์คนหนึ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่สุด และเขาร้องออกมาเสียงแหลม
โครม!
แต่เสียงของเขาที่เพิ่งจะดังก้องออกไปกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน ร่างกายดูราวกับถูกภูเขาลูกมหึมากดทับอย่างรุนแรง จึงจำต้องคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับเสียงดังตุบ ตัวคนเหมือนคางคกที่นอนแผ่อยู่บนพื้น ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้
“ต่อต้านและล่วงเกินผู้อาวุโสของเจ้า! บอกข้ามาซะ นิกายกำลังจัดงานที่ยิ่งใหญ่อันใดกัน!? ไฉนเจ้าถึงกล่าวหาว่าข้าเป็นโจรชั่ว ทั้งที่รู้ตัวตนของข้าแล้ว!?” ใบหน้าของเฉินซีน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของเขาทอประกายเยียบเย็นในขณะที่กวาดสายตาใส่เหล่าศิษย์ ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าร่างกายหนาวสั่น จนแม้แต่หายใจยังลำบาก!
ทุกคนมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครตอบ
เฉินซียิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้ และทันใดนั้นเขาก็คำรามออกมา ราวกับเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน มันสั่นสะเทือนจนวิญญาณของศิษย์เหล่านั้นเกือบจะพังทลายและหลุดออก ขาของพวกเขาสั่นสะท้าน จากนั้นก็เกิดคลื่นกระแทก ขณะที่ทุกคนล้มลงคุกเข่าบนพื้น
“อย่าโทษข้าที่จะลงโทษพวกเจ้าทั้งหมดตามบทลงโทษของนิกาย หากพวกเจ้ายังไม่ตอบข้า!” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ในที่สุด ศิษย์ที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเยียบเย็นก็กล่าวตะกุกตะกักว่า “ผู้อาวุโส…ผู้อาวุโสเฉินซี เราไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจ นี่เป็นคำสั่งของนิกาย และเราไม่รู้เหตุผลเบื้องหลัง”
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น ในขณะที่สายตาของเขากวาดผ่านคนอื่น ๆ ด้วยจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ทำให้ชายหนุ่มสามารถระบุได้ทันทีว่าศิษย์คนนี้ไม่ได้โกหก
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งขุ่นเคืองและไม่พอใจ
“พวกเขาถือว่าข้าเป็นโจรชั่ว โดยไม่มีเหตุผลจริงหรือ?”
สิ่งที่เป็นกังวลที่สุดสำหรับเขาก็คือ หลิงไป๋และคนอื่น ๆ บนยอดเขาจรัสตะวันตกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน จะได้รับผลกระทบหรือไม่?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้อีกต่อไป และร่างของเขาก็พุ่งไปทางยอดเขาจรัสตะวันตกทันที
เมื่อครั้งล่าสุด หลิงไป๋กับมู่ขุยต้องทนทุกข์กับการกดขี่ของเยว่ฉือ เพราะเขาไม่อยู่ และถูกบีบจนต้องหนีออกจากนิกายและเกือบจะถูกสังหาร ในขณะที่หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ถูกจับไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ ซึ่งพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานและเกือบเสียชีวิต
ครั้งนี้เขาจากไปเพียงปีเดียว แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรู เมื่อกอปรกับเหตุไม่คาดฝันนี้ แล้วเฉินซีจะยังคงสุขุมและสงบนิ่งต่อไปได้อย่างไร?
แต่ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ลำแสงสายหนึ่งพลันพุ่งมาจากฟากฟ้าไกล และแม้ว่าบุคคลนั้นจะยังมาไม่ถึง แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากระยะไกล “เฉินซี โปรดสงบสติอารมณ์ เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!”
ขณะที่กล่าว นางก็มาถึงแล้ว เป็นหญิงสาวสวมชุดสีแดงเพลิงผู้มีรูปลักษณ์ที่งดงาม ที่แท้นางก็คืออันเคอ ศิษย์น้องของอันเวย!
“พวกเขาถือข้าเป็นศัตรูแล้ว มันจำเป็นต้องคิดถึงเรื่องอื่นด้วยหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ที่ชายหนุ่มยังสงบสติอารมณ์ได้ ก็เพราะอีกฝ่ายคืออันเคอ ซึ่งหากเป็นคนอื่นเขาคงไม่สนใจคนผู้นั้น และคงพุ่งเข้าใส่ไปแล้ว