บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 900 ทุบตี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 900 ทุบตี

บทที่ 900 ทุบตี

ใบหน้าของไป๋ทั่วบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวด เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ควบแน่นในรูปของอักขระยันต์ซึ่งเจาะเข้าไปในร่างกายอย่างรุนแรงเหมือนสว่าน และตัวเขาไม่สามารถกำจัดมันได้ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ ทั้งที่ตัวเขามีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น!

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดก็คือ ด้วยประสบการณ์ต่อสู้และสัญชาตญาณอันเฉียบแหลม ตัวเขาจะถูกลอบโจมตีจากด้านหน้าจริง ๆ

เหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ไป๋ทั่วโกรธจัด และแม้ว่าเฉินซีจะตกลงตามเงื่อนไขแล้ว เจ้าตัวก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน!

“เจ้ากล้าดียังไงถึงลอบโจมตีข้า! ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” ไป๋ทั่วคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะที่ปราณจ้าววิญญาณอมตะในร่างของเขาส่งเสียงดังก้อง จากนั้นหมัดของไป๋ทั่วก็ทุบลงไปที่เฉินซี โดยหมัดนี้ห่อหุ้มด้วยมหาเต๋าที่ล้ำลึกอย่างหนาแน่น มันหนักดุจขุนเขา ประดุจลำแสงที่ฉีกท้องฟ้าออกจากกัน ซึ่งหมายมั่นจะทำให้แดนดินแตกเป็นเสี่ยง ๆ

ทว่าเฉินซีมิได้หลบเลี่ยง เขาเพียงเอื้อมมือออกไปคว้าจับ ใช้วังวนพายุอัสนีซึ่งก่อตัวเป็นรูปร่างเข้าต้าน และสลายพลังหมัดนี้ไปสิ้น ก่อนจะเหวี่ยงแขนออกไปประหนึ่งมังกรสะบัดหาง ซัดไป๋ทั่วจนปลิวกระเด็น!

ตึง!

ความว่างเปล่าแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อร่างซึ่งใหญ่โตดุจเนินเขาของไป๋ทั่วถูกทุบครั้งแล้วครั้งเล่า จนพื้นดินเกิดเป็นหลุมรูปร่างมนุษย์ขนาดมหึมา ทำให้ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปในอากาศ

หากการโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวของเฉินซีก่อนหน้านี้ ไม่อาจกล่าวว่ามีเกียรติ เช่นนั้นแล้วการโจมตีปะทะซึ่งหน้านี่เล่า? และชายหนุ่มก็ยังคงสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ราวกับทิ้งเศษขยะลงพื้น!

เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้นจากสนามฝึก ดวงตาของบรรดาศิษย์ตระกูลไป๋เบิกกว้าง ในขณะที่พวกเขาจ้องมองด้วยความเหลือเชื่อ

…อาจารย์ไป๋ทั่วผู้น่าเกรงขามและร้ายกาจได้พ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว!

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอันใดกัน!”

ริมฝีปากของไป๋กู้หนานกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในตระกูลไป๋ …ไป๋ทั่วถือได้ว่าเป็นผู้มีฝีมือกล้าแกร่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ เพราะคนผู้นี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งยากหาใครเทียบ และเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีด้านการขัดเกลากายา แต่ตอนนี้เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่เฉินซีในหนึ่งกระบวนท่า จึงทำให้ไป๋กู้หนานแทบไม่อาจยอมรับสิ่งนี้ได้!

แต่หลังจากนั้น ไป๋กู้หนานก็หัวเราะลั่นออกมา พลางจ้องมองอย่างดูถูกด้วยท่าทางที่หยิ่งยโสแล้วกล่าวว่า “ไป๋ทั่ว ข้าเคยบอกว่าเจ้ามันก็แค่วัวโง่ เป็นคนที่กล้าหาญแต่กลับโง่เขลา เจ้าสมควรถูกคนอื่นใช้งาน และในที่สุด เจ้าก็ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วกระมัง?”

“ข้าไม่ยอมรับมัน! เข้ามาเลย!”

โครม!

พื้นดินแยกออกจากกัน แตกเป็นเสี่ยง ๆ ไป๋ทั่วได้ใช้เคล็ดวิชาร่างแปลงสวรรค์ ทำให้เขากลายร่างเป็นยักษ์สูงร้อยยี่สิบจั้งในบัดดล ตัวคนยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางใต้หล้า กล้ามเนื้อปูดโปนประหนึ่งเนินเขาลูกเล็ก ขณะแผ่ปราณจ้าววิญญาณอมตะสีดำที่รุนแรงออกมา ส่งผลให้เจ้าตัวดูเหมือนเทพอสูรที่มาจากตำนานผู้ครอบครองพลังมหาศาล!

ไป๋ทั่วคำรามอย่างเกรี้ยวกราด จนเกิดเป็นคลื่นกระแทกที่รุนแรงส่งผลให้ก้อนหินบนภูเขาแตกกระจุย ชั้นเมฆบนท้องฟ้ากระจายตัวจนเกิดเสียงดังก้อง สายลมและมวลเมฆในบริเวณโดยรอบสั่นไหว ยิ่งกว่านั้น เสียงของเขายังแฝงด้วยความพิโรธและจิตสังหารอันเข้มข้น

“ท่านอาจารย์ไป๋ทั่วโกรธสุดขีดแล้ว!” ดวงตาของเหล่าศิษย์ตระกูลไป๋ในสนามฝึกฉายแววกระสับกระส่าย เนื่องจากพวกเขาล้วนตระหนักดีว่า เมื่อใดที่ไป๋ทั่วโกรธถึงขีดสุด เขาก็จะเป็นเหมือนกระทิงดุที่หลุดพ้นจากพันธนาการ กลายเป็นคนเอาแต่ใจและน่ากลัวอย่างยิ่ง

แต่ในขณะนี้ เงามืดได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และห่อหุ้มร่างของทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเอาไว้ พวกเขาทั้งหมดต่างแหงนหน้าขึ้น ก่อนที่ดวงตาของทุกคนจะเกือบถลนออกมาด้วยความตกใจ

พวกเขาเห็นหมีตัวมหึมาที่มีความสูงเกือบสองลี้ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน และทั่วทั้งร่างของมันก็อาบไล้ไปด้วยแสงสวรรค์สีทองที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งแดนดิน เงาที่บดบังฟ้าดินมาจากหมีขนาดมหึมาตัวนี้นี่เอง

มันใหญ่โตมโหฬารเสียจนทำให้ไป๋ทั่วที่แปลงร่างเป็นยักษ์ที่มีความสูงร้อยยี่สิบจั้งดูจะกลายเป็นเด็กน้อยตัวจ้อย ถึงขนาดที่ว่าไป๋ทั่วสูงไม่ถึงหัวเข่าของหมีตัวนั้นเลยด้วยซ้ำ

“หมีตัวมหึมานี้คือสิ่งอันใดกัน?”

มันปกคลุมด้วยแสงสีทอง ซึ่งดูเหมือนกับสามารถบดบังท้องฟ้าเพียงแค่เหยียดอุ้งเท้าออกไป และขาของมันก็ยืนตระหง่านประหนึ่งเสาค้ำยันสวรรค์

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ กลิ่นอายที่มันแผ่ออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวมาก จนทำให้อากาศสั่นสะเทือนและเกิดเสียงคร่ำครวญ อีกทั้งยังบีบคั้นจนแม้แต่เหล่าศิษย์ในสนามฝึกก็แทบจะหายใจไม่ออก

“นี่มันอันใดกัน?” ความโกรธบนใบหน้าของไป๋ทั่วถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจ เขาจ้องมองไปยังหมีร่างมหึมาอย่างว่างเปล่าเหมือนคนเขลา คล้ายไม่อยากเชื่อว่าวันหนึ่งตนจะต้องแหงนหน้ามองสัตว์ร้ายด้วยท่าทางเช่นนี้

หมีที่มีขนาดมหึมาตัวนี้ย่อมคืออาหมาน

แม้ว่าอาหมานจะดูไร้เดียงสาและมึนงงอยู่เสมอ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอาหมานจะไม่รู้สึกโกรธ

ฉากที่ถูกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูกดขี่ก่อนหน้านี้ ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก เจ้าตัวทั้งขุ่นเคืองและโกรธเกรี้ยวเป็นที่สุด และที่สำคัญก็คือ เขารู้สึกว่าตนเองทำให้อาซิ่วผิดหวัง เพราะอาซิ่วให้อาหารเลิศรสมากมายแก่ตัวเขาอยู่เสมอ แต่เขากลับไม่สามารถช่วยอะไรนางได้…

นี่คือความรู้สึกของอาหมาน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขามีไฟโทสะอัดแน่นอยู่เต็มท้อง และไม่มีที่ระบาย

ดังนั้น เมื่อได้เห็นไป๋ทั่วยั่วยุเฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจึงไม่อาจระงับโทสะในใจได้อีกต่อไป และก้มมองไปยังมนุษย์ผู้โง่เขลาและบุ่มบ่ามตรงหน้าจากที่สูง ขณะที่ในใจกำลังคิดจะใช้ไป๋ทั่วเป็นที่ระบายโทสะ

“สั่นกลัวหรือ? เจ้ามนุษย์โง่!” อาหมานคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า จนบังเกิดเป็นคลื่นเสียงไร้รูปร่างที่ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ กระทั่งสั่นคลอนเหล่าศิษย์ของตระกูลไป๋ที่อยู่ในสนามฝึกจนร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว

น่าแปลกที่แม้จะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในที่แห่งนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครในหุบเขาวีรบุรุษให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ และมันยังคงเงียบสงัดเหมือนเคย

ทุกคนในตระกูลไป๋รู้ถึงการมาของเฉินซีอย่างชัดเจน และรู้ว่ามันคือการทดสอบความแข็งแกร่งและไหวพริบของเฉินซี มิใช่การโจมตีจากศัตรูต่างพิภพ

ทันใดนั้น ไป๋ทั่วแทบจะคลั่งด้วยความเดือดดาลจากการถูกสัตว์ร้ายยั่วยุเช่นนี้ จากนั้นเจ้าตัวจึงคำรามลั่น ก่อนจะกระโจนพร้อมกับชกไปที่เข่าของอาหมาน…

สาเหตุที่เขาเลือกโจมตีไปยังหัวเข่าของอาหมาน เพราะด้วยความสูงที่ต่างกันเกินไป ตำแหน่งเข่าจึงนับเป็นจุดที่โจมตีได้ง่ายที่สุด จนเกิดเป็นฉากที่ดูพิลึกพิกลในขณะนี้ขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ไป๋ทั่วจะทันได้ชกเข้าใส่หัวเข่าของอาหมาน อุ้งเท้าหมีขนาดมหึมาซึ่งห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองกลับสว่างไสวลงมาจากท้องฟ้า ฟาดเข้าใส่ร่างของไป๋ทั่วจนล้มกองลงกับพื้น พร้อมกับเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว

มันให้ความรู้สึกเหมือนคานไม้ถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่ พื้นดินสั่นสะเทือนขณะที่มันกระแทกลงมา และสั่นสะเทือนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่เศษซึ่งแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ได้กระเด็นว่อนไปทั่วบริเวณโดยรอบ

“บัดซบ ข้าไม่ยอมรับ!” ไป๋ทั่วสมกับที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามในการขัดเกลากายา เพราะหากเป็นคนอื่น คงจะถูกทุบจนแหลกละเอียดไปแล้ว

แต่ตัวเขาดูจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ และกำลังดิ้นรนด้วยร่างกายอันมหึมา ในขณะที่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และพยายามฝืนลุกขึ้นจากรอยแยกบนพื้น

ปัง!

อาหมานยังไม่ได้ทุบตีไป๋ทั่วจนสาแก่ใจ อดีตหมีน้อยตัวนี้จึงเหวี่ยงอุ้งเท้าลงไปทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ และศีรษะมหึมาของไป๋ทั่วที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นก็ถูกฟาดลงกับพื้นอีกครั้ง

“บัดซบ ข้าไม่ยอมรับ!” ไป๋ทั่วคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง

ปัง!

ศีรษะของเขาเพิ่งโผล่ออกมา ก็ถูกอุ้งเท้าฟาดใส่อีกครั้ง

“ข้าไม่ยอมรับ!”

ปัง!

เช่นเดียวกับที่ไป๋ทั่วไม่ยอมรับการพ่ายแพ้ อาหมานก็ฟาดอุ้งเท้าลงมาอย่างต่อเนื่อง ฉากนี้เหมือนกับตัวตุ่นที่โกรธเกรี้ยวซึ่งตั้งใจจะพุ่งออกมาจากพื้น แต่มันก็ยังคงถูกทุบกลับลงไปที่พื้นทุกคราไป

ทุกคนตกตะลึง พวกเขาทั้งรู้สึกประหลาดใจและแปลกพิกล

ความแข็งแกร่งของหมีมหึมาตัวนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใดกัน? เหตุใดจึงสามารถทุบตีผู้ขัดเกลากายาขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม จนถึงขั้นที่ไม่สามารถต้านทานโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว!

และหากเหยื่อเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่บ่มเพาะปราณแท้ ผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นคงถูกทุบจนตายเหมือนแมลงวันไปแล้วกระมัง?

“บัดซบ! ช่างประหลาดเสียจริง!” ไป๋กู้หนานอดไม่ได้ที่จะสบถ เพราะยักษ์ที่สูงถึงร้อยยี่สิบจั้งกลับถูกหมีตัวมหึมาฟาดลงก้องกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า และเพียงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้คนอื่นตกตะลึงแล้ว

ทว่าเฉินซี หลิงไป๋ และคนอื่น ๆ ยังคงใจเย็น เพราะแม้ว่าอาหมานจะไม่เคยเผยความแข็งแกร่งทั้งหมด แต่พวกเขาทุกคนก็รู้อย่างชัดเจนว่า อาหมานนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

แม้ว่ามันจะเป็นมด แต่ผู้ที่สามารถอยู่รอดได้นานกว่าหมื่นปีในซากปรักหักพังของตำหนักเต๋านภา ย่อมไม่อาจประเมินต่ำไปได้

“ข้าไม่… ยอมรับ!” เสียงคำรามที่เกรี้ยวกราดและรุนแรงของไป๋ทั่วดังขึ้นอีกครั้งจากพื้นดิน

อุ้งเท้าของอาหมานพลันฟาดลงไปอีกครั้ง ทว่ามันกลับหยุดค้างอยู่กลางอากาศอย่างกะทันหัน เพราะศีรษะของไป๋ทั่วได้เอนไปทางด้านหลัง จากนั้นฟองน้ำลายก็พ่นออกมาจากปากของเจ้าตัว …กลายเป็นว่าเขาได้หมดสติไปแล้ว!

ศิษย์ของตระกูลไป๋ในสนามฝึกไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวใด ๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้ แต่เมื่อมองไปที่อาหมาน พวกเขาได้ละทิ้งความตกตะลึง และเผยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้อย่างรุนแรงขึ้นมาแทน

“บัดซบ! นี่คือการทดสอบ! หาใช่เป็นศัตรูไม่! พวกเจ้าทุกคนจงอยู่เฉย ๆ แต่โดยดีซะ!” เมื่อเห็นสิ่งนี้ ไป๋กู้หนานก็ยืนขึ้นและตวาดด้วยเสียงอันแข็งกร้าว

สิ่งนี้ทำให้ความคิดของศิษย์ตระกูลไป๋สลายไป แต่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในดวงตาของพวกเขากลับไม่ได้จางหายไปด้วย

“อาหมาน กลับมาเถอะ” เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ตระกูลไป๋สมกับเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในด้านการต่อสู้อย่างแท้จริง ราวกับร่างกายของพวกเขาทุกคนจะไหลเวียนด้วยสายเลือดที่ไม่มีวันยอมจำนน”

“ไป๋ทั่วและเหล่าศิษย์หนุ่มสาวของตระกูลไป๋ล้วนเป็นเช่นนี้”

“บางทีอาจเป็นเพราะจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความดื้อรั้นที่ไม่มีทางยอมจำนนซึ่งฝังลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขา ทำให้ตระกูลไป๋สามารถยืนหยัดอยู่ในใต้หล้า และไม่มีผู้ใดกล้าคิดดูถูกกระมัง?”

อาหมานเชื่อฟังคำพูดเป็นอย่างดี แต่ก่อนที่จะกลับไปยังฝั่งของเฉินซี เจ้าหมีก็ได้คว้าร่างของไป๋ทั่วจากพื้นดิน และวางอีกฝ่ายลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีลูบหัวเล็ก ๆ ที่มีขนปุกปุยของอาหมาน และกล่าวว่า “ไม่เลว คู่ต่อสู้เช่นนี้คู่ควรแก่การได้รับความเคารพ”

อีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องทำร้ายถึงตาย

ไม่ทราบว่าอาหมานเข้าใจข้อเท็จจริงนี้หรือไม่ แต่เจ้าตัวก็เกาหัวและหัวเราะอย่างไร้เดียงสาออกมา

“คราวหน้าอย่าได้ลงมือก่อนข้า!” หลิงไป๋เอามือกอดอก ในขณะที่เขาจ้องมองอาหมานอย่างเย็นชา ดูจะไม่พอใจอย่างมากที่อีกฝ่ายฉวยโอกาสแสดงฝีมือก่อน

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” อาหมานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยาบกระด้าง และเขาก็ไม่ได้ดูดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้

ไป๋กู้หนานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหลิงไป๋ที่สูงเพียงไม่กี่ฉื่อ และครุ่นคิดในใจ ‘หรือว่าเจ้าตัวน้อยคนนี้จะเป็นตัวประหลาดที่ไม่ด้อยไปกว่าเฉินซี?’

หลังจากจบเรื่องนี้ ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงเรื่องการต่อสู้กับเหล่าคนหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้า และภายใต้การจัดแจงของไป๋กู้หนาน กลุ่มของเฉินซีก็มาถึงห้องโถงรับแขกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับจัดที่พักให้แก่พวกเขา

สิ่งเดียวที่เฉินซีรู้สึกเสียดายคือ เขาต้องการให้เหล่าหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้าได้ต่อสู้กับศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลไป๋ ซึ่งการต่อสู้เช่นนี้อาจไม่เป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของพวกเขา แต่ตราบใดที่สามารถเรียนรู้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตระกูลไป๋ได้ มันก็คุ้มค่ายิ่งนัก

“นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลว มันสามารถกระตุ้นความปรารถนาที่จะต่อสู้ของข้าได้…” หลังกลุ่มของเฉินซีออกจากสนามฝึกไปไม่นาน ร่างสามร่างก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า

ผู้กล่าวมีดวงตารูปดอกท้อที่งดงามคู่หนึ่ง ผมเงางามของเขาถูกถักเป็นเปียหนาตรงกลางกระหม่อม ก่อนจะถูกมวยไว้ด้านหลังศีรษะ เผยให้เห็นถึงหน้าผากกว้าง ยิ่งกว่านั้น ทั่วทั้งร่างของเขายังเผยเสน่ห์ที่สุดแสนจะพรรณาออกมา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท