บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 917 ก้าวหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 917 ก้าวหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

บทที่ 917 ก้าวหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

ท่ามกลางการจ้องมองด้วยสายตาประหลาดใจมากมาย เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้เมฆทัณฑ์สวรรค์ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับหลวงจีนชรากำลังทำสมาธิ

เขาดูราวกับมองว่าทัณฑ์สวรรค์เป็นเพียงความว่างเปล่า และยิ่งดูหยิ่งยโสมากขึ้น เมื่อท่าทางในขณะนี้ราวกับกำลังท้าทายมันโดยตรง!

ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ มันย่อมไม่มีใครเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้แต่เวินหัวถิงและผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่น ๆ ก็ไม่เคยได้ยินหรือเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้เช่นกัน

ดังนั้นการกระทำของเฉินซีในยามนี้จึงดูราวกับผู้มีอำนาจในสายตาของทุกคน

เฉียบขาด!

ตลอดหลายยุคหลายสมัยตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน คงมีเพียงไม่กี่คนในโลกที่กล้าเพิกเฉยต่อทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้

ครืน!

ก่อนที่ทุกคนจะถอนหายใจจบ สายฟ้าหลากสีและสวยงามจำนวนมากได้พุ่งออกมาจากภายในเมฆทัณฑ์สวรรค์เหนือท้องฟ้า แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง ตามสีของสายรุ้ง ดูงดงามและชวนฝันยิ่ง แต่อานุภาพของพวกมันก็น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน

นี่คือแว่นฟ้าทัณฑ์สวรรค์

ทัณฑ์สวรรค์นี้เต็มไปด้วยพลังที่ไม่ธรรมดา มันจะสร้างภาพลวงตามากมาย ซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อดวงจิตแห่งเต๋า

เพียงแค่มองจากที่ไกล ๆ จิตวิญญาณของผู้คนพลันถูกสั่นคลอน บางคนเห็นดอกไม้ล่องลอยลงมาจากสวรรค์ บางคนเห็นนางฟ้านางสวรรค์ร่ายรำ มังกรและเฟิงหวงก่อตัวเป็นฉากมงคลและฉากอื่น ๆ ที่น่าหลงใหลอีกมากมาย

บางคนกลับเห็นปีศาจเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่แผ่นดินยุบตัวลง และฉากอันน่าสยดสยองที่ดูราวกับวันโลกาวินาศ

ในขณะที่บางคนก็ได้เห็นฉากที่หรูหราอย่างบ่อสุราและป่าแห่งเนื้อ

นิมิตทั้งหมดประกอบล้วนด้วยอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก ได้แก่ โลภ โกรธ หลง ไม่พอใจ เศร้า กลัว และอารมณ์อื่น ๆ ยิ่งกว่านั้น…อารมณ์เหล่านี้ได้รับการพัฒนาจนถึงขีดสุด ถ้าผู้พบเห็นเหตุการณ์นี้เป็นคนธรรมดา ก็อาจจะถูกพรากสติสัมปชัญญะและจมดิ่งลงไปในทันที

แม้ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะ ดวงจิตแห่งเต๋าของพวกเขาก็ยังสั่นคลอน เมื่อเผชิญหน้ากับนิมิตดังกล่าวอย่างกะทันหัน บางคนที่มีพลังอ่อนแอถึงกับสติแตก พวกเขายืนอยู่กับที่และเต้นรำราวกับเป็นบ้าไปแล้ว

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากปราณตีกลับจนถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน

“หึ!”

ทันใดนั้น เสียงที่ทรงพลังยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่าดังออกมาจากริมฝีปากของเวินหัวถิง ซึ่งเต็มไปด้วยมหาเต๋า ระเบิดก้องใส่หูของทุกคน สั่นสะเทือนศิษย์เหล่านั้นจนพวกเขาต้องพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระจากนิมิตของแว่นฟ้าทัณฑ์สวรรค์ และกลับมามีสติอีกครั้ง

ทันใดนั้น พวกเขาก็มีสีหน้าประหลาดใจและหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง

“ช่างเป็นนิมิตลวงตาที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!”

“ข้าเพียงแค่มองจากที่ไกล ๆ แต่ดวงจิตแห่งเต๋าของข้าก็ยังเกือบจะพังลง ผู้อาวุโสเฉินซีที่อยู่ท่ามกลางพวกมัน ต้องพบนิมิตที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้เป็นแน่”

“เฮ้ ดูนั่นเร็วเข้า จนถึงตอนนี้ผู้อาวุโสเฉินซียังไม่เคลื่อนไหวเลย!”

ท่ามกลางการสนทนาพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา พวกเขาก็สังเกตเห็นว่า เฉินซีที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนท้องฟ้า โดยมีแว่นฟ้าทัณฑ์สวรรค์เจ็ดสีสอดประสานและม้วนตัวอยู่เหนือหัว มันมีหลากสีสันและสวยงาม แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สังเกตเห็นมันเลย ร่างกายของเขายังคงนิ่งสนิทตั้งแต่ต้นจนจบ

เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาตั้งใจจะต่อต้านทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้? ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

ก่อนทุกคนจะทันได้ตอบสนอง สายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ที่มีความยาวพันจั้งได้ฟาดเปรี้ยงลงมา เกลียวสายฟ้าบิดตัวราวกับอสรพิษ ดุจใบมีดคมที่แยกฟ้าออกจากกันฟาดลงมาที่เฉินซี

ครืด!

คลื่นเสียงที่น่าสยดสยองชวนให้หนังศีรษะด้านชาดังขึ้น และพวกเขาก็ได้เห็นร่างของชายหนุ่มถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้างดงามที่ส่งเสียงก้องกังวานนั้น

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือไม่ว่าพลังของสายฟ้าจะรุนแรงเพียงใด ร่างของเฉินซีก็ยังคงมั่นคงดุจหินและไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

ฉากนั้นดูราวกับว่าเฉินซีเป็นเข็มวิเศษที่ปักลงสู่ทะเล ไม่ว่าพายุรุนแรงจะพัดเข้าหาหรือมีคลื่นโหมซัดเข้าใส่มากเพียงใด ชายหนุ่มก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

“พลังแห่งการทำลายล้าง!”

มีผู้อาวุโสสังเกตเห็นถึงสัญลักษณ์แปลกประหลาดที่บิดเบี้ยวไหลไปทั่วทั้งร่างกายของเฉินซี มันรวมตัวกันเพื่อก่อเป็นรูปแบบที่ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน

ทันทีที่แว่นฟ้าทัณฑ์สวรรค์ตกกระทบกับร่างกาย มันจะถูกทำลาย แตกสลาย และลบล้างหายไปสู่ความว่างเปล่า ด้วยรูปแบบที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง

ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกมันไม่สามารถทำร้ายเฉินซีได้เลยแม้แต่น้อย!

แต่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของเฉินซีกลับเป็นฉากที่แตกต่างกัน

“ซีเอ๋อร์ มานี่เร็วเข้า มาให้ปู่ของเจ้ามองเจ้าชัด ๆ หน่อย” ร่างผอมบางปรากฏขึ้น พร้อมกับใบหน้าผอมซูบและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเมตตา เป็นเฉินเทียนลี่นั่นเอง

เฉินซีมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่าตนกำลังอยู่ในบ้านของตัวเองที่เมืองหมอกสน เครื่องเรือนที่เก่าครำคร่า พู่กันยันต์และแท่นฝนหมึกที่ติดตัวเขาในวัยหนุ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนตรงหน้า

เฉินซีมองไปยังเฉินเทียนลี่ผู้เป็นปู่ของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นตรวจสอบทุกอย่างในบ้านอย่างละเอียด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า ความอบอุ่น ความผิดหวัง… มันซับซ้อนมาก

จะดีแค่ไหนถ้าภาพทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง?

น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็เป็นของปลอม!

เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ เฉินซีก็ฟันกระบี่ของเขาและสังหารเฉินเทียนลี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยตรง

ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ร่างของจั่วชิวเสวี่ยผู้เป็นมารดาปรากฏขึ้น แต่สีหน้าของนางยังคงสดใส ขณะที่นางกัดฟันและตำหนิว่า “เจ้าลูกชั่วช้า! เจ้าก่อบาปร้ายแรงด้วยการฆ่าปู่ของเจ้า รีบปลิดชีวิตตนเองเพื่อชดใช้บาปของเจ้าซะ!”

เฉินซีไม่ได้แยแสนาง และเหวี่ยงกระบี่สังหารอีกครั้ง

หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว เปลวไฟแห่งความโกรธก็พลุ่งพล่านในหัวใจ ทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้ไม่น่ารังเกียจเกินไปหน่อยหรือ!? มันกำลังใช้ครอบครัวและสหายของเขาสร้างเป็นนิมิต เพื่อบดขยี้ดวงจิตเต๋าของเขา ช่างสมควรตายจริง ๆ!

เขาไม่ได้ต่อสู้อย่างเฉยเมยอีกต่อไป และริเริ่มที่จะต่อสู้กลับ ชายหนุ่มก้าวออกไปทีละก้าว สังหารเหล่าคนในนิมิตที่มองเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหลิงไป๋ ไป๋คุย มู่ขุย วิปลาสหลิ่ว ตู้ชิงซี ชิงซิ่วอี้…

อาจกล่าวได้ว่าตราบใดที่มีร่องรอยของพวกเขาทิ้งไว้ในใจของเฉินซี พวกเขาจะถูกเปลี่ยนเป็นนิมิตด้วยพลังของทัณฑ์สวรรค์ มันตั้งใจจะใช้สิ่งนี้เพื่อค้นหาข้อบกพร่องในดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซี ก่อนจะทำลายจุดอ่อนที่ว่า

น่าเสียดายที่ทั้งหมดนั้นกลับเปล่าประโยชน์

เพราะดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีได้รับฝึกฝนถึงจุดที่มั่นคงเหมือนเหล็กมานานแล้ว ในขณะที่การบ่มเพาะพลังดวงใจของเขาก็บรรลุถึงขอบเขตวิญญาณดวงใจ แล้วเขาจะถูกนิมิตเหล่านี้ล่อล่วงได้อย่างไร?

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับนิมิตสุดท้าย เฉินซีหยุดการสังหาร

เพราะนั่นคือเฉินอัน ลูกชายของเขา!

เด็กชายตัวเล็กมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา คิ้วและดวงตาสงบ โครงร่างที่นุ่มนวลและเด็ดเดี่ยว ดวงตาและจมูกของเขาเหมือนกับชิงซิ่วอี้อย่างมาก

“ท่านพ่อพาผมไปหาท่านแม่หน่อยได้ไหมขอรับ?” เฉินอันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและถามด้วยสีหน้าคาดหวัง

เฉินซีถอนหายใจขณะเดินไปข้างหน้า เขาลูบหัวของเด็กตัวน้อยและพึมพำว่า “มันยังไม่ใช่เวลาตอนนี้ อันเอ๋อร์ รออีกสักหน่อย แล้วพ่อจะพาแม่ของเจ้ากลับมาอย่างแน่นอน ตกลงไหม?”

น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความรู้สึกผิดและความมุ่งมั่น

ทันทีที่พูดจบ ร่างของเฉินอันก็ถูกเฉินซีโจมตีจนตาย!

ณ จุดนี้ นิมิตทั้งหมดก็ได้ถูกลบหายไปอย่างสมบูรณ์

ในเวลาเดียวกันนั้น แว่นฟ้าทัณฑ์สวรรค์เหนือท้องฟ้าก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ผมและเสื้อผ้าของเขาพลิ้วไหว สีหน้าของชายหนุ่มยังคงสงบและนิ่งเงียบเช่นปกติ ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า มีน้ำตาสายหนึ่งจากหางตาของเขาที่ระเหยไปในทันทีที่ไหลออกมา

มีนิมิตหลายอย่างที่ดูสมจริงยิ่ง ทว่าน่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วภาพเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความจริง

ถึงกระนั้น หลังจากที่เขาข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์นี้มาได้ เฉินซีกลับรู้สึกขอบคุณสายฟ้าเหล่านั้นเล็กน้อย เพราะมันทำให้เขาได้พบญาติและเพื่อนของเขามากมาย…

แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นภาพลวงตา แต่ก็ยังนับเป็นการปลอบโยนใจเฉินซีที่พเนจรอยู่คนเดียวมาจนถึงตอนนี้

ส่วนความแข็งแกร่งของเขา เฉินซีในยามนี้ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามแล้ว ทว่าชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกมีความสุขมากนัก เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเมื่อเทียบกันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาประสบในนิมิตเหล่านั้นต่างหากที่สัมผัสถึงหัวใจของเขาอย่างมาก

โดยไม่รู้ตัว เวลาก็ได้ผ่านไปแล้วอีกห้าปี

ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาสว่างไสวอยู่เหนือท้องฟ้าของนิกายนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

ศิษย์คนหนึ่งที่กำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นสนเขียวชอุ่มเพื่อเพลิดเพลินกับร่มเงา เขาดูจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้ และพูดติดตลกขึ้นมาว่า “ข้าจำได้ว่าวันนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว เป็นวันที่ผู้อาวุโสเฉินซีเข้าสู่การปิดประตูบ่มเพาะใช่หรือไม่?”

“โอ้ ฟางเริ่น พอเจ้าพูดขึ้นมา ข้าก็นึกขึ้นได้เช่นกัน” ศิษย์อีกคนที่กำลังนอนกรนอยู่บนพื้นหญ้าเย็น ๆ ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหันและกล่าวตอบ

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิดว่าวันนี้จะเกิดทัณฑ์สวรรค์อีกรอบหรือไม่?” ฟางเริ่นหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาถาม

“ไร้สาระ! เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร…”

ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับเห็นผี ก่อนจะตะโกนขึ้น “นั่นมัน…”

“อันใด?”

ฟางเริ่นตกใจและเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง จากนั้นเขาก็เผยสีหน้าตกตะลึง

“เมฆทัณฑ์สวรรค์!”

ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วพูดพร้อมกัน “บัดซบ! มันเกิดขึ้นอีกแล้ว!”

ในท้องฟ้า กลุ่มเมฆทัณฑ์สวรรค์ที่มืดมนและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งหายนะแผ่ขยายเป็นวงกว้าง และมันคือเมฆที่จะปรากฏขึ้นเมื่อทัณฑ์สวรรค์กำลังมาถึง

ในวันนี้ ปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันตกแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เฉินซีได้ทักทายทัณฑ์สวรรค์ระดับสี่ของเขา ดารากะทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งทำให้ทุกคนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นต้องตกตะลึงอีกครั้ง

มันเป็นฉากที่น่าสนใจมาก

บรรดาศิษย์ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกันเกี่ยวกับสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่เหนือท้องฟ้า พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องราวกับว่าพวกเขากำลังดูการแสดงที่ยอดเยี่ยม

พวกเขาดูจะไม่กระวนกระวายหรือประหม่าเลย แม้แต่บรรยากาศที่เคร่งขรึมและจริงจังก็ยังเลือนหายไป

สมาชิกระดับสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างลูบเคราของพวกเขา ในขณะที่เฝ้าดูและออกความคิดเห็นกันอย่างสบายอารมณ์ พวกเขาไม่ได้คุยกันว่า เฉินซีจะสามารถเอาชนะความยากลำบากจากทัณฑ์สวรรค์ได้หรือไม่ แต่กลับเป็นเรื่องวิธีที่เฉินซีท้าทายสวรรค์จะใช้เพื่อกำจัดทัณฑ์สวรรค์

ผู้อาวุโสบางคนถึงกับโต้เถียงจนถึงจุดที่ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ ..และระหว่างที่เฉินซีกำลังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาก็กำลังตกอยู่ในการโต้เถียงที่รุนแรง ซึ่งเมื่อโต้เถียงกันเสร็จ พวกเขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า เฉินซีได้ประสบความสำเร็จในการเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว…

ฉากที่แปลกประหลาดเช่นนี้เกรงว่าคงจะเกิดขึ้นได้เพียงยามที่เฉินซีเอาชนะทัณฑ์สวรรค์เท่านั้น

ห้าปีต่อมา ห้าปี และห้าปีอีกครั้ง

เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็รับรู้กันอย่างชัดเจนว่า เฉินซีจะท้าทายทัณฑ์สวรรค์ในทุก ๆ ห้าปี และมันก็กลายเป็นที่รับรู้ร่วมกันของทุกคนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

แม้แต่สัตว์วิเศษที่เลี้ยงไว้บนยอดเขาต่าง ๆ ก็ยังทราบถึงกฎเกณฑ์นี้ ทุกครั้งที่วันนี้มาถึง พวกมันจะเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเกียจคร้าน นอนสบาย ๆ ในถ้ำในขณะที่ปิดหูและงีบหลับอย่างสบายใจ

สำหรับทุกคนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ทุกครั้งที่ทัณฑ์สวรรค์ตกลงมา พวกเขาจะทำในสิ่งที่ควรทำ ฝึกฝน บ่มเพาะอย่างลับ ๆ หลอมโอสถ และทำสิ่งอื่น ๆ โดยไม่มีใครสนใจที่จะรั้งอยู่เพื่อเฝ้ามองอีก

มีเพียงเด็กตัวเล็กที่เพิ่งเข้ามาในนิกายเท่านั้นที่จะส่งเสียงดังและรู้สึกตื่นเต้นกับมัน ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยเห็นโลก ทำให้ศิษย์รุ่นเก่าคนอื่น ๆ ดูถูกเหยียดหยามพวกเขาอย่างยิ่ง

ครืน!

อีกห้าปีผ่านไป

ฟางเริ่นก็จำได้อย่างชัดเจนว่านี่คือทัณฑ์สวรรค์ครั้งที่แปดของผู้อาวุโสเฉินซี แต่เขาไม่ได้ตกใจหรือตื่นเต้นอย่างที่เคยมี

ปัจจุบัน เขานับเป็นศิษย์เก่าของหมู่ศิษย์สายในแล้ว เมื่ออาจารย์ไม่อยู่ เขาก็จะเป็นผู้แนะนำการบ่มเพาะให้แก่ศิษย์ใหม่

เมื่อเห็นเมฆทัณฑ์สวรรค์ลอยอยู่บนท้องฟ้า เขาก็คลานขึ้นจากเตียงอย่างอ่อนแรง จากนั้นคำรามด้วยจิตวิญญาณที่เหนื่อยล้าเช่นกัน

“เด็กใหม่! รีบมาดูเร็วเข้า! ผู้อาวุโสเฉินซีกำลังจะผ่านทัณฑ์สวรรค์อีกครั้งแล้ว นี่เป็นรอบที่แปด ดังนั้นหากพลาดครั้งนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว…”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท