บทที่ 887 จันทราคำรามแห่งความตาย
บทที่ 887 จันทราคำรามแห่งความตาย
สมรภูมินี้อยู่ในพื้นที่รอบนอกของแคว้นต้าเยี่ยน และอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าเมืองผาวารี
ในขณะนี้ มีผู้บ่มเพาะจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังป้องกันกำแพงเมืองที่สูงถึงสองลี้ของเมืองผาวารี สมบัติวิเศษและศาสตร์เต๋ามากมายได้ซัดกระหน่ำออกมาดุจคลื่นยักษ์ กวาดทะยานไปทั่วฟ้าดิน บังเกิดเป็นแสงที่เจิดจรัสอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ในขณะที่ศัตรูของพวกเขาคือพวกคนจากต่างพิภพที่มีมากมายมหาศาล!
คนพวกนั้นสวมชุดเกราะสีดำ ควบขี่สัตว์ร้ายแปลกประหลาดที่มีสีดำสนิทและมีรูปลักษณ์ดุร้าย พวกมันเหมือนมวลเหล็กกล้าที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองผาวารี
ฝนเลือดโปรยปรายลงมา!
เสียงร้องโหยหวนที่สั่นสะเทือนท้องฟ้า!
สภาพแวดล้อมถูกปกคลุมด้วยฉากอันน่าสยดสยองราวกับนรกอเวจี เลือดชโลมผืนดินจนเป็นสีแดง ในขณะที่ซากศพกองเกลื่อนกลาดอยู่ทั่ว พวกเขากำลังต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก และผู้คนต่างล้มตายอยู่ตลอดเวลา
นี่เป็นฉากที่เฉินซีสังเกตเห็นได้ในแวบแรกเมื่อเขายืนอยู่ที่ท้ายเรือ
ถึงขนาดที่ชายหนุ่มตัดสินได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียวว่า กองทัพต่างพิภพกลุ่มนี้มีกำลังพลทั้งหมดแสนคน สามพันคนเป็นตัวตนระดับผลึกม่วง แปดพันคนเป็นตัวตนระดับทองคำ สามหมื่นคนเป็นตัวตนระดับเงิน ห้าหมื่นคนเป็นตัวตนระดับทองสัมฤทธิ์ และที่เหลือคือตัวตนระดับเหล็กนิล
โดยสิ่งที่ที่โดดเด่นที่สุดอยู่ห่างจากเมืองผาวารีไปเจ็ดร้อยห้าสิบลี้ เป็นบัลลังก์ทั้งเจ็ดที่วิจิตรงดงามและโออ่าซึ่งประดับประดาด้วยอัญมณีมีค่ากำลังลอยอยู่ที่นั่น
ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเจ็ดคนได้นั่งอยู่บนบัลลังก์เหล่านี้ มีทั้งบุรุษและสตรี แก่ชราและอ่อนวัย พวกเขาทั้งหมดสวมเสื้อผ้าที่หรูหรา เผยให้เห็นท่วงท่าที่สง่างาม และเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพถึงเจ็ดคน!
ระดับแม่ทัพเทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพี
แม้ว่ากองทัพจากต่างพิภพจะมีขนาดใหญ่ มันก็ยังด้อยกว่ากองกำลังของหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เพียงพอที่จะกวาดล้างกองกำลังชั้นยอดในแดนภวังค์ทมิฬได้
แคว้นต้าเยี่ยนเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ แคว้นของแดนภวังค์ทมิฬ และกองกำลังที่อยู่ภายในนั้นก็ด้อยกว่าแคว้นหวงเหลียงด้วยซ้ำ มันมีกำลังพลชั้นยอดเพียงสามกองกำลัง และส่วนใหญ่เป็นกองกำลังชั้นสอง หรือกองกำลังขนาดเล็กเช่นสำนัก
เมื่อเผชิญกับแรงกดดันของกองทัพต่างพิภพซึ่งอยู่ที่ชายแดนของแคว้นต้าเยี่ยน ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาร่วมมือกันต่อสู้อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ก็คงไม่มีทางที่พวกเขาจะยืนหยัดอยู่ได้ถึงครึ่งวัน และสาเหตุที่เป็นเช่นนี้มันก็ไม่มีเหตุผลอื่น… นอกจากพลังของพวกเขาแตกต่างกันเกินไป
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะกล่าวว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพระดับแม่ทัพทั้งเจ็ดนั้นสามารถกวาดล้างได้ทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยน!
“สถานการณ์เลวร้ายมาก!”
นี่เป็นสิ่งที่เฉินซีตัดสินใจได้ทันที
ในขณะนี้ มีกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากกองทัพต่างพิภพซึ่งมุ่งตรงมายังพวกเขา และมันกำลังเข้าใกล้เรือเหาะสมบัติ
มีทั้งหมดแปดสิบคนในกลุ่มนี้ พวกมันต่างสวมชุดเกราะสีดำและอยู่ในระดับทองคำ มีเพียงผู้นำเท่านั้นที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วง พวกมันมาที่นี่พร้อมกับจิตสังหาร ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันจะยึดถือเฉินซีและคนอื่น ๆ เป็นผู้ช่วยเหลือจากต่างแคว้น
“วางอาวุธแล้วยอมจำนนซะ ยอมเป็นทาสแล้วจะไว้ชีวิต!”
“วางอาวุธแล้วยอมจำนนซะ ยอมเป็นทาสแล้วจะไว้ชีวิต!”
เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากกลุ่มคนต่างพิภพ น้ำเสียงของพวกเขาแปลกประหลาดและตะกุกตะกัก แฝงจิตสังหารไว้ในน้ำเสียง
ทว่าใบหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาเพียงแค่โบกมือให้มู่ขุย
มู่ขุยหมดความอดทนมานานแล้ว ดังนั้นดวงตาที่เหมือนระฆังทองเหลืองของเขาจึงฉายแววอำมหิตและโหดเหี้ยมทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ ร่างกายที่กำยำของอีกฝ่ายพุ่งออกมาจากเรือเหาะสมบัติทันที มือขวาที่ใหญ่และหนาราวกับพัดหางนกยูงถือกระบี่เซียนขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนดาบสองคม ซึ่งยาวและกว้างราวสี่ฉื่อ ตัวคนเหมือนเทพยักษ์ขณะที่คำรามว่า “ไอ้สารเลว! กระบี่ของข้ากระหายเลือดจนเกินจะทนมานานแล้ว! รีบไสหัวเข้ามาตายซะ!”
วูบ!
ท่ามกลางเสียงคำรามราวฟ้าร้อง มู่ขุยได้เหวี่ยงกระบี่มหึมาออกไป ปรากฏเป็นปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีความยาวสองลี้ฟันลงมา ประหนึ่งภูเขาที่พุ่งผ่านท้องฟ้ากำลังกระแทกลงมาอย่างรุนแรง
พรวด! พรวด! พรวด!
ในชั่วพริบตา กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพแปดสิบคนเป็นเหมือนพืชผลที่ถูกเหยียบย่ำอย่างรุนแรง พวกเขาถูกฟันจนแหลก เลือดโปรยปรายลงมาดุจสายฝน ในขณะที่แขนขาขาดวิ่นปลิวไปทั่วบริเวณ หลายสิบคนนั้นไม่มีโอกาสที่จะกรีดร้องโหยหวน และพวกเขาก็ถูกบดขยี้เป็นก้อนเลือด
มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงเท่านั้นที่เห็นว่าสถานการณ์เลวร้าย แต่ก็แทบจะไม่สามารถหลบหลีกได้ ทำให้สีหน้าของเจ้าตัวซีดเผือด ขณะที่ลูกตาของเขาก็แทบจะถลนออกมา!
กระบี่นี้น่ากลัวเกินไป!
แต่มู่ขุยกลับไม่พอใจอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอายอย่างมากที่ปล่อยให้มีศัตรูรอดชีวิตจากโจมตีนี้ไปได้
เขากัดฟันและจ้องมองไปยังผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วง ก่อนที่จะคำรามว่า “ไอ้สารเลว! เจ้ากล้าดียังไงถึงหลบกระบี่ข้า!?” ท่ามกลางเสียงตะโกน เขาเงื้อกระบี่เซียนขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนต้นไม้ ก่อนจะฟันลงมาอีกครั้ง
มันทั้งเรียบง่าย รุนแรง และแฝงไปด้วยกลิ่นอายอำมหิต
ปัง!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงเพิ่งได้โอกาสควักสมบัติวิเศษรูปทรงง้าวออกมา แต่มันกลับถูกกระบี่นี้ฟันจนหักเป็นชิ้น ๆ ขณะที่ร่างกายก็รู้สึกราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากภูเขาลูกมหึมา จนกระดูกในร่างแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่สุดท้ายร่างกายของผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงจะระเบิดกลายเป็นก้อนเนื้อ เป็นฉากการตายที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง!
ในเวลาไม่กี่อึดใจ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพกลุ่มนี้ก็ถูกทำลายล้างจนสิ้น!
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ แต่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาเลือกนั้นร้ายกาจเกินไป ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเอาไข่ไปกระทบหินเลย
ทันใดนั้น สายตาของเหล่าคนหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้าซึ่งจ้องไปที่มู่ขุยก็เปลี่ยนไป “ท่านลุงอสูรหมาป่าคนนี้ร้ายกาจมาก!”
มู่ขุยเริ่มหัวเราะไม่หยุดทันทีเมื่อถูกจับจ้องจากสายตามากมาย
“ยังอ่อนแอเกินไป” หลิงไป๋ขัดเขาอย่างไร้มารยาท และกล่าวว่า “หากเป็นข้า ภายในกระบวนท่าเดียว จะไม่มีสิ่งใดรอดชีวิต!!”
“ถ้าข้าลงมือ การตบเพียงครั้งเดียวก็บดขยี้พวกมันทั้งหมด” หมีน้อยอาหมานกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
ไป๋คุยกัดฟันและคำราม มันดูจะไม่พอใจอย่างมาก
อาซิ่วหัวเราะคิกคัก ในขณะที่นางลูบศีรษะเล็ก ๆ ของมันและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เสี่ยวไป๋บอกว่า เป็นการดีกว่าที่มู่ขุยจะไม่ลงมือ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อับอายเกินไป”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ขุยแข็งค้างทันที แทบอยากจะร้องไห้ออกมาแต่มันกลับไม่มีน้ำตา นอกจากนี้ตัวเขาก็ไม่สามารถหักล้างเรื่องนี้ได้ เพราะรู้ดีว่าตัวเขานั่นอ่อนด้อยเกินไปเมื่อเทียบกับคนเหล่านี้!
ในขณะเดียวกัน ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นี่ได้ดึงความสนใจของกองทัพต่างพิภพ และแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพทั้งเจ็ดคนที่นั่งตัวตรงบนบัลลังก์ทั้งเจ็ด ก็ยังแผ่ญาณเทวะอมตะของพวกเขาออกมา
แม้แต่ผู้บ่มเพาะในเมืองผาวารีก็ยังสังเกตเห็นเรือเหาะสมบัติลำนี้ จากนั้นคนทั้งหมดต่างตกตะลึง ก่อนจะเผยสีหน้ากังวลออกมา
พวกเขาต่างคิดว่าผู้กอบกู้ของพวกเขามาถึงแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันเป็นเพียงเรือเหาะสมบัติลำเดียว แล้วมันจะช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากอันตรายที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร?
แต่ก็ยังมีใครบางคนที่ตะโกนเสียงดัง “สหายนักพรตเต๋า ที่นี่สถานการณ์อันตรายมาก โปรดรีบเข้ามาในเมืองและต่อสู้กับศัตรูไปพร้อมกับเรา!”
ผู้ตะโกนคือบัณฑิตวัยกลางคนที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี เขามีนามว่าเลี่ยวฝาน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและมีศักดิ์ฐานะที่สูงมากในแคว้นต้าเยี่ยน
เมื่อเห็นเขาตะโกน ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็พูดขึ้นมาทีละคน ทำการเชื้อเชิญเฉินซีในเวลาเดียวกัน
แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้มองโลกในแง่ดี ทั้งยังกังวลด้วยซ้ำ ว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ จะสามารถฝ่ากองทัพต่างพิภพไปถึงเมืองได้หรือไม่
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาก็เริ่มออกคำสั่ง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“มู่ขุย ดึงความสนใจของพวกมัน”
“เหมิงเหวย โม่ย่า เจ้าทั้งคู่นำค่ายอัสนีม่วงและค่ายผลึกเยือกแข็งคราม เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ซะ” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“หลิงไป๋ อาหมาน พวกเจ้ายืนคุ้มกันที่ด้านข้าง อย่าพยายามฆ่า แค่ปกป้องคนของเราจากอันตรายก็พอ”
“ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพทั้งเจ็ดนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ทุกคนรับคำสั่งทันที
อาซิ่วอดไม่ได้ที่จะถาม “แล้วข้ากับไป๋คุยล่ะ?”
“ทำตามที่เจ้าต้องการ” เฉินซีตอบอย่างสบาย ๆ
อาซิ่วอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่
โฮก!
ทันใดนั้น มู่ขุยก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และกลายร่างเป็นหมาป่าตัวมหึมาที่สูงถึงร้อยยี่สิบจั้ง มีขนสีเงินสว่าง และมีปีกคู่หนึ่งอยู่ที่หลัง จากนั้นมันก็หอนขึ้นไปบนท้องฟ้า!
ครืน!
เสียงเห่าหอนนี้เป็นเหมือนพายุอันน่าตกตะลึง ซึ่งแฝงไปด้วยพลังสั่นสะเทือนวิญญาณ มันได้แผ่กระจายออกไปยังบริเวณโดยรอบ ทำให้ชั้นเมฆบนท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนตกอยู่ในความยุ่งเหยิง
พร้อมกับเสียงหอนนี้ ดวงจันทร์สีแดงโลหิตค่อย ๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันย้อมฟ้าดินจนเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งงดงามจนน่าสยดสยอง
ศาสตร์เต๋าโดยกำเนิดของสัตว์เทวะหมาป่าจันทรคราส…จันทราคำรามแห่งความตาย!
ตามตำนาน เสียงหอนเพียงครั้งเดียวของหมาป่าจันทรคราสในยุคบรรพกาล สามารถทำลายดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ทำให้ภูเขาและแม่น้ำพังทลาย วิญญาณและสัตว์อสูรทั้งหมดในระยะสองหมื่นลี้จะถูกทำลายโดยเสียงหอนของมัน
แม้ว่ามู่ขุยจะยังไม่ได้บ่มเพาะจนถึงระดับนั้น แต่พลังคำรามของเขาก็สั่นสะเทือนไปรอบ ๆ กลบเสียงการต่อสู้ในสมรภูมิที่อยู่ไกลออกไป
คนจากต่างพิภพที่อ่อนแอจำนวนมากในสมรภูมิถูกผลกระทบจนร่างกายสั่นสะท้าน ก่อนที่วิญญาณของพวกเขาจะถูกทำลาย จากนั้นทุกคนก็ล้มลงกับพื้นจนเสียงดังโครมคราม
“ค่ายอัสนีม่วง โจมตี!”
“ค่ายผลึกเยือกแข็งคราม ฆ่า!”
เสียงหอนยังไม่ทันจางหายไปจากอากาศ แต่เสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้งบนท้องฟ้าอีกครั้ง เหมิงเหวยกับโม่ย่าต่างนำกลุ่มคนหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้าเพื่อสร้างกระบวนทัพขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นเหมือนก้อนเมฆสองก้อนที่ส่งเสียงดังก้องขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งออกมา
เหล่าหนุ่มสาวของค่ายอัสนีม่วงเป็นเหมือนเทพอสูร พวกเขากลายร่างเป็นยักษ์ที่สูงกว่าสามสิบจั้ง มีสามเศียรหกกร และร่างกายของพวกเขาก็พลุ่งพล่านด้วยปราณจ้าววิญญาณ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วดูเหมือนมังกรดำ
นี่คือกระบวนทัพวิญญาณมังกรที่มาจากชิงอวี่ อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันคือการสังหาร และสามารถดึงพลังอันน่าเกรงขามของทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรจนถึงขีดสุดได้
ในขณะที่เหล่าคนหนุ่มคนสาวจากค่ายผลึกเยือกแข็งครามได้สร้างค่ายกลกระบี่ขนาดใหญ่ที่ดูจะปกคลุมไปด้วยดวงดาวอย่างหนาแน่น มันมีความล้ำลึกของสี่สัญลักษณ์และเบญจธาตุ เรียกว่าค่ายกลกระบี่ดาราเจ็ดผันแปร ซึ่งมีความผันแปรที่ทั้งหลากหลาย ร้ายกาจและรวดเร็วอย่างไม่มีใครเทียบได้
เมื่อมองจากระยะไกล เหล่าคนหนุ่มสาวของค่ายอัสนีม่วงเป็นเหมือนค้อนมหึมาในมือของทวยเทพที่พุ่งเข้าใส่กองทัพต่างพิภพอย่างดุดัน อีกทั้งยังแฝงกลิ่นอายที่ทรงพลังและทำลายล้าง
ในขณะเดียวกัน เหล่าคนหนุ่มสาวของค่ายผลึกเยือกแข็งครามกลับเป็นสว่านที่ถูกลับจนคมกริบ ฉีกแนวป้องกันของศัตรูออกจากกันได้อย่างง่ายดาย ทำให้โลหิตสีแดงฉานพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
แม้ว่าพวกคนหนุ่มสาวในค่ายประจัญบานทั้งสองแห่งจะมีจำนวนที่น้อยกว่าร้อยคน แต่เมื่อพวกเขาบุกเข้าไปในสมรภูมิ ทุกคนกลับเปล่งกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ออกมา ซึ่งเหมือนกับกองทัพอันทรงพลังกำลังพุ่งเข้าใส่!
เพียงแค่กลิ่นอายที่ดุร้ายนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ศัตรูหวาดกลัว
หลิงไป๋ มู่ขุย และอาหมานก็พุ่งตัวออกไปเช่นกัน โดยพวกเขาทะยานลาดตระเวนรอบ ๆ เหล่าหนุ่มสาวตามคำสั่งของเฉินซี ยิ่งกว่านั้น เว้นแต่เหล่าหนุ่มสาวจะพบกับภัยคุกคามร้ายแรง พวกเขาจะไม่ลงมือแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม การบ่มเพาะในปัจจุบันของหนุ่มสาวเหล่านี้ก็อยู่ที่ขอบเขตจุติเท่านั้น และมันง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือหากพวกเขาคิดจะฆ่าล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับทองคำ แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วง หรือแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพ มันจะเป็นอันตรายสำหรับพวกเขา
จากสถานการณ์ในขณะนี้ ฝีมือของหนุ่มสาวเหล่านี้ก็ไม่เลวเลย มีความผ่อนคลายยามเคลื่อนไหว ในขณะที่ทำการต่อสู้อย่างมั่นคงและแม่นยำ ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่โลภในผลลัพธ์ คอยรักษากระบวนทัพและจังหวะการต่อสู้ไว้เสมอ
การปรากฏตัวของพวกเขาทำให้สถานการณ์ในสมรภูมิปั่นป่วนทันที พวกเขาพุ่งทะลวงเข้าไปในกองทัพต่างพิภพที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง ทำให้สถานการณ์โดยรวมวุ่นวาย
“เจ้ามันก็แค่ชนพื้นเมืองที่น่ารังเกียจ! ในเมื่อวันนี้เจ้ากล้าก่อปัญหา งั้นก็ทิ้งชีวิตทั้งหมดไว้ซะ!” ในขณะนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพของหนึ่งในเจ็ดบัลลังก์กระโดดออกมา ร่างกายของเขาระเบิดแสงสีดำ ทำให้ตัวคนดูเหมือนดวงอาทิตย์สีดำที่โผล่ขึ้นมากลางอากาศ
ในขณะเดียวกัน เฉินซีเงยหน้าขึ้น ประกายแสงเยียบเย็นปรากฏในดวงตาของเขา!