บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 923 กีดขวางทางเข้า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 923 กีดขวางทางเข้า

บทที่ 923 กีดขวางทางเข้า

ณ โถงมหาวีรชนแห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์

ภายในห้องโถงอันโอ่อ่าประกอบไปด้วยเสาหินหยกแกะสลัก ซึ่งน่าจะมีความสูงราวหกลี้ทำหน้าที่ค้ำเพดานเอาไว้ รอบ ๆ ผนังของห้องโถงคือโคมแก้วแปดเหลี่ยมมากมายที่แขวนเรียงราย กำลังทำหน้าที่สร้างแสงสว่างภายในที่แห่งนี้

ห้องโถงแห่งนี้จะเป็นสถานที่ซึ่งปิงซื่อเทียนและชิงซิ่วอี้จะร่วมเป็นคู่บำเพ็ญกัน

ตอนนี้เอง กลุ่มคนจำนวนมากได้เข้ามารวมตัวกันอยู่ภายในห้องโถงและนั่งในที่ที่ถูกจัดไว้

พวกเขาส่วนมากมาจากนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบ แดนไร้นาม และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากนิกายเลื่องชื่อเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปในทั่วทุกแห่งหน

ตัวอย่างเช่น ผู้อาวุโสเจียงเซิงไห่แห่งหอกระบี่สยบดวงใจ ปรมาจารย์ของโถงเปลวเพลิงสีชาด ฝูอวิ๋นจื่อแห่งนิกายฟ้ากำเนิด และหัวเหวินเซวียน ผู้อาวุโสสามแห่งนิกายจรดนภา… พวกเขาทั้งสามคนล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาอย่างยาวนานในโลกแห่งการบ่มเพาะ

กล่าวโดยสรุป บรรดาผู้คนที่จะมีที่นั่งในโถงแห่งนี้ได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ตอนนี้ ทั้งปิงซื่อเทียนและชิงซิ่วอี้ยังไม่ได้ปรากฏตัว ณ ลานพิธี พวกเขาต้องรอจนกว่าดวงอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้าเสียก่อนจึงจะเลิกม่านทำพิธีได้

ลู่เป๋ยอวี่ ประมุขนิกายวิถีกระแสสวรรค์ยิ้มชื่นมื่นกับภาพตรงหน้า เขาหันไปพูดคุยกับผู้คนที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงบ่อยครั้ง รวมถึงส่งเสียงหัวเราะร่าเพื่อให้บรรยากาศด้านในดูคึกคัก

“ท่านประมุข ข้าน้อยได้ถ่ายทอดคำสั่งของท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้อีกหรือไม่” ตอนนั้นเอง ศิษย์ผู้หนึ่งเดินเข้ามายังทางด้านข้างของลู่เป๋ยอวี่และกระซิบที่ข้างหู

“ไม่ล่ะ เจ้าออกไปได้” ประมุขนิกายโบกมือ สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก

เขากวาดตามองไปยังที่นั่งหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางที่นั่งอื่น ๆ ในห้องโถงก่อนจะถอนสายตาออก จากนั้นเจ้าตัวจึงกล่าวกับตนเองในใจ ตาแก่เลี่ยเผิงเอ๋ย เจ้าคงจะกำลังรอให้เฉินซีมาถึงอย่างใจจดใจจ่อเลยสินะ น่าเสียดาย เจ้าคงไม่มีโอกาสได้พบกับเขาจนกว่าจะจบพิธี…

เลี่ยเผิงนั่งดื่มสุราเพียงลำพัง ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างและเหลือบมองไปทางลู่เป๋ยอวี่ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับคนอื่น ๆ อย่างออกรสออกชาติ เห็นทีตนเองคงจะคิดมากเกินไป

‘ทว่าเหตุใดเฉินซีจึงยังมาไม่ถึงเสียที? หรือจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา?’ เลี่ยเผิงขมวดคิ้ว เผยความกังวลที่อยู่ในใจ

เขามาถึงนิกายวิถีกระแสสวรรค์เร็วกว่าเฉินซีมาก ทว่าจนถึงตอนนี้กลับไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จากชายหนุ่มเลย ดังนั้นจะไม่ให้ชายชราไม่กังวลได้อย่างไร ในเมื่อบัดนี้ปิงซื่อเทียนและชิงซิ่วอี้กำลังกลายเป็นคู่บำเพ็ญกันแล้ว

“เอ๊ะ สหายเต๋าเลี่ยเผิง เหตุใดศิษย์ผู้โดดเด่นของเจ้าจึงยังไม่มาอีกเล่า?” เสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยพลันดังขึ้นจากทางด้านข้าง ชายชราไม่จำต้องเงยหน้าขึ้นไปมองก็รู้ว่านั่นคือเจียงเซิงไห่ ผู้อาวุโสระดับสูงแห่งหอกระบี่สยบดวงใจ

“เขาจะมาเมื่อถึงเวลาที่ควรมา” เลี่ยเผิงตอบอย่างไม่ยี่หระ จากนั้นแสร้งทำเป็นสงสัย “สหายเต๋าเจียง ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าจะห่วงใยศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าถึงเพียงนี้ หรือว่าข้าควรจะขอบคุณเจ้าแทนเฉินซีดีเล่า”

เลี่ยเผิงรู้อยู่แล้วว่าเฉินซีเคยสังหารศิษย์ของหอกระบี่สยบดวงใจไปเป็นจำนวนมากเมื่อครั้งเข้าไปในเหวเงาทมิฬ ดังนั้นในฐานะที่เจียงเซิงไห่เป็นผู้อาวุโสระดับสูงของหอกระบี่สยบดวงใจ จึงไม่แปลกหากอีกฝ่ายจะพยายามพูดจาค่อนขอดถึงเฉินซี

เจียงเซิงไห่สวมเสื้อคลุมสีขาวปักลายรอบตัว เขามีหนวดเครายาวจับเป็นช่อที่ใต้คาง เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ที่ทรงภูมิอย่างนักปราชญ์ “ไม่จำต้องขอบคุณหรอก ข้าเพียงแต่เพิ่งได้ยินมาว่าสหายเต๋าตัวน้อยมีเดิมพันกับท่านปิงซื่อเทียน อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันตัดสินชะตาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงสงสัยว่าเป็นเพราะเขารู้ว่าตนเองจะแพ้ จึงได้ไม่มีหน้ามาที่นี่หรืออย่างไร?” เขาพูดพลางหัวเราะ

เลี่ยเผิงขมวดคิ้วก่อนจะตอบเสียงเรียบเฉย “นั่นเป็นเรื่องระหว่างเขากับปิงซื่อเทียน ข้าแน่ใจว่ามันคงไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้าหรอกใช่หรือไม่ สหายเต๋าเจียง?”

ฉับพลันนั้น เจียงเซิงไห่ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “โธ่เอ๊ย สหายเต๋าเลี่ยเผิง เจ้าพูดจาราวกับข้าเป็นคนอื่นคนไกลไปเสียได้ ตอนนี้ผู้คนในแดนภวังค์ทมิฬต่างก็รู้จักเฉินซีแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเจ้ากันทั้งนั้น แม้แต่ข้าเองยังอดไม่ได้ที่จะนึกเอ็นดูยอดฝีมือผู้ไม่มีใครเทียบได้ผู้นี้”

เขาหยุดถอนหายใจครู่หนึ่ง “แต่โชคไม่ดีที่เขากลับไปทำให้ท่านปิงซื่อเทียนขุ่นเคืองจนเกิดการเดิมพันนี้ขึ้น พูดก็พูดเถิดนะ สหายเต๋าน้อยผู้นี้น่ะหยิ่งทะนงเกินไป เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากเขาที่ทำตัวเอง”

ดวงหน้าของเลี่ยเผิงเขียวคล้ำ

แต่เจียงเซิงไห่ทำราวกับว่ามองไม่เห็นสิ่งนี้ และเลือกที่จะพูดต่อ “น่าเสียดายในความเก่งกล้าของเขานัก หลังจากที่ท่านปิงซื่อเทียนและชิงซิ่วอี้ร่วมเป็นคู่บำเพ็ญแล้ว เขาก็คงต้องปลิดชีพตัวเองตามเงื่อนไขที่ได้เดิมพันไว้”

ตอนนั้นเอง ผู้คนในห้องโถงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาหยุดการสนทนามาได้ครู่ใหญ่แล้ว ด้วยเหตุนี้ คำพูดของเจียงเซิงไห่จึงดังขนาดที่สามารถกระทบเข้าไปในโสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจน

ทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องโถงก็เริ่มมีแรงกดดันบางอย่าง

ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากทั่วทุกมุมโลกเหล่านี้ต่างมีชีวิตมาอย่างยาวนาน มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างเฉินซีกับปิงซื่อเทียน

ที่พวกเขาเงียบไว้ก็เพียงเพราะไม่ต้องการจะเอ่ยถึงเท่านั้น อย่างไรเสียนี่ก็เป็นดินแดนของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ทั้งยังเป็นวันที่ปิงซื่อเทียนและชิงซิ่วอี้จะร่วมเป็นคู่บำเพ็ญ การพูดเรื่องนี้ขึ้นมา รังแต่จะทำให้งานกร่อยเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นการปรากฏตัวของผู้อาวุโสเลี่ยเผิงแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แม้ว่ากำลังพลของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะลดลง ทว่ามันก็ยังคงเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีผู้ใดคิดที่จะหาเรื่องหรือรุกรานนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

และนี่เอง จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขามีปฏิกิริยาแปลกไปเมื่อเห็นเจียงเซิงไห่พูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา

สายตาของผู้อาวุโสเลี่ยเผิงเยือกเย็นขณะที่จับจ้องไปยังคู่สนทนา ราวว่าจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่ายให้ได้

ทว่าเจียงเซิงไห่กลับหัวเราะเบา ๆ คล้ายไม่สนใจอะไร

ตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่งได้ดังขึ้นจากทางด้านนอกห้องโถงท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ทำให้หนึ่งในเสียงนั้นดังกังวานประหนึ่งเสียงระฆังที่แผ่ไปทั่วฟ้า

ความสนใจของผู้คนในห้องโถงถูกดึงไปตามเสียงเหล่านั้นทันที

พวกเขาเห็นอวี้เจินในชุดกงจวง*[1] ที่ได้รับการตัดเย็บอย่างประณีตเดินอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางสง่างาม ผมหยักศกของนางถูกม้วนเป็นมวย ในขณะที่ปิงซื่อเทียนและชิงซิ่วอี้กำลังเดินตามหลังเข้ามา

ปิงซื่อเทียนในวันนี้ดูจะเคร่งขรึมเป็นพิเศษ เขาสวมมงกุฎขนนกที่มียอดเป็นดวงดาว และเสื้อคลุมสีม่วงเข้มที่ปักลายเมฆ ที่บั้นเอวรัดไว้ด้วยเข็มขัดทองคำที่ฝังเม็ดหยกไว้โดยรอบ ฝ่าเท้าหุ้มด้วยรองเท้าพื้นนุ่มซึ่งทำจากไม้สน ชายหนุ่มมีดวงตาใสสว่างเป็นประกาย ริมฝีปากแดงระเรื่อ ยามแย้มยิ้ม จะเผยให้เห็นฟันสีขาวโดดเด่น ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยท่วงท่าอันสง่างามและมั่นคง

ถึงอย่างนั้น ชิงซิ่วอี้ที่เดินเคียงข้างเขากลับชวนต้องมนตร์ยิ่งกว่า

เรือนผมสีดำขลับของนางถูกมวยเป็นเกลียว เผยให้เห็นถึงใบหน้าขาวเนียนราวแผ่นหยกเนื้องาม ลำคอขาวของหญิงสาวยาวระหง ริมฝีปากแดงสดประหนึ่งกุหลาบยามต้องแสง เอวที่คอดกิ่วอวดเรือนร่างแบบบาง นางสวมอาภรณ์สีแดงเพลิงปักลายวิจิตร และแซมปิ่นวิหคเพลิงไว้บนมวยผมสลวย ทุกสิ่งสรรพที่รวมอยู่บนเรือนกายนั้น ทำให้ความงามของนางเปล่งประกายอย่างที่สตรีคนใดจะทัดเทียม

นางเลิศเลอเกินไป! ราวกับเซียนสาวจากสรวงสวรรค์ที่ลงมาจุติยังแดนมนุษย์ แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะ แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หลายคนก็ถึงกับเผลอลืมหายใจไปชั่วครู่เลยทีเดียว

ปิงซื่อเทียนกับชิงซิ่วอี้เดินเคียงคู่กัน พวกเขาช่างดูเหมือนคู่สวรรค์ลิขิตโดยแท้ เป็นฉากที่สว่างไสวเสียจนชวนให้รู้สึกว่าคนที่เหลือถูกทิ้งไว้ภายใต้เงามืด

ท่ามกลางผู้คนทั้งหลาย มีเพียงเลี่ยเผิงเท่านั้นที่ไม่รู้สึกยินดีต่อภาพตรงหน้า ความกังวลในใจของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ พิธีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นแม้เงาของเฉินซี …ตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ที่ใดกันแน่?

ณ ตีนเขาของนิกายวิถีกระแสสวรรค์

บรรดาศิษย์ทั้งหลายกำลังยืนขวางประตูทางเข้านิกายเอาไว้

“สหายเต๋า พวกข้าต้องขออภัยด้วย ตอนนี้พิธีได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นโปรดถอยออกไปเสีย เพื่อความปลอดภัย นับจากนี้ไปนิกายวิธีกระแสสวรรค์ของพวกข้าจะตรึงกำลังเฝ้าเวรยามอย่างหนาแน่น จะไม่มีผู้ใดสามารถย่างกรายเข้าไปภายในนิกายได้อีก” ศิษย์ของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ที่อยู่ด้านหน้าทางเข้าพูดออกมาอย่างภาคภูมิ

เมื่อกลุ่มผู้บ่มเพาะที่มาดูพิธีได้ยินเช่นนั้น ต่างพากันบ่นพึมพำกับตัวเอง สุดท้าย พวกเขาก็เลือกที่จะเดินจากไปเนื่องจากไม่มีเทียบเชิญ

ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้เดินออกไปไกลนัก เพียงยืนเฝ้ามองไกล ๆ คล้ายตั้งใจจะรอที่นี่ ด้วยหวังจะเก็บภาพเหตุการณ์สำคัญในโถงมหาวีรชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เนื่องจากพวกเขาอยู่ด้านนอกนิกาย บรรดาศิษย์ที่ยืนเวรอยู่จึงไม่อาจทำอะไรได้ และทำได้เพียงวางเฉยเท่านั้น

“ไปรายงานปิงซื่อเทียนว่าข้าเฉินซีมาทำตามเดิมพันแล้ว” ตอนนั้นเอง ร่างสูงของเฉินซีมาถึงที่ด้านหน้าทางเข้า เขาพูดอย่างใจเย็นขณะจ้องมองไปยังเหล่าศิษย์ทั้งหลาย

ชายหนุ่มสังเกตเห็นก่อนหน้านี้แล้วว่านิกายวิถีกระแสสวรรค์มีการสร้างแนวป้องกันขึ้นมาชั้นแล้วชั้นเล่า หากเขาต้องการเข้าไปด้านใน ก็มีเพียงต้องใช้กำลังบุกรุกทางเดียว ทว่าวันนี้ที่เฉินซีมาเยือน ก็เพราะตั้งใจจะทำตามเดิมพันและพาชิงซิ่วอี้กลับไปกับเขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรง

“ว่าอย่างไรนะ? เจ้าคือเฉินซีอย่างนั้นหรือ?” ศิษย์ผู้นั้นตกตะลึง เขาจ้องมองไปที่ชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพยักหน้า “เช่นนั้นก็รอสักครู่ ข้าจะไปรายงานก่อน” ทันทีที่พูดจบ คนผู้นั้นก็เดินเข้าไปด้านใน

“เฉินซี!”

“เขาคือเฉินซี! สวรรค์! เขามาจริง ๆ ด้วย!”

“ฮ่า ๆ! มีเรื่องสนุกให้ดูแล้วสิ!”

เมื่อผู้บ่มเพาะที่ยืนอยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้ พวกเขาพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา สายตามากมายจับจ้องมายังเฉินซีด้วยความอย่างรู้อยากเห็น ความนับถือ รวมไปถึงความยำเกรง พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง

เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬ พวกเขารู้ดีว่าเฉินซีนั้นได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์สำเร็จในทุก ๆ ห้าปี และนั่นแปลว่าชายหนุ่มอาจจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เป็นยอดราชัน ดังนั้นคนทั้งหลายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้ความเคารพ

เฉินซีไม่ได้แยแสต่อปฏิกิริยาเหล่านั้น เขารอคอยเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสงบนิ่ง

ตึ้ง!

ผ่านไปไม่นานนัก เฉินซีพลันขมวดคิ้ว เขาสะบัดแขนเสื้อคราวหนึ่ง ส่งผลให้ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ล้อมรอบบริเวณทางเข้าถูกฉีกกระชากออกอย่างง่ายดายราวกระดาษแผ่นบาง

“แย่แล้ว! เจ้าหมอนั่นกำลังบุกเข้ามา!”

“เร็วเข้า รีบไปรายงานท่านผู้อาวุโส!”

กลุ่มของศิษย์ที่อยู่ด้านหลังทางเข้าตกใจอย่างมาก พวกเขาส่งเสียงโวยวายระงม

เฉินเอื้อมมือออกไปลากคอของหนึ่งในศิษย์เหล่านั้นเข้ามาหาตัว ก่อนจะถามอย่างใจเย็น “เจ้าไม่ได้ไปแจ้งข่าวการมาถึงของข้าหรอกหรือ? เหตุใดจึงได้ซ่อนอยู่เบื้องหลังข้อจำกัดของทางเข้าแทนเล่า?”

คนที่ถูกรั้งไว้เป็นคนเดียวกับที่พูดคุยกับเฉินซีก่อนหน้านี้ มือของชายหนุ่มที่บีบรัดคอเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัว ใบหน้าซีดเผือดจนพูดไม่ออก

“อ่อ… ที่แท้นิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็ไม่ต้อนรับข้า” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าข้าล่วงเกินแล้วกัน”

น้ำเสียงของเขาไร้ความรู้สึก ไม่แม้จะแสดงถึงอารมณ์ใด ๆ

หลังจากนั้น เฉินซีก็เดินต่อเข้าไปด้านในของนิกายวิถีกระแสสวรรค์

“หยาบช้านัก! ที่นี่คือนิกายวิถีกระแสสวรรค์ หาใช่ที่ที่เจ้าจะเข้าไปโดยพลการได้!”

“หยุดเขาไว้! ผู้อาวุโสได้สั่งไว้แล้วว่าห้ามเขาเข้าไปในนิกาย!”

“ตายซะ!”

เฉินซีเพิ่งก้าวเข้าไปด้านในเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นบรรดาศิษย์นิกายวิถีกระแสสวรรค์ทั้งหลายกระโจนเข้ามาจากทุกทิศทุกทางราวคลื่นซัดสาด พวกเขาต่างพากันตะโกนเสียงดังขณะที่พุ่งเข้ามาด้วยหมายจะโจมตี

‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูเหมือนพวกเขาไม่เพียงไม่ต้อนรับข้าเท่านั้น หากยังตั้งใจขัดขวางไม่ให้เข้าไปทำลายพิธี…’ เฉินซีเข้าใจทุกสิ่งในทันทีที่ได้เห็นฉากนี้ ก่อนที่ดวงตาใสกระจ่างแสนสงบของเขาจะฉายจิตสังหารอันเย็นยะเยือกออกมา!

[1] ชุดกงจวน เป็นชุดยาวที่เสื้อกับกระโปรงเชื่อมติดกัน โดยกระโปรงมีลักษณะเป็นแถบริ้ว และแบ่งเป็นชั้น ๆ ซึ่งตกแต่งด้วยการปักลวดลายหงส์ นกหรือดอกไม้

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท