บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 894 เงาของศัตรูที่ย่างกราย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 894 เงาของศัตรูที่ย่างกราย

บทที่ 894 เงาของศัตรูที่ย่างกราย

ตลอดทางที่เดินออกจากดินแดนภูตผี เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ ในใจ ขณะที่เขามองไปยังอาซิ่วซึ่งกำลังอิ่มเอมใจอยู่ข้าง ๆ กาย

การเผชิญหน้าที่เกือบจะเหมือนการละเล่นระหว่างเด็กตัวเล็ก ๆ จบลงโดยที่ซางจือหมดเรี่ยวแรง

ในช่วงเวลานี้เอง หูของเฉินซีต้องทนทรมานอยู่ราวหนึ่งก้านธูป จนถึงขณะนี้ สองประโยคนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา

ประโยคหนึ่งคือ ‘ยอมจำนนต่อข้าซะ’

ส่วนอีกประโยคคือ ‘เกียรติยศแห่งซางจือ ไม่อาจยอมให้เสื่อมเสีย’

เฉินซีไม่อาจจินตนาการได้ว่าอาซิ่วได้รับความอดทนและความพากเพียรนี้มาจากที่ใด นี่นางว่างถึงขนาดโต้เถียงกับหุ่นวิญญาณศึกเป็นเวลานาน และทำสิ่งนั้นซ้ำไปซ้ำมา…

สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือซางจือดูจะให้ความร่วมมืออย่างมาก แต่ความร่วมมือนี้สะท้อนให้เห็นจากการปฏิเสธของเขา

โชคดีที่พละกำลังของซางจือได้ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ดังนั้นมันจึงถูกใช้ไปอย่างมากในระหว่างการโต้เถียง ทำให้เมื่อพลังงานส่วนสุดท้ายในร่างกายหมดสิ้นไป ในที่สุดซางจือก็หุบปาก

ในขณะที่อาซิ่วเป็นประหนึ่งแม่ทัพที่ได้รับชัยชนะ นางอิ่มเอมใจและร่าเริง พลางยกมือขึ้นเพื่อกวาดซางจือที่มีขนาดตัวเล็กเท่าฝ่ามือออกไป

หากเป็นไปตามที่อาซิ่วกล่าว นี่คือร่างที่แท้จริงของซางจือ และมันคล้ายกับหุ่นรบตัวเล็กที่คัมภีร์จักรพรรดิแห่งการควบคุมบันทึกไว้ในนั้น แต่มันแตกต่างจากหุ่นวิญญาณศึกทั่วไปอย่างมาก

เพราะซางจือดูเหมือนจะมีระดับที่สูงกว่าและฉลาดกว่ามาก เฉินซีไม่รู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นจากวัตถุวิญญาณใด แต่เห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของซางจือ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะดูออกว่า หุ่นรบตัวเล็ก ๆ นี้คือหุ่นวิญญาณศึก!

สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งของซางจือก็อ่อนแอลงมาก แต่มันยังสามารถใช้พลังที่เทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ยิ่งกว่านั้น มันยังเข้าฟาดฟันอย่างเด็ดเดี่ยวและปราศจากความกลัว ทำให้มันดูเหมือนเครื่องจักรที่เกิดมาเพื่อเข่นฆ่าอย่างแท้จริง

ชายหนุ่มไม่สามารถจินตนาการได้ว่า ซางจือที่อยู่ในยุครุ่งเรืองนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด?

ฟิ้ว!

ณ ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เรือเหาะสมบัติได้บดขยี้ชั้นเมฆและพาเฉินซีกับคนอื่น ๆ ทะยานขึ้นไป

การเดินทางไปแคว้นต้าเยี่ยนครั้งนี้ ทำให้ชายหนุ่มได้รับคัมภีร์จักรพรรดิแห่งการควบคุมของเผ่าช่างฝีมือวิญญาณ และหุ่นวิญญาณศึกประหลาดอย่างซางจือโดยไม่คาดคิด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ เฉินซีกังวลกับสถานการณ์ในแดนภวังค์ทมิฬมากกว่า

พวกคนต่างพิภพได้ปรากฏตัวในแดนภวังค์ทมิฬครั้งแล้วครั้งเล่า และเห็นได้ชัดว่าพวกมันคงพบวิธีที่จะหลบหนีจากการตรวจจับของเต๋าแห่งสวรรค์ ทำให้พวกมันสามารถบุกไปยังเมืองต่าง ๆ ได้อย่างไม่เกรงกลัวเหมือนห่าฝูงตั๊กแตน ทำให้หลายเมืองและกองกำลังมากมายตกอยู่ในเปลวเพลิงอันนองเลือดของสงคราม

หากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป มันก็เหมือนกับประกายไฟเล็ก ๆ ที่แผดเผาทุ่งหญ้าให้มอดไหม้ และแผ่กระจายไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ ในเวลานั้น ดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ซึ่งอยู่ใกล้กับภพเซียนมากที่สุด และเหล่าสิ่งมีชีวิตมหาศาลที่อาศัยอยู่ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากถูกพัดพาเข้าสู่วังวนแห่งสงครามได้

เมื่อถึงเวลานั้น การนองเลือด การฆ่าฟัน และความตายจะกลายเป็นประเด็นหลักของแดนภวังค์ทมิฬ …ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ พวกเขามีแต่ต้องสู้หรือตาย ซึ่งผู้บริสุทธิ์ในเวลานั้นย่อมไม่พ้นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเหล่านี้

นับตั้งแต่เฉินซีก้าวเข้าสู่เส้นทางของการบ่มเพาะจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมากอบกู้โลก และไม่เคยรู้สึกสงสารต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในใต้หล้า แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายและพายุซึ่งกำลังใกล้เข้ามา หัวใจของเขาพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

ไม่ต้องพูดถึงว่าเฉินซีมิอาจจะพลิกสถานการณ์และช่วยทุกคนในโลกจากภัยพิบัตินี้ด้วยความสามารถที่มีได้

บางทีสิ่งเดียวที่เฉินซีทำได้คือ การพึ่งพากำลังของตัวเองเพื่อปกป้องผู้คนที่อยู่เคียงข้าง จากความโกลาหลที่กำลังจะมาถึง

นี่เป็นสัญญาณกลียุคของภพทั้งสาม ที่แม้ยังไม่ถึงที่สุด ทว่าภพมนุษย์ก็ตกอยู่ในความโกลาหลแล้ว…

เขาพอจะจินตนาการได้ว่า ขนาดแดนภวังค์ทมิฬยังเป็นเช่นนี้ โลกใบใหญ่แห่งอื่น หรือแม้แต่ภพเซียนและยมโลกเองก็อาจประสบกับภัยพิบัติใหญ่เช่นกัน

เมื่อเผชิญกับกลียุคเช่นนี้ที่ส่งผลกระทบต่อภพทั้งสาม พลังของคนเพียงคนเดียวย่อมอ่อนแอเกินไป บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่หม้อใบจิ๋วกล่าวไว้ …ท่ามกลางกลียุคที่เกิดขึ้น เทพเจ้าก็เหมือนต้นหญ้า เซียนและปีศาจก็เหมือนมด และไม่มีใครสามารถอยู่ได้โดยไม่ได้รับอันตราย

เคร้ง! เคร้ง!

บนเรือเหาะสมบัติ เสียงที่ชัดเจนของโลหะแตกหักได้ดังขึ้นขัดจังหวะการไตร่ตรองของเฉินซี เขาพลันหันขวับกลับไปมอง ก่อนที่อารมณ์อันหนักอึ้งจะกลายเป็นประหวั่นพรั่นพรึง!

ซางจือซึ่งกลายร่างเป็นหุ่นรบตัวเล็กขนาดเท่ากำปั้น กำลังจับสมบัติอมตะและเคี้ยวมัน แม้ว่ามันกำลังกินอยู่ รูปร่างของมันก็สูงตรงอย่างมาก เปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายอำมหิตและเย็นยะเยือกดุจตัวประหลาดที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก

อาซิ่วนั่งขัดสมาธิบนพื้น ในขณะที่มือของนางประคองใบหน้าเรียวเล็กที่งดงามนั้นไว้ หญิงสาวยิ้มขณะมองไปที่ซางจือด้วยดวงตาสดใส ราวกับมีความสุขจากการได้เลี้ยงสัตว์ตัวน้อย

ทว่าหลิงไป๋ ไป๋คุย และอาหมานกลับตกใจอย่างมากแทน พวกเขามองไปที่ซางจือด้วยสีหน้ามึนงง และดูจะไม่กล้าเชื่อว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถกินได้มากกว่าพวกเขา ยิ่งกว่านั้น รสนิยมของมันก็แปลกประหลาดยิ่งนัก…

แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญสำหรับเฉินซี สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาซิ่วได้ขอสมบัติอมตะนี้จากเขาไป!

แม้ว่าจะเป็นเพียงสมบัติอมตะธรรมดา ๆ แต่ก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นอาหารเลี้ยงซางจือไปแล้ว…

เมื่อเห็นภาพดังกล่าว อารมณ์ของชายหนุ่มจะดีได้อย่างไร?

ในขณะเดียวกัน หลิงไป๋ก็นั่งตัวตรงพร้อมกับกอดอก จากนั้นจึงกล่าวด้วยท่าทางเย็นชาและทะนงตนว่า “ข้าเคยกินสมบัติวิเศษมาก่อน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”

ไป๋คุยพยักหน้าหงึกหงักเช่นกัน และดูเหมือนว่ามันจะกล่าวว่ามันก็เคยกินสมบัติวิเศษในอดีตเช่นกัน

อาหมานเกาหัวและกล่าวด้วยท่าทางน้ำลายสอ “ข้ายังไม่เคยลองเลย รสชาติของมันดีหรือไม่?”

หลิงไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับสู่ท่าทีภาคภูมิใจในขณะที่กล่าวว่า “รสชาติมันแย่มาก และยังทำให้ฟันของเจ้าสึกกร่อน”

ไป๋คุยรีบพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทำตัวดั่งผู้ติดตามตัวน้อยที่พยักหน้าให้กับทุกเรื่อง

อาหมานไม่เชื่อพวกเขา และชี้ไปที่ซางจือพร้อมกับกล่าวว่า “แต่ท่าทางที่เขากิน …มันดูอร่อยมากเลยนะ”

“เอ่อ… บางทีรสชาติของสมบัติอมตะอาจจะดีจริง ๆ ก็ได้กระมัง?” หลิงไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงแนะนำว่า “เหตุใดเราจึงไม่ลองกินสมบัติอมตะดูล่ะ? ข้าก็ไม่เคยลองมาก่อนเช่นกัน”

ไป๋คุยกับอาหมานพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าคำพูดเหล่านี้จะสอดคล้องกับความตั้งใจของพวกเขา

“พวกเจ้าคิดจะกินสิ่งใดกัน?” เฉินซีไม่อาจทนได้อีกต่อไป และเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่มืดมน น้ำเสียงของเขาราวกับถูกรีดออกมาจากรอยแยกระหว่างฟัน เพราะชายหนุ่มไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมล้างผลาญเช่นการเอาสมบัติอมตะมาเป็นอาหารได้อย่างแน่นอน!

ถึงขนาดที่ชายหนุ่มสงสัยว่า หากเขายังคงทำตามคำขอของตัวตะกละเหล่านี้อีกต่อไป บางทีพวกมันอาจกินสมบัติอมตะในวันนี้ และอาจโวยวายที่จะลิ้มลองรสชาติของสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬหรือสมบัติอมตะระดับจักรวาลในอนาคตได้

ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่อาจปล่อยให้แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นได้ และเขาต้องกำจัดความต้องการที่ว่าในขณะที่มันกำลังแตกหน่อ!

หลิงไป๋ตกตะลึง ไป๋คุยตกตะลึง และอาหมานก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกมันต่างสังเกตเห็นว่า เฉินซีในขณะนี้ดูเหมือนถังดินปืนที่ใกล้จะระเบิด

จอมตะกละทั้งสามต่างมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายศีรษะพร้อมกัน “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”

“โอ้” ใบหน้าของเฉินซียังคงมืดมน แต่เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกพอใจกับท่าทีของอีกฝ่ายมาก เนื่องจากพวกมันรู้จักแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง…

“เฉินซี รีบส่งสมบัติอมตะมาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า หากเขาไม่เติมพลังให้เต็ม เจ้าก็จะสูญเสียศัสตราชั้นยอดไป” ในขณะเดียวกัน อาซิ่วได้โบกมือเล็ก ๆ สีขาวของนางให้เฉินซี ในขณะที่สายตาของหญิงสาวจับจ้องไปที่ซางจือ ซึ่งใกล้จะกินสมบัติอมตะหมดแล้ว

ใบหน้าของเฉินซีแข็งทื่อทันที

ในทางกลับกัน สายตาที่พวกหลิงไป๋จ้องมองไปยังเฉินซีนั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาและความคาดหวัง ราวกับพวกมันจะไม่ยอมแพ้ต่อความปรารถนาในใจ และต้องการคว้าโอกาสนี้เพื่อลองอีกสักตั้ง

หลังจากดิ้นรนในใจเป็นเวลานาน ในที่สุดเฉินซีก็ตัดสินใจด้วยความยากลำบาก …ส่งสมบัติอมตะไปสองชิ้น

หลังจากนั้น คลื่นเสียงเคร้งคร้างก็ดังก้องไปทั่วเรือเหาะสมบัติ ทำให้หัวใจของเฉินซีแทบหลั่งเลือด เขากัดฟันในขณะที่คิดในใจ ‘ตัวแสบเหล่านี้ขัดเกลาฟันของพวกมันจนแข็งเพียงนี้ได้อย่างไร!’

หลังจากที่เฉินซีและคนอื่น ๆ จากไปไม่นาน

มีคนสองคนได้เข้ามายังช่องเขาในดินแดนภูตผี ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนาทึบ

คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ มีรูปลักษณ์ดุร้าย ร่างกายปกคลุมไปด้วยเกล็ดน่ากลัว และตาขวาถูกปิดด้วยผ้าปิดตาสีดำสนิท ซึ่งขับเน้นกลิ่นอายที่ทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมออกมา …แม้ว่าจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา แต่มันก็ไม่อาจกลบความโหดเหี้ยมของคนคนนี้ได้

อีกคนเป็นหญิงสาวชุดแดงที่มีผมกระเซอะกระเซิงสีแดงเพลิง รูปร่างหน้าตาของนางงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากลับดู ๆ แล้วเหมือนแมงมุมพิษหลากสีอย่างไรอย่างนั้น

“บัดซบ! มีคนเคยมาที่นี่!” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ที่หน้ากำแพงหิน มองไปที่แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลที่ถูกฉีกออก ท่าทางโหดร้ายและน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่น่าเกลียดและมีรอยแผลเป็นของเจ้าตัว

“เราเข้าไปดูกันก่อนเถอะ ข้าหวังแต่เพียงว่าโบราณวัตถุยังคงอยู่ในนั้น…” หญิงสาวชุดแดงเม้มริมฝีปากสีแดงสดขณะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา น้ำเสียงของนางทุ้มต่ำ เฉียบคม เหมือนอสรพิษแลบลิ้น

ทั้งสองไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่ และเคลื่อนที่ไปตามทางด้วยความเร็วสูงสุด ตลอดเส้นทาง พวกเขามักจะพบหุ่นวิญญาณศึกที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น และทำให้สีหน้าของคนทั้งคู่ค่อย ๆ มืดมนลง

เมื่อเห็นซากหุ่นวิญญาณศึกที่กองทับกันอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างจนเหมือนกับซากปรักหักพังขนาดใหญ่ และแท่นบวงสรวงที่สูงถึงพันจั้งถูกทำลาย เปลวเพลิงแห่งความพิโรธที่ลุกโชนก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งออกจากดวงตา

ฟิ้ว!

ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ยังคงไม่อยากเชื่อเรื่องนี้ และร่างของเขาทะยานขึ้นเหนือซากปรักหักพังวนไปมา พร้อมกับค้นหาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าตัวก็มาหยุดที่เบื้องหน้าแท่นหินปูนที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนรอยแผลเป็นอันน่าเกลียดของอีกฝ่ายจะย่นเข้าหากัน ทำให้ตัวคนดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

“มรดกหุ่นวิญญาณศึกถูกชิงไปแล้ว! ที่สำคัญที่สุด ‘หุ่นวิญญาณซางจือ’ ที่บรรพบุรุษของเผ่าเราสร้างขึ้นด้วยความพยายามมาทั้งชีวิตก็หายไปเช่นกัน!” เสียงของชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่ง ดูไร้ความปรานียิ่งนัก

“เพราะไอ้โง่กุ้ยเผิง! เขาระดมกำลังขนาดใหญ่และสร้างความวุ่นวาย หมายมั่นจะทำลายแคว้นต้าเยี่ยน ก่อนที่จะค้นหาโบราณวัตถุของเผ่า! หรือเขาคิดว่าชนพื้นเมืองของแดนภวังค์ทมิฬนั่นโง่กว่าหมูหรือไร?” เมื่อนางได้ยินว่ามรดกหุ่นวิญญาณศึกสูญหายไป หญิงสาวชุดแดงหาได้สนใจไม่ แต่เมื่อหญิงสาวได้ยินว่า ‘หุ่นวิญญาณซางจือ’ ก็หายไปด้วย ใบหน้าที่งดงามของนางกลับกลายเป็นสีแดงก่ำในบัดดล และเจ้าตัวก็คำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“พวกมันน่าจะออกไปได้ไม่นานนัก” จู่ ๆ ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ก็สูดหายใจแรง จากนั้นเขาจึงหลับตาเป็นเวลานาน ก่อนจะลืมตาแล้วกล่าวว่า “ข้าได้กลิ่นของมันแล้ว”

“คนเดียวหรือ?” หญิงสาวชุดแดงถามกลับ

“มีกลิ่นของบุคคลเดียวและมันจางมาก ข้าสามารถระบุได้ว่าพลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่ง และมันก็เทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เลียริมฝีปากหนาก่อนจะตัดสินใจทันที “ชักช้าต่อไปไม่ได้แล้ว ไล่ตามเขากันเถอะ มิฉะนั้น จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะไม่ยกโทษให้เรา หากเรากลับไปมือเปล่า!”

“บัดซบ! กุ้ยเผิงทำให้เกิดเรื่องไร้สาระนี่ขึ้น แต่เรากลับต้องมาคอยเก็บกวาดทำความสะอาดให้เสียนี่!” หญิงสาวในชุดแดงพึมพำด้วยความรำคาญ ในที่สุดนางก็เดินตามชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ไป

ฟิ้ว!

หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็ทะลุมิติและหายไปในพริบตา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท