บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 905 ไป๋เฉิงผู้น่าหวาดกลัว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 905 ไป๋เฉิงผู้น่าหวาดกลัว

บทที่ 905 ไป๋เฉิงผู้น่าหวาดกลัว

แน่นอนว่า ร่างของไป๋เจวี้ยนย่อมสังเกตเห็นได้ยาก เพราะมันผสานเข้ากับห้วงอากาศเหมือนดั่งภูตผีปีศาจล่องหนตัวหนึ่งไปแล้ว จะใช้ญาณเทวะอมตะจับตาไว้ยังยาก

อีกทั้งการโจมตีของอีกฝ่ายยังไร้เสียงและไร้พลังใดกระเพื่อมออกมาสักนิด เขาเป็นเหมือนนักฆ่าที่ไม่อาจรับมือได้เลย

แต่ก่อนที่การโจมตีทีเผลอจากด้านหลังจะถูกตัวเป้าหมายในตอนนี้ มันกลับถูกเฉินซีสกัดเอาไว้ได้ อีกทั้งเจตจำนงกระบี่อันน่าเกรงขามในการโจมตีครั้งนี้ยังทำเอาสั่นสะท้านจนต้องเผยกายออกมาแล้วกระอักเลือดคำใหญ่ เช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้อื่นตกใจได้อย่างไร?

แค่จะให้เชื่อยังยากเลย!

“เจ้า…ทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ไป๋เจวี้ยนปาดเลือดที่มุมปากแล้วลุกขึ้นยืน ดวงตารูปดอกท้อเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ตั้งแต่เริ่มต่อสู้ ข้าก็ใช้ญาณจับตาดูเจ้าไว้แล้ว หากไม่ใช่เพราะคอยระวังเจ้า คิดหรือว่าเขาจะยังยื้อมาได้จนถึงขนาดนี้?” เฉินซีชี้ไปทางไป๋ฉวินที่อยู่ไกล ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ

ไป๋ฉวินชะงักกับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะมันเหมือนตอกหน้ากันว่าตัวเขานั้นอ่อนแอ แล้วชายหนุ่มจะทนได้อย่างไร? ดังนั้นจึงตะโกนลั่นขึ้นมาทันที “เป็นไปไม่ได้!”

“แต่สุดท้ายพวกเจ้าก็แพ้ไม่ใช่หรือ?” เฉินซีเอ่ยเสียงสงบ เพราะรู้ดีว่าสิ่งนี้นับเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้

เขาชนะแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถกเถียงอะไรกันอีก

“พวกเราแพ้หรือ?” ไป๋เจวี้ยนถอนหายใจแล้วอึ้งไป ทว่าทันใดนั้นกลับปรากฏกระสวยสีดำเยือกเย็นซึ่งส่องประกายขึ้นในฝ่ามือ

ฟ้าว!

กระสวยนั่นกรีดผ่านฟ้าและโจมตีเข้าใส่ทางด้านหลังของเฉินซีอีกครั้ง ทว่าครานี้เจ้าตัวไม่ได้ปกปิดกลิ่นอายอีกแล้ว ปลายแหลมของกระสวยส่งเสียงหวีดร้องออกมาเมื่อเคลื่อนที่ เหมือนสายฟ้าสีดำที่ว่องไวยิ่ง

หากการลอบโจมตีเมื่อครู่กระทำอย่างเงียบเชียบ การลอบโจมตีครั้งนี้ก็ถูกซัดในจังหวะที่ไม่ทันคาดคิด มันถูกซัดออกมาทันใดจนทุกคนตกใจ อีกทั้งยังแสดงเต๋าแห่งการสังหารออกมาโดยไม่ปิดบัง

นับว่านี่เป็นการลอบสังหารอันไร้ที่ติที่กระทำท่ามกลางสายตาทุกคน อีกทั้งยังห่างจากเฉินซีน้อยกว่าสามจั้ง

ในระยะสั้น ๆ เช่นนี้ ไป๋เจวี้ยนมั่นใจมากว่าจะสามารถสังหารเฉินซีได้!

ทว่าเมื่อกระสวยนี้อยู่ห่างจากหลังศีรษะของเฉินซีเพียงคืบหนึ่ง มันกลับหยุดชะงักและไม่อาจเคลื่อนตัวได้อีก

เพราะกระบี่เล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่ลำคอของไป๋เจวี้ยนแล้ว ปลายกระบี่สะท้อนแสงหนึ่งออกมากรีดผิวบนลำคอไป๋เจวี้ยนไว้เส้นหนึ่ง ส่งผลให้หยาดโลหิตไหลริน

ส่วนด้ามกระบี่นั้นอยู่ในกำมือของเฉินซี ซึ่งทั้งมั่นคงและแม่นยำยิ่ง กลิ่นอายดุดันที่ปลดปล่อยออกมาคล้ายกับเป็นคมเคียวของเทพเจ้าแห่งความตายซึ่งใช้เกี่ยวชีวิตมนุษย์ ทำให้ไป๋เจวี้ยนเกิดความรู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ชายหนุ่มย่อมรู้ดีว่าหากขยับสักนิด กระบี่เล่มนี้ย่อมกรีดลำคอพรากชีวิตเขาไปโดยไม่ลังเลแน่!

แต่หากจะให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ไปเช่นนี้ แล้วตัวเขาจะไปอธิบายกับผู้อาวุโสอย่างไรเล่า?

ไป๋เจวี้ยนไม่เคยขาดความกล้าเวลาตัดสินใจมาก่อน เมื่อคิดได้ดังนี้ เจ้าตัวจึงตัดสินใจได้ว่าแม้ต้องแลกด้วยชีวิต ตัวเขาก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ!

ทันใดนั้น นัยน์ตาคู่นั้นก็ส่องประกายแน่วแน่

โครม!

ทว่าก่อนจะทันลงมือ ยันต์ศัสตราในมือของเฉินซีกลับพลิกตัว ใช้ด้ามกระบี่หนักปะทะเข้ากับใบหน้าของไป๋เจวี้ยนอย่างแรงจนร่างของอีกฝ่ายกระเด็นไป โหนกแก้มหัก และพ่นเลือดออกจากปากคำใหญ่ กระทั่งฟันในปากหลายซี่ยังแตกเป็นผง

เมื่อร่างกระเด็นออกไปราวเก้าจั้งก่อนจะกระแทกกับพื้น มันก็ทำให้เห็นถึงใบหน้าซีกขวาที่บวมเป่มและเลือดซึ่งเกรอะไปทั่วทั้งหน้าอย่างเห็นได้ชัด …เป็นสภาพที่ดูไม่ได้โดยแท้

“ไม่แปลกใจเลยที่เขาพูดกันว่าเจ้ารับมือยากที่สุดในหมู่คนรุ่นเดียวกัน วิธีสู้ที่ฉลาดแกมโกงและชั่วร้ายเช่นนี้เหมาะกับนิสัยเจ้าดีนี่” เฉินซีเก็บยันต์ศัสตราแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“ในสายตาข้า วิธีการต่อสู้ไม่มีดำขาว หากสามารถสังหารศัตรูได้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว” ไป๋เจวี้ยนพยายามยืนขึ้นแล้วเอ่ยช้า ๆ

เฉินซีเหมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิด จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก วิธีการต่อสู้ล้วนไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน แต่การต่อสู้นี้เจ้าไม่ได้ต่อสู้เพื่อตนเอง ดังนั้นจิตใจจึงไม่มั่นคง …น่าเสียดายจริง”

ไป๋เจวี้ยนถึงกับเผยสีหน้าตกตะลึง คล้ายไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถคาดการณ์ได้เฉียบคมเช่นนี้!

“กลับไปบอกผู้อาวุโสของเจ้าว่าอยากใช้วิธีใดก็ใช้ได้เลย เพราะหลังจากคืนนี้ไปเขาคงไม่มีโอกาสอีก” พูดจบ เฉินซีก็หันหลังเดินกลับไปในโถงรับแขก โดยตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้มองไป๋เจวี้ยนกับไป๋ฉวินเลย

เทียบกับไป๋หงแล้ว ไป๋เจวี้ยนกับไป๋ฉวินไม่ควรค่าให้เขาต้องเคารพอันใด

เหตุผลก็ไม่ยาก ถึงแม้ว่าไป๋หงจะได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสให้มาท้าสู้ แต่ในใจนางได้กำหนดเส้นแบ่งไว้แล้ว ดังนั้น ถึงแม้จะต่อสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่นางก็ต่อสู้เพื่อเต๋าแห่งกระบี่ของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อทำตามคำสั่งของผู้อื่น

กลับกันแล้ว สาเหตุที่ไป๋เจวี้ยนกับไป๋ฉวินเกิดจิตสังหารเป็นเพราะคำสั่งของผู้อื่น ดังนั้นความกระหายในการสู้และความมั่นคงทางจิตใจจึงด้อยกว่าไป๋หง

เมื่อนำมาเทียบกันแล้วจึงเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน

เมื่อเฉินซีจากไปแล้ว หลิงไป๋และคนอื่น ๆ ก็ติดตามไปเช่นกัน เหลือเพียงไป๋กู่หนานที่เหลือบมองไป๋เจวี้ยนและไป๋ฉวินด้วยความรังเกียจ ขณะจากไปก็พูดว่า “ถึงข้าจะมีการบ่มเพาะน้อยกว่าพวกเจ้าถึงขอบเขตหนึ่ง แต่ก็ยังจดจำสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นมาด้วยเลือดได้ พวกเจ้าทั้งสองคน…จงเก็บกลับไปคิดเสีย”

ทันใดนั้น ก็เหลือเพียงไป๋เจวี้ยนกับไป๋ฉวินที่สีหน้าผันเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว

เพล้ง!

ภายในห้องโถงใหญ่ สีหน้าของผู้อาวุโสระดับสูงไป๋เฉิงฉายชัดถึงความโกรธ เขาไม่อาจเก็บความโกรธไว้ในใจได้อีกต่อไป ก่อนจะโยนจอกสุราในมือลงกับพื้น

“ไอ้พวกขยะไร้ค่า!” น้ำเสียงทุ้มต่ำคำรามลั่นดังห้องโถง ไป๋เฉิงเหมือนสิงโตผู้โกรธเกรี้ยวที่กำลังระบายความโกรธ

“ท่านพี่ยังไม่คิดวางมือหรือ?” เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงดังออกมาจากข้างนอก ก่อนจะตามมาด้วยเงาร่างมีชีวิตชีวาของไป๋จิงเฉินที่เดินเข้ามาภายใน

เมื่อเห็นไป๋จิงเฉิน ไฟโกรธในใจของไป๋เฉิงก็ถูกดับมอดอย่างสิ้นเชิง เขาได้ความสงบกลับคืนมาดังเดิมแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเอ่ยคำด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หึ! ไม่คิดเลยว่าไม่ได้เจอหน้ากันหลายปี พวกเราพี่น้องจะได้มารวมตัวกันในวันนี้”

ไป๋จิงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง เอนร่างอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะถอนหายใจยาว “นั่นสิ ผ่านมาตั้ง 287 ปี 3 เดือน แล้วก็ 16 วัน เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ”

ไป๋เฉิงส่งเสียงเย้ยหยันแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ความจำดีไม่เลว”

“ถึงข้าจะเกลียดคร้าน แต่ก็ความจำดีมาตลอด” ไป๋จิงเฉินพูดไปหัวเราะไป ตอนนี้ไม่หลงเหลือท่าทีของผู้เป็นผู้นำตระกูลที่มีพลังไม่ธรรมดาอยู่อีกแล้ว

“วันนี้มาหาข้ามีเรื่องอันใด?” ไป๋เฉิงไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระจึงถามออกไปตามตรง

“ก็เพื่อเด็กคนนั้นไงเล่า” ไป๋จิงเฉินคลี่ยิ้ม จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ตระกูลไป๋ของเราจะไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลจั่วชิวไม่ได้ ท่านพี่ ท่านคงเข้าใจที่ข้าพูดใช่หรือไม่?”

“ก็เป็นแค่เด็กบัดซบคนหนึ่ง! เหตุใดเราจะยุ่งไม่ได้?” เมื่อพูดถึงจุดนี้ ไป๋เฉิงก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วมองไปทางไป๋จิงเฉิน “จิงเฉิน เจ้าพูดออกมาคำเดียว เด็กเวรนั่นก็หนีไม่ได้แล้ว ความขัดแย้งภายในตระกูลไป๋ของเราก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงตอนนั้นจะมีใครกล้าล่วงเกินตระกูลไป๋ของเรากับตระกูลจั่วชิวที่เราพึ่งพาในภพเซียนได้อีก?”

ไป๋จิงเฉินจึงหรี่ตาลง ผ่านไปไม่นานเขาก็ยิ้มตอบ “และถึงแม้เขาจะได้รับการยอมรับจากคนในตระกูล ท่านพี่ก็ยังอยากสังหารเขาทิ้งหรือ?”

ไป๋เฉิงตีหน้าขรึม “ในเมื่อเจ้าถามข้า เช่นนั้นข้าก็จะบอกความจริง เฉินซีจะมีชีวิตอยู่ก็ได้ แต่จะต้องถูกส่งตัวมาให้ข้าจัดการ!”

“ส่งไปให้ท่าน แล้วท่านก็จะส่งไปตระกูลจั่วชิว แล้วให้พวกนั้นเอาไปขู่จั่วชิวเสวี่ย หรือไม่ก็เฉินหลิงจวินน่ะหรือ?” ไป๋จิงเฉินยิ่งหรี่ตาลง

“แล้วทำไมจะไม่ได้?” ไป๋เฉิงตอบตามตรง

“นี่ท่าน…จะไม่เห็นแก่น้องเล็กของเราบ้างเลยหรือ?” ไป๋จิงเฉินพลันเปลี่ยนเรื่องคุยและเอ่ยถึงไป๋หว่านฉิงขึ้นมา

“นางยังเด็กเกินไป หลายปีที่ผ่านมาก็กระทำการโดยไม่ยั้งคิดมาตลอด ทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องผลประโยชน์ของตระกูล หากเอาแต่เห็นแก่ความรู้สึกของนาง มันคงมีแต่จะทำให้การเติบโตของตระกูลไป๋ช้าลง” ไป๋เฉิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ

ไป๋จิงเฉินลุกขึ้นยืน เขาส่งสายตาอันลึกล้ำมองไปทางไป๋เฉิงก่อนจะถอนหายใจออกมา “ท่านพี่ลองคิดดูอีกครั้งเถิด กลียุคแห่งสามภพใกล้จะมาถึงแล้ว ใครก็มองออกว่าท่านคิดจะใช้อำนาจของตระกูลจั่วชิวเพื่อให้พ้นภัย แต่ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเด็กนั่นเป็นใครกันแน่?”

ไป๋เฉิงอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะเหยียดออกมา “ลูกนอกคอกของเฉินหลิงจวินกับจั่วชิวเสวี่ยไง? จะเป็นใครไปได้อีก?”

ไป๋จิงเฉินส่ายหน้า จากนั้นหันหลังเดินจากไป “ท่านควรจะสังเกตได้จากการต่อสู้ในวันนี้” น้ำเสียงเขายังก้องอยู่ในโถง ทว่าตัวคนกลับหายไปแล้ว

ควรจะสังเกตเห็นอย่างนั้นหรือ?

ไป๋เฉิงส่งเสียงเย้ยโดยไม่สนใจอะไร ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อนึกถึงภาพการต่อสู้ของเฉินซี ไป๋เจวี้ยน และไป๋ฉวินขึ้นมาอีกครั้ง

เต๋าแห่งยันต์อักขระ?

ทันใดนั้น ฉากหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในใจไป๋เฉิง เป็นจังหวะที่เฉินซีเอาชนะไป๋ฉวินได้ โดยตัวเฉินซีถูกล้อมรอบไปด้วยวงเส้นหลายสายจากมหาเต๋า และยันต์ศัสตราก็เปล่งแสงอันไร้ขอบเขตออกมา เต็มไปด้วยอักขระยันต์นับไม่ถ้วน ส่งผลให้เฉินซีเป็นเหมือนปราชญ์เต๋าแห่งยันต์อักขระ

“สั่งการความลึกล้ำแห่งมหาเต๋าด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระอย่างนั้นหรือ? ถึงผู้ที่สามารถทำแบบนี้ได้โดยที่มีอายุน้อยเช่นนั้นนับว่าหาได้ยากจากทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ แต่ก็ไม่ได้พิเศษอะไรนัก…” ไป๋เฉิงพึมพำ แต่ถึงแม้เขาจะคิดเช่นนั้น ทว่าในใจก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่

เขาพยายามนึกภาพเหตุการณ์การต่อสู้ต่อ หลังจากนั้นไม่นานร่างของเจ้าตัวพลันแข็งค้างไป ในใจเหลือเพียงกระบี่เล่มหนึ่ง มันเป็นกระบี่โบราณสีดำสนิทไร้เงาประกาย!

“ยันต์ศัสตรา!” คำนี้ถูกเปล่งออกมาจากปาก และเหมือนกับต้องรีดเค้นกำลังจากทั่วทั้งร่างเพื่อเอ่ยมันออกมา ทำให้เจ้าตัวทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรงและหวาดกลัว

เขารู้ดีว่าด้วยฐานะของเขาแล้ว ย่อมไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจได้ว่ายันต์ศัสตราคือสิ่งใดกันแน่ เพราะมันเป็นสัญลักษณ์แห่งมรดกเต๋าที่เร้นลับที่สุดและโบราณที่สุดในสามภพ แม้ว่าจะเป็นในภพเซียน ก็มีแต่ผู้มีพลังสูงส่งเท่านั้นถึงจะรู้เรื่องนี้ได้

หรือก็คือคนธรรมดาในสามภพจะไม่สามารถรู้เรื่องยันต์ศัสตราได้เลย!

สาเหตุที่เขารู้เรื่องยันต์ศัสตรา ก็เพราะโชคดีได้รู้เรื่องนี้ระหว่างการสนทนากับผู้ยิ่งใหญ่ในตระกูลจั่วชิว

ถึงตอนนี้เมื่อนึกถึงยันต์ศัสตราในมือเฉินซี …สิ่งนั้นก็ดูถ้าจะเป็นยันต์ศัสตราที่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลจั่วชิวกล่าวไว้ไม่มีผิด!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของไป๋เฉิงก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป เขากล่าวเสียงแหบแห้งหลังจากเงียบไปนาน “ผู้สืบทอดแห่งเขาเทพพยากรณ์หรือ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้? นี่เขา…เขา…เขา…”

สุดท้ายไป๋เฉิงก็ได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความเศร้าใจ ความดื้อดึงในใจทั้งหมดทลายสิ้น ด้วยหวนนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวในวังวนนี้เลย…

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท