บทที่ 13 เมาค้าง
เสี่ยวเซิ่งเกอเข้ามานั่งในห้องที่กระจกแตก…น่าจะพูดว่านั่งยองๆ มากกว่า
ส่วนบริเวณที่นั่งยองๆ ก็คือโต๊ะทำงานเพียงหนึ่งเดียวในห้องนั้น
เสี่ยวเซิ่งเกอชี้ไปยังหน้าต่างกระจกที่แตกตกลงไป กะพริบตาถามว่า “เอ๋? เจ้าบอกว่านางไม่เคยมา กุ่ยอิงก็ไม่รู้เรื่อง เช่นนั้นกุยเชียนอี เจ้าบอกข้าว่าใครทำลายกระจก และเมื่อครู่ปีศาจข้างล่างมากมายขนาดนี้เห็นภาพลวงตางั้นหรือ!”
“เอ่อ ตามที่ข้าเห็น พวกเขาน่าจะถูกเวทมนตร์โจมตีหมู่” กุยเชียนอีถูมือทั้งสอง ค่อยๆ พูดออกมา
เสี่ยวเซิ่งเกอตบโต๊ะ กระโดดลงไปอยู่ตรงหน้ากุยเชียนอีและเกือบจะชนเขา ถลึงตาพูดว่า “เต่าเฒ่า เจ้าเชื่อไหมว่าเพียงกระบองเดียวของข้าก็เคาะกระดองเต่าเจ้าให้แตกได้?”
“เถ้าแก่ เดือนนี้ตอนที่ท่านเมาก็เคาะไปแล้วหนึ่งครั้ง” กุยเชียนอีอธิบาย “ดังนั้นข้าเชื่อ”
เสี่ยวเซิ่งเกอเกาหู เกาแก้ม กระทืบด้วยความโมโห สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปจัดเสื้อผ้าของกุยเชียนอีพร้อมพูดอย่างใจดีว่า “ฮา ท่านกุย ปู่กุย ครั้งที่แล้วข้าเคาะไปนิดหน่อยเท่านั้น ท่านเป็นผู้ใหญ่จะมาเอาความเด็กอย่างข้าได้อย่างไร? ปู่กุย ท่านสงสารข้าเถอะ พูดตรงๆ กับข้าเถอะ จื่อจวินกลับมาแล้วใช่ไหม”
“เถ้าแก่ ตอนแรกที่ท่านให้ข้าทำตำแหน่งผู้จัดการ พวกเราเคยมีกฎร่วมกันสามกฎ” กุยเชียนอีพูด “พูดกันดีแล้วว่าท่านจะไม่ถามถึงเรื่ององค์หญิงกับข้า ข้าถึงได้อยู่ เถ้าแก่ ท่านทำเช่นนี้คือคิดจะกลับคำพูดตนเองอย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวเซิ่งเกอดึงปากของกุยเชียนอี “กุยเชียนอี เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่? เหตุใดข้าถึงรับปากเจ้า? ก็เพราะข้ารู้ว่าองค์หญิงของเจ้าจะต้องกลับมาหาเจ้าแน่นอน ดังนั้นถึงได้เก็บเจ้าเอาไว้”
กุยเชียนอีถอนหายใจ พูดว่า “เถ้าแก่ ท่านเป็นคนดี ถึงปากจะไม่ตรงกับใจ แต่ก็ยังเก็บพวกเราเอาไว้…ไม่ว่าอย่างไร สำหรับข้าแล้วรู้สึกเคารพท่าน แต่สำหรับองค์หญิงนั้นข้าจงรักภักดี”
“หัวแข็ง!” เสี่ยวเซิ่งเกอปล่อยกุยเชียนอี ส่ายๆ หน้า “เอาละ เจ้าไม่พูด คิดว่าข้าจะหาเองไม่ได้งั้นหรือ? ในเมื่อกลับมาแล้ว ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะหาไม่พบ!”
“ขอบคุณเถ้าแก่ที่เห็นใจ” กุยเชียนอีทำความเคารพ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “เถ้าแก่ ท่านไม่คิดจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจริงๆ นะหรือ”
เสี่ยวเซิ่งเกอ…ซุนเสี่ยวเซิ่งชะงัก ลูบก้นที่เปลือยเปล่าของตนเองโดยไม่รู้ตัว “แย่ละ…ลืมไปเลย”
…
…
ลั่วเพียนเซียนตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกปากคอแห้งผาก หัวเหมือนถูกคนใช้มือกดเอาไว้ รู้สึกคลื่นไส้
เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว เธอจำไม่ได้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มองไปรอบด้านก็ไม่คุ้นเคย นี่ไม่ใช่ห้องที่เธอนอนประจำในศูนย์สัตว์เลี้ยง
ลั่วเพียนเซียนพูดไม่ออกว่านี่เป็นสไตล์อะไร ดูไม่เหมือนสไตล์ที่เธอเห็นเป็นประจำ…พื้นดูเหมือนจะเป็นพื้นไม้ ส่วนรูปแบบของเตียง…
“เตียงใหญ่จริงๆ!”
เธอรู้สึกตื่นเต้นอยากจะกลิ้งไปมาบนเตียง…ส่วนปัญหาที่ว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายหรือไม่นั้น ดูเหมือนว่าเธอยังไม่ได้คิดให้ดี
อาจเป็นเพราะนิสัยหรือไม่ก็เพราะสมองยังไม่ได้ตื่นเต็มที่ จึงไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ มากเกินไปในครั้งเดียวได้
ลั่วเพียนเซียนนอนกอดหมอนสีขาวอยู่บนเตียง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้ลุกขึ้นนั่งกะทันหัน: “แย่แล้ว! พี่จื่อจวิน! ลุงปีศาจหนู!”
ผีเสื้อน้อยเคาะหัวตนเองอย่างโมโห “ฉันลืมไปได้ไง”
ลั่วเพียนเซียนพึมพำแล้วก็รีบกระโดดลงมาจากเตียง เท้าเปล่าเหยียบอยู่บนพื้นไม้ ความรู้สึกเย็นทำให้เธอรู้สึกไม่คุ้นเคย
“รองเท้าของฉันละ?” ลั่วเพียนเซียนเอียงคอ
ไม่เพียงแต่หาร้องเท้าของตนเองไม่เจอ เธอยังพบว่าชุดที่ตนเองสวมนั้นไม่ใช่ชุดที่ตนเองใส่ออกมาเมื่อวาน…เป็นชุดนอนยาวสีขาวตัวหนึ่ง
ค่อนข้างสั้นเล็กน้อย ยาวถึงแค่หัวเข่าของเธอ
ผีเสื้อน้อยก้มลงโค้งตัว ยื่นหัวเข้าไปใต้เตียงคิดจะหาดู แต่ในเวลานี้เอง ประตูห้องก็เปิดออกมา
“เธอกำลังหาอะไร”
เพราะการยื่นหัวเข้าไปใต้เตียงนั้นเป็นท่วงท่าที่ดูไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับคนปกติสักเท่าไร ตอนนี้กระโปรงได้ร่นขึ้นมาจนมองเห็นระหว่างขาแล้ว
เพียงแต่ปีศาจนั้นไม่ใช่มนุษย์ อีกอย่างผีเสื้อน้อยที่เพิ่งเข้าสู่สังคมมนุษย์ได้ไม่นานก็ไม่ค่อยมีแนวความคิดอะไรมากมาย…อีกทั้งเจ้าของเสียงที่ถาม…คุณหนูสาวใช้ก็ไม่ได้คิดจะหลบอะไร
ดังนั้นผีเสื้อตัวน้อยที่เพิ่งตื่นจากอาการเมาค้าง ก็เอาหัวออกจากหว่างขาของตนเองมาพบเจอกับคุณหนูสาวใช้ของสมาคม
“โอ้! คุณคือ คุณคือ คุณคือ…”
ผีเสื้อน้อยตกใจมาก ยกหัวขึ้นมากะทันหัน แต่เพราะเคลื่อนไหวเร็วเกินไป หัวจึงชนเข้ากับเตียง ร้องโอดโอยออกมา
คุณหนูสาวใช้ยิ้มบางๆ เดินเข้าไปในห้อง หลังจากวางของที่ถือมาแล้วก็เดินเข้ามาพยุงผีเสื้อน้อยขึ้นมา พูดเบาๆ ว่า “ฉันชื่อโยวเย่”
“อ้อ ใช่แล้ว! พี่…โยวเย่” ลั่วเพียนเซียนนวดหัวตนเอง พูดด้วยสีหน้าแดงก่ำว่า “ขอโทษด้วย ฉัน ฉัน เรื่องนั้น…คิดไม่ออกชั่วขณะ”
“ไม่เป็นไร” โยวเย่ส่ายหน้าเบาๆ “เสื้อผ้าของเธอ ฉันซักให้แล้ว เธอสวมเสื้อผ้าแล้วค่อยลงมาเถอะ”
ลั่วเพียนเซียนมองเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยบนถาด เป็นเสื้อที่เธอใส่เมื่อวาน ยังมีรองเท้าของเธออีกด้วย
ร้องเท้าดูใหม่มาก เหมือนถูกซักอย่างสะอาดทั้งด้านในด้านนอก
“เรื่องนั้น…เพราะอะไร” ลั่วเพียนเซียนพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
โยวเย่ยิ้มพูดว่า “เธอลืมแล้วเหรอ? เมื่อคืนเธออ้วกใส่นายท่านของฉัน”
“อา!” ลั่วเพียนเซียนตกใจกระโดดขึ้นมาหน้าซีด ครึ่งหนึ่งเพราะเมาค้างอีกครึ่งหนึ่งเพราะหวาดกลัว
“แต่อ้วกไม่โดน” คุณหนูสาวใช้เสริมไปหนึ่งประโยค
“ตกใจหมดเลย…” ลั่วเพียนเซียนโล่งใจ ลูบหน้าอกเล็กๆ ของตนเองเบาๆ
“แต่…” ทันใดนั้นคุณหนูสาวใช้ก็พูดขึ้นอีก
ผีเสื้อน้อยเสียงสูงขึ้น กลัวที่จะได้ยินอะไรที่แย่กว่าจากปากของคุณหนูสาวใช้ “แต่…แต่อะไรงั้นหรือ”
โยวเย่ยิ้มพูดว่า “ครั้งหน้าเวลาสวมชุดนอนอย่าให้เห็นเสื้อชั้นในนะ สำหรับเด็กผู้หญิงแล้วดูไม่สง่างาม”
…
ลั่วเพียนเซียนเดินตามหลังคุณหนูสาวใช้ลงจากบันไดมาอย่างระมัดระวัง
ก่อนลงมาจากบันไดเธอยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่เมื่อลงมาแล้วถึงพบว่าสถานที่ที่ตนเองอยู่นั้น…คือสมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด
ในตอนที่เธอมองเลยตัวคุณหนูสาวใช้ไปเห็นเจ้าของสมาคมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมเล็กๆ นั้นก็ลอบขยับลิ้นเล็กน้อย
ตนเองไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่พอใจใช่ไหม? ผีเสื้อน้อยรู้สึกกังวลใจ
เวลานี้เอง
ลั่วชิวกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ดื่มชาแดงตรงหน้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว ส่วนของบนจานก็ถูกกินจนเกลี้ยง
เจ้าของสมาคมลั่วที่กำลังพลิกหนังสือพิมพ์อยู่เงยหน้าขึ้นมา “ตื่นแล้วเหรอ หิวไหม? ฉันเตรียมของกินไว้ให้เธอ โยวเย่ไปหยิบของมา”
ผีเสื้อน้อยที่ย่อยพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่เล่มหนาลงไปแล้ว ย่อมรู้ดีว่าคำว่าสง่างามนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ตอนนี้เธอรู้สึกว่าพี่สาวโยวเย่ตรงหน้าผู้นี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคำว่าสง่างาม
ลั่วเพียนเซียนพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มที่เหมาะสมชวนให้คนรู้สึกเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ พัดผ่านร่างไป สองมืออยู่ที่เอว ทุกย่างก้าวทำให้ร่างกายขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผีเสื้อน้อยรู้สึกว่า ถ้าหากบนหัวของพี่โยวเย่มีหนังสือเล่มหนึ่งก็คงจะไม่ตกลงมา
แต่เธอทำแบบนี้ไม่ได้…